เมื่อจิตใจคับแคบไม่ให้ข้าออกไป ข้าก็จะหาหนทางใหม่ กลับมิติเดิมด้วยตนเอง และใช่...หนทางเดียวคือ การตายก่อนเพื่อเริ่มต้นใหม่ ขื่อพร้อม! ผ้าขาวพร้อม! เก้าอี้พร้อม! หลังจากนี้ก็ขอให้สวรรค์นำพาดวงวิญญาณของข้ากลับไปยังภพภูมิเดิมด้วยเถิด
เสียงร้องระงมปกคลุมพระตำหนักเฟิงยวี่ นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักวิ่งวุ่นส่งเสียงโครมครามกันอย่างอลหม่าน
“พระชายา...ลงมาเถิดเพคะ” อิงลั่วร้องเรียกอ้อนวอนให้นายหญิงน้อยของนางลงมาจากเก้าอี้สูงและล้มเลิกความคิดที่จะผูกคอฆ่าตัวตายเสีย
ซือลี่หยางในยามนี้คล้ายกับคนหูดับ ทุกอย่างรอบด้านอื้ออึงเป็นเสียงหึ่ง ๆ ไปหมด นางยืนอยู่บนเก้าอี้สูง สองมือนำเชือกผ้าสีขาวที่คล้องอยู่บนขื่อมาสวมที่ลำคอ เพียงใช้เท้าปัดเก้าอี้ออก นางก็จะได้ตายสมใจแล้ว ในเมื่อไม่มีผู้ใดช่วยได้ นางก็จะฆ่าตัวตายเสียเอง ดวงวิญญาณของนางจะได้หลุดลอยออกไปจากร่างนี้เสียที
ว่านกูกูเมื่อรู้เรื่องนี้ก็รีบวิ่งตึงตังเข้ามาทันที ครั้นเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า นางก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้น เอ่ยทั้งน้ำตา “พระชายาเพคะ...ฮือ อ...หม่อมฉันทำอะไรผิด ดูแลพระชายาไม่ดีอย่างนั้นหรือเพคะ เหตุใดพระชายาถึงได้ทำเช่นนี้”
ซือลี่หยางไม่ตอบอะไร นางหลับตานับเลขถอยหลังในใจ อิงลั่วที่รู้เห็นทุกอย่างว่าผู้เป็นนายทำไปเพราะเหตุใด สุดท้ายแล้วก็เป็นนาง...ที่ทำใจไม่ได้ร่ำไห้ออกมาอย่างเศร้าโศกอยู่ดี
“พระชายา...หม่อมฉันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ อย่าฆ่าตัวตายเลยนะเพคะ” อิงลั่วเอ่ยเสียงนุ่มนวลพยายามเกลี้ยกล่อม
แล้วคำพูดโน้มน้าวของอิงลั่ว ก็ทำให้ซือลี่หยางประหลาดใจ นางดึงสติกลับมาและถาม “วิธีที่ดีกว่านี้ของเจ้าคือวิธีใด”
อิงลั่วสูดจมูกพลางใช้มือปาดเช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้า เอ่ยตอบ “ลงมาก่อนเพคะ แล้วหม่อมฉันจะเล่าให้ฟัง อยู่บนนั้นอันตรายเกินไป เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ”
"เช่นนั้น ข้าก็จะไม่ลงไป!" ซือลี่หยางปฏิเสธเสียงแข็งกร้าว
เมื่อพูดต่อรองอย่างไรก็ไม่เป็นผล ว่านกูกูจึงฉวยจังหวะนี้พุ่งเข้าใส่และรวบขาของซือลี่หยางแน่น บ่าวรับใช้คนอื่นที่เห็นเช่นนั้นต่างก็กรูกันเข้าไปช่วยนางอีกแรง
"ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ" ซือลี่หยางดิ้นไปมา พยายามสลัดขาออกให้หลุดออกจากวงแขนที่แน่นหนึบ ไม่ยอมปล่อยไปไหน ทว่ายิ่งดิ้นเท่าไร ว่านกูกูก็ยิ่งกอดรัดแน่นเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง บ่าวรับใช้นางในทุกคนต่างก็พยักหน้าและพร้อมใจกันยกร่างบางของนายหญิงน้อยลงมาจากเก้าอี้สูง
ในที่สุดก็ทำสำเร็จ...
ซือลี่หยางหงายตัวล้มตึงลงกับพื้น ส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ครั้นเมื่อจ้องสายตาเขม็งมอง บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็พากันลุกขึ้นนั่งอย่างสงบเสงี่ยม รอรับโทษอย่างไม่หลีกหนี
"พวกเจ้าจะเข้ามาช่วยข้าทำไม" ซือลี่หยางนิ่วหน้าเอ่ยอย่างหัวเสีย
อิงลั่วก้มหน้าตอบอย่างรู้สึกผิด "ที่หม่อมฉันทำเช่นนั้น ก็เพราะต้องการจะรักษาชีวิตของพระชายานะเพคะ"
เอ่ยจบ อิงลั่วเอาศีรษะโขกพื้น เมื่อนางทำ บ่าวใช้นางในที่เหลือก็โขกศีรษะตามกันอย่างทุลักทุเล "...ได้โปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วยเพคะพระชายา"
ซือลี่หยางทอดถอนใจอย่างทดท้อ ใคร่ครวญคิดในใจ แท้ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นข้าที่ต้องจากที่นี่ไปอย่างเงียบ ๆ และห่างไกลสายตาพวกเขาให้มากที่สุด
แต่ก่อนเป็นนักกีฬาไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้ฉันใด ยามนี้เป็นซือลี่หยางในโบราณสมัยก็จักไม่ยอมแพ้ฉันนั้น หากปรารถนาจะจากไปโดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง การออกอุบายและหลบหนีออกมาจากตำหนักเฟิงยวี่จึงเป็นหนทางรอด
"อิงลั่ว...ข้าลืมของที่ตำหนัก เจ้าเข้าไปเอามาให้ข้าทีได้หรือไม่" ซือลี่หยางโพล่งเอ่ยขึ้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตำหนักได้สักระยะหนึ่ง
อิงลั่วที่กำลังหอบหิ้วตะกร้าผลไม้ หยุดชะงักพลางถามอย่างสงสัย "พระชายาลืมสิ่งใดเพคะ"
"ข้าลืม...ลืมเอากำไลนำโชคติดตัวมา" ซือลี่หยางตอบ
อิงลั่วขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถาม "พระชายามีกำไลนำโชคตั้งแต่เมื่อไรเพคะ"
ซือลี่หยางอ้ำอึ้งไป เพียงครู่จึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้ามาดมั่น "ข้าใส่ประจำ แต่เจ้าไม่สังเกตเห็นเองต่างหาก กำไลนั้นทำด้วยหยกเขียว มีซีผิวนำโชคห้อยไว้ ข้าจำได้น่าจะอยู่บนโต๊ะหัวเตียงกระมัง เจ้าช่วยไปหาให้ข้าที ข้าจะยืนรอเจ้าอยู่ตรงนี้"
ถึงแม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่อิงลั่วก็ยินยอมทำตามคำสั่งนางอยู่ดี
ครั้นเมื่อบ่าวรับใช้คนสนิทลับตาไป ซือลี่หยางก็รีบเดินจ้ำเท้าห่างออกมาและคิดหาหนทางหนี
และใช่! วังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้ ให้นางเดินออกมากี่ครั้งก็หลงทางได้ทุกครั้งไป ทุกหนแห่งในวังหลวงเปรียบดั่งเส้นทางที่เคี้ยวคดวกวนเป็นเขาวงกต มองไปทางไหนก็มีแต่กำแพง ตำหนักตั้งตระหง่านสูงและต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีเต็มไปหมด
ครั้งนี้นางสวมชุดและเครื่องประดับเต็มยศ นางในที่เดินผ่านไปมาต่างก็ก้มหน้าเคารพนางทั้งสิ้น นางจึงตัดสินใจเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สนสายตาผู้ใด ขอเพียงสถานที่เงียบ ๆ สักแห่ง มีมีด มีบ่อน้ำ มีผ้าขาว ข้าก็สามารถฆ่าตัวตายและกลับไปยังภพภูมิเดิมได้แล้ว
ขณะครุ่นคิด สายตาอันแหลมคมของนางก็พลันสอดส่ายมองไปเห็นตำหนักร้างแห่งหนึ่งเข้า
นางไม่รู้ว่าตำหนักนี้คือ ตำหนักเย็น มีชื่อว่า 'ตำหนักจี๋ม่อ' ที่แปลว่าเหงาโดดเดี่ยว ตำหนักเย็นเปรียบดั่งสถานที่จองจำของพระสนมนางในที่ปลดเปลื้องอาภรณ์หรูหราและรับโทษไปจนชั่วชีวิต ที่นี่จึงเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ทุกรัชสมัยมีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญสาปแช่ง เล่าขานเรื่องวิญญาณชั่วร้าย ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาเลยแม้แต่ผู้เดียว
ทว่ายามนี้พลังหยินรุนแรงบางอย่างกลับดึงดูดนางให้เดินเข้าไป
นางกวาดสายตารอบด้าน ทุกย่างก้าวเดินล้วนสงบและเบาเสียงมากที่สุด
ตำหนักนี้ดูเป็นปกติดี เว้นเสียแต่มีฝุ่นละอองที่หนาแน่นปลิวว่อนและกลิ่นเหม็นแปลกประหลาดลอยอยู่ในอากาศ นางเริ่มคุ้นชินแล้ว ที่ไหนก็รกร้างได้ หากที่นั่นไร้ประโยชน์และไม่ได้รับการเอาใจใส่ คิดได้เช่นนั้น นางจึงก้าวเท้าเดินสำรวจต่อไป เดินลอดประตูโค้งวงพระจันทร์ หลุดเข้าไปในอุทยานที่มีพฤกษานานาพรรณกว้างขวาง
สตรีกับบุปผาย่อมเป็นของคู่กัน...
นางแย้มยิ้มสดใส ดอกไม้ในสวนแห่งนี้กำลังบานสะพรั่ง โดยเฉพาะดอกมณฑาขาว ที่ส่งกลิ่นหอมขจรขจาย นางหลับตาสูดดมกลิ่นหอมนั้น รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นยิ่งนัก
ดูไปแล้ว...ที่นี่คงมิใช่ตำหนักร้างอย่างที่ข้าคาดคิด เพราะหากรกร้างจริงก็คงไม่มีผู้ใดเข้ามาดูแล อีกอย่าง ถึงแม้จะเป็นตำหนักปกติทั่วไป ถึงตอนนั้น อิงลั่วก็ตามข้ามาไม่ทันอยู่ดี หากข้าจะฆ่าตัวตายที่นี่ คงไม่มีผู้ใดเข้ามาขัดขวาง!
ขณะกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงามเบื้องหน้า เสียงของกระแสน้ำบาง ๆ ก็ดังแว่วข้างหู นางวิ่งตามต้นเสียงไป แล้วก็พบความจริงว่านางไม่ได้หูแว่ว มีสระบัวตั้งอยู่ในอุทยานจริง ๆ!
เมื่อเห็นเช่นนั้น นางก็ไม่รีรอไปยืนตรงหน้าสระบัว ก้มมองลงไป เห็นน้ำใสแจ๋ว ไร้ปลาแหวกว่าย จากมุมสูงนี้ คาดคะเนว่าน้ำในสระคงจะลึกพอประมาณ พอที่จะทำให้นางจมลงไปและขาดอากาศหายใจได้
นี่คงเป็นหนทางรอดเดียวของข้า
เอาล่ะ! กระโดดน้ำตายก็แล้วกัน
สิ้นสุดความคิด นางก็ค่อย ๆ ขยับเปลือกตาปิดลง ยกเท้าขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเดินลงไป แรงผลักของสตรีนางหนึ่งจากทางด้านหลังก็ทำให้ซือลี่หยางถลาลื่นไปข้างหน้า ตกลงไปในสระน้ำอย่างไม่ตั้งใจ
"ฮ่า ฮ่า ๆ ๆ " สตรีผมเผ้ารุงรังสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นอ้าปากหัวเราะลั่นอย่างเสียสติ ริมฝีปากของนางเปิดกว้างมาก ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสะใจบิดเบี้ยวจนน่ากลัว
ร่างของซือลี่หยางค่อย ๆ ถูกสายนทีสูบลงไปเรื่อย ๆ แม้ยังคงหลงเหลือลมหายใจ นางก็ไม่คิดดิ้นรนอะไรอีก
ลาก่อนอิงลั่ว
ลาก่อนว่านกูกู
.
.
ลาก่อนองค์รัชทายาทใจร้าย
ช่วงเวลาแม้เพียงเล็กน้อย แต่ข้าจะจดจำไว้ในความทรงจำไม่ลืมเลือน
คำศัพท์เพื่ออรรถรสในการอ่าน
*ซีผิว = ปี่เซียะ เครื่องรางนำโชค ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายและเรียกทรัพย์สินเงินทองให้ไหลมาเทมา
คุยกับนักอ่าน (+สปอยล์เล็กน้อย)
น้องซือพยายามหาทางกลับไป ส่วนพี่เยี่ยก็ยังสับสนใจตัวเอง เพราะหลงรักน้องโดยไม่รู้ตัว แต่ด้วยไป๋เยว่ชิงคนเก่าเล่นนอกใจ แถมยังวางแผนฆ่า พี่เยี่ยเลยยากที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้
หากเคยติดตามไรท์เรื่องก่อน ๆ ก็จะรู้ว่าไรท์เขียนเนื้อเรื่องกระชับความสัมพันธ์เรื่อย ๆ ไม่ใช่แนวฉุดกระชากลากถูอย่างเดียว เนื้อหายังคงเข้มข้นทุกเรื่องนะคะ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน การตัดสินใจของน้องซือแน่วแน่ แต่ก็อยู่ที่ว่าน้องจะเจอเหตุการณ์บางอย่างแล้วเกิดเปลี่ยนความคิด ซึ่งอาจจะอยากอยู่ต่อ หรือไม่อยากอยู่ก็ได้ มาเป็นกำลังใจให้น้องกันนะคะ :)