ตั้งแต่เกิดมา...ไม่เคยรู้สึกเกลียดชังผู้ใดเท่ากับบุรุษผู้นี้มาก่อน
บ่ายแก่ของวัน ซือลี่หยางออกมานั่งพักผ่อนที่อุทยานกลางพระตำหนักเฟิงยวี่ ขณะที่สายตากำลังทอดมองลงไปในสระบัว มือเล็กก็เผลอจับผ้าไหมปมรูปหัวใจริมกระโปรงผ้าต่วนเล่นอย่างไม่รู้ตัว
วันนี้นางอารมณ์ไม่ดีนัก การแต่งกายจึงเป็นแบบเรียบง่าย สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนปักลวดลายดอกไม้สีครีม เส้นผมสีดำสลวยเกล้าขึ้นเป็นมวยสูงอย่างเกียจคร้าน ปิ่นระย้าสีเขียวมรกตกับไข่มุกเงินรูปดาวเสียบไว้ตรงมวยผม ยามเมื่อต้องแสงแดด ส่องประกายระยิบระยับจับตา
เมื่อนึกย้อนเรื่องราวในวันก่อน นางก็รู้สึกโมโหจนอยากจะกรีดร้องออกมาเสียให้ได้ สำหรับเยว่ชิง...นางไม่รู้ว่านั่นเป็นจูบที่เท่าไร แต่สำหรับซือลี่หยางแล้ว นั่นเป็นจูบแรกของนาง! จูบแรกที่มิได้มีความเปรมปรีดิ์เลยแม้แต่น้อย
องค์รัชทายาทฝากฝังรอยจุมพิตเอาไว้ในความทรงจำและยากที่จะลบเลือน รุกล้ำแม้ในความฝัน นางเกลียดชังเขา ทว่าทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์บนเตียงนั่น ใบหน้านางกลับร้อนผ่าว หายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกทุกอย่างผสมปนเปไปเสียหมด ยากนักที่จะเข้าใจ นางไม่รู้จะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไร รู้เพียงแค่อยากหายตัวไปจากที่นี่ หายกลับไปในที่ที่เคยจากมา
ยามนี้นางเข้าใจความรู้สึกของไป๋เยว่ชิงอย่างถ่องแท้แล้ว มีวาสนาเป็นดั่งชายาขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมานกับคนใจร้ายที่ข่มเหงและวางอำนาจกับนางอยู่ตลอดเวลา
มักได้ยินว่าความฝันสูงสุดของสตรีทุกยุคสมัย ล้วนหนีไม่พ้นการหาบุรุษข้างกายที่เหมือนขุนเขาสูงใหญ่ รูปงาม เก่งกาจ มีอำนาจประดับบารมีและอย่างที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาต้องมอบความรักให้พวกนางจนสุดหัวใจ รักที่ซื่อสัตย์และเอาใจใส่
แต่ทว่าอย่างสุดท้าย...องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ของข้า ไม่มีสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย!
"เฮ้อ...เยว่ชิง หากวิญญาณเจ้าล่องลอยอยู่แถวนี้ ช่วยบอกข้าทีได้หรือไม่ ว่าข้าจะหลีกหนีไปให้พ้นจากบุรุษใจร้ายผู้นี้ได้อย่างไร"
สิ้นสุดความคิด สายลมกลางวันก็พัดวูบเข้าใบหน้างามของซือลี่หยางหนึ่งที จู่ ๆ ขนอ่อนที่แขนของนางก็ตั้งชันอย่างควบคุมไม่ได้
“เยว่ชิง...นั่นเจ้าหรือ” ซือลี่หยางเอ่ยพลางสอดส่ายสายตามองหารอบ ๆ ทว่าสุดท้ายก็ไม่พบเจอสิ่งใด
ข้าคงจะเพ้อเจ้อ คิดมากไปเองกระมัง...
นางดึงสายตากลับมาอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าผิดหวัง ดวงตาคู่งามเริ่มมีไอน้ำปกคลุมจาง ๆ “เยว่ชิง เจ้าว่า...การที่ข้าเข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าเช่นนี้ เป็นลิขิตจากสวรรค์หรือไม่”
“พระชายาเพคะ...พระชายา”
สุ้มเสียงเล็กแหลมหนึ่งดังขึ้น ซือลี่หยางรู้ทันทีว่าเสียงนั้นคือเสียงของอิงลั่ว นางจึงตะโกนกลับไป “ข้าอยู่ตรงนี้”
เพียงไม่นาน บ่าวรับใช้คนสนิทก็รีบเดินดุ่ม ๆ เข้ามาและเอ่ยรายงาน “นายหญิงน้อยซินอ้าย กับ นายหญิงน้อยฟางหรู มาหาเพคะพระชายา”
“ซินอ้ายกับฟางหรู พวกนางคือใคร” ซือลี่หยางขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
อิงลั่วฟังแล้วรีบอธิบายอย่างนอบน้อม “นายหญิงน้อยทั้งสองเป็นชายารองหรืออนุภรรยาขององค์รัชทายาทเพคะ”
ซือลี่หยางเบิกตากว้างโต อุทานออกมาเสียงดัง “มีเมียอีกสองคนเลยหรือ!”
“พะ เพคะพระชายา” อิงลั่วกลืนน้ำลายตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"ไม่ไหวจริง ๆ บุรุษมักมาก มีเมียคนเดียวก็เกินพอแล้ว ไยต้องพาสตรีนางอื่นเข้ามาวุ่นวายในชีวิตข้าด้วย" ซือลี่หยางยื่นปากบ่นอุบอิบไม่หยุด
หรือว่าจะเป็นเหมือนกับในนิยายที่ข้าเคยอ่าน เมียน้อยสองคนตามมากลั่นแกล้ง บุกตบตี ลอบฆ่าเมียหลวงถึงพระ ตำหนัก นอกจากจะรับมือจากบุรุษใจร้ายแล้วยังต้องมารับมือกับบรรดาเมีย ๆ ทั้งหลายของเขาอีก
โธ่...ซือลี่หยาง ชีวิตเจ้านี่มันลำบากทุกชาติภพจริง ๆ
เมื่อออกจากห้วงแห่งความคิด ซือลี่หยางก็ผงกศีรษะเบา ๆ พลางเอ่ย “เจ้าออกไปต้อนรับพวกนาง...เดี๋ยวข้าจะตามออกไป”
อิงลั่วก้มศีรษะเอ่ยตอบเสียงนุ่มนวล “เพคะพระชายา”
ครั้นเมื่อซือลี่หยางเยื้องย่างมาถึงที่เรือนรับรอง ซินอ้ายกับฟางหรูก็รีบลุกขึ้นย่อคำนับอย่างกระตือรือร้นทันที
"คารวะท่านพี่เยว่"
สตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นสองนางเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง ยามเมื่อก้มศีรษะต่ำลง ปิ่นระย้าและต่างหูของพวกนางต่างพากันส่งเสียงกระทบกระทั่งดังขึ้น
ซือลี่หยางแยกไม่ออกว่านางไหนคือ 'ซินอ้าย' นางไหนคือ 'ฟางหรู' พวกนางล้วนเกล้าผมเป็นมวยสูงทรงหรูอี้ อาภรณ์ที่ห่อหุ้มกายตัดเย็บจากวัสดุเนื้อดี นางหนึ่งสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน อีกนางหนึ่งสวมอาภรณ์สีชมพูอ่อน พวกนางเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งปิ่นระย้ารูปทรงดอกเหมยที่ประดับประดาอยู่บนศีรษะ อากัปกิริยาดูอ่อนโยนน่าทะนุถนอม
เอาล่ะ! ซือลี่หยาง...ถึงเวลาที่เมียหลวงต้องออกโรง เชิดเข้าไว้ สู้เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรี อย่าให้พวกเมียน้อยมาหยามเกียรติเอาได้!
หลังจากที่พยายามปลุกเร้าจิตวิญญาณให้ฮึกเหิม ซือลี่หยางก็เชิดหน้าสูง กดเสียงต่ำเอ่ยรวบรัดอย่างห้วน ๆ ว่า "นั่งเถิด!"
สิ้นเสียงเอ่ย พวกนางก็คลี่ยิ้มละไม สะบัดชายกระโปรงผ้าต่วนนั่งลงบนเก้าอี้ตั่งสูงทันที
ซือลี่หยางทำหน้าไม่ถูก นางไม่รู้ว่าควรวางตัวเช่นไรจึงจะเหมาะสม เมียหลวงก็ต้องเคร่งขรึมเข้าไว้มิใช่หรือ ถึงจะควบคุมเมียน้อยทั้งสองเอาไว้ได้ แต่ท่าทางของพวกนางดูร่าเริงชอบกล หรือว่าก่อนหน้านี้ เยว่ชิงคบหากับพวกนางเยี่ยงพี่น้อง
"ท่านพี่เยว่ไม่สบายหรือ เหตุใดถึงทำหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้น เดี๋ยวใบหน้ามีริ้วรอยนะเพคะ" ฟางหรูเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก นางรีบคว้าตลับหยกเปลือกหอยแวววาวในอกเสื้อขึ้นมาส่งยื่นให้ซือลี่หยางทันที ก่อนจะกล่าวต่อ "หม่อมฉันได้ไข่มุกจันทราบำรุงผิวหน้ามา นึกถึงพี่เยว่ก็เลยนำติดตัวมาฝากท่านพี่ด้วย"
ซือลี่หยางฉีกยิ้มกระอักกระอ่วน ก่อนจะยื่นมือรับ ทันทีที่เปิดฝาตลับออก กลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่สดชื่นก็โชยเตะที่ปลายจมูก
ฟางหรูยิ้มและเอ่ยน้ำเสียงอ่อนหวาน "ขี้ผึ้งไข่มุกจันทรานี้ช่วยยกกระชับผิวพรรณ หากใช้แล้วผิวหน้าของท่านพี่เยว่ก็จะนุ่มนวลกระจ่างใส เป็นสูตรที่จักรพรรดินีผู้มีรูปโฉมงามเมื่อร้อยปีก่อนเคยใช้ ข้าได้ยินมาว่า แม้นางจะเข้าสู่วัยชรา แต่ใบหน้านางกลับยังผุดผาดเกลี้ยงเกลา ไม่มีริ้วรอยปรากฏขึ้นเลยแม้แต่น้อย"
ซือลี่หยางก้มหน้ามองตลับขี้ผึ้งในมืออีกครั้ง ครุ่นคิดใคร่ครวญในใจ สิ่งเล่าขานจะเชื่อถือได้สักเท่าไรกันเชียว อายุสักร้อยปี แต่ใบหน้ายังนวลเนียนเหมือนเด็ก ฟังดูเหมือนนางจะอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงไปหรือไม่?
แต่เอาเถิด ถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ข้าก็เคยได้ยินประโยคที่ว่า 'งดงามประหนึ่งจักรพรรดินี' ตามโฆษณาชวนเชื่อของครีมบำรุงผิวทางโทรทัศน์ สตรีย่อมคู่กับความงาม การดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่นนั้นหากลองดูก็คงไม่เสียหายอะไร
"ขอบคุณน้องซินอ้ายที่มีน้ำใจ" ซือลี่หยางเอ่ยพลางฉีกยิ้มบาง ๆ
สีหน้าของอนุทั้งสองฉายแววประหลาดใจเหลือประมาณ ฟางหรูในชุดสีชมพูรีบแย้ง "หม่อมฉัน...ฟางหรูเพคะ"
ซินอ้ายในชุดสีฟ้า เอ่ยสำทับตาม "ส่วนหม่อมฉัน...ซินอ้ายเพคะ"
ซือลี่หยางหัวเราะเจื่อน ๆ กลบเกลื่อน ก่อนจะตอบกลับไปว่า "นั่นแหละ ๆ ข้าคงพักผ่อนน้อย ก็เลยจำชื่อพวกเจ้าสลับสับเปลี่ยนกันไปมา พวกเจ้าอย่าได้ถือสาข้าเลย"
ได้ยินเช่นนั้น พวกนางทั้งสองก็พยักหน้า ส่งเสียงร้องอ้อ บังเกิดความเข้าใจ
ซินอ้ายเขยิบกายเข้าใกล้ บีบมือซือลี่หยางให้กำลังใจ "ท่านพี่หักโหมเกินไปแล้ว หากท่านพี่นอนไม่หลับ ให้พวกข้ามานอนเป็นเพื่อนดีหรือไม่"
"มะ ไม่ต้อง ๆ " ซือลี่หยางโบกมือพัลวัน กล่าวปฏิเสธทันทีด้วยความตื่นตระหนก ถ้วยชาที่ประคองในมือนางสั่นไหวกระฉอกลงบนพื้นพร่องหายไปหลายส่วน
ความปรารถนาดีของเหล่าอนุช่างเป็นมิตรภาพที่น่าอบอุ่นแปลกประหลาด มีที่ไหนเมียน้อยที่ทำตัวราวกับน้องสาวอย่างนี้ คนในวังคงเพี้ยนกันไปหมดแล้วกระมัง
หลุดออกจากห้วงแห่งความคิด นางก็พลันหวนคืนสู่ท่วงท่าสำรวม ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบช้า ๆ คำหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเรียบ "พวกเจ้ามาหาข้าวันนี้มีเรื่องอันใด"
ซินอ้ายโพล่งตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้น "พี่เยว่ลืมไปแล้วหรือ อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ ตำหนักเฉียนเฉียนจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้น"
"ละ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า" ซือลี่หยางถามอย่างประหลาดใจ
ซินอ้ายกับฟางหรูเขยิบกายเข้าไปเกาะแขนของนางคนละข้างพร้อม ๆ กัน พลางส่งสายตาแวววาวออดอ้อน "พวกเราต้องคิดการแสดงกันอย่างไรละเพคะท่านพี่"
"การแสดงหรือ…" ซือลี่หยางขมวดคิ้วมุ่น " จะ เจ้าก็แสดงไปสิ ข้าไม่ได้อยากแสดงด้วยเสียหน่อย"
"โธ่...พี่เยว่งานรื่นเริงนี้จะขาดท่านพี่ไปได้อย่างไร" ฟางหรูพยายามเกลี้ยกล่อม
"พวกเจ้าทำไปเถิด ข้าไม่ว่า..." ซือลี่หยางเอ่ยพลางทำทีจะลุกเดินออกไป ทว่าอนุทั้งสองกลับคว้าแขนดึงรั้งไว้ เกาะแขนนางราวกับเป็นปลาหมึกยักษ์ที่แน่นหนึบไม่ยอมปล่อยไปไหน
"นี่พวกเจ้า! ปล่อยข้า" ซือลี่หยางพยายามสลัดตัวออกจากพวกนางทั้งสอง แต่ทว่าพยายามเท่าไรก็สลัดไม่ออกเสียที หากพวกนางไม่ยอมปล่อยไปดี ๆ อีกประเดี๋ยว ข้าคงต้องจับพวกนางทุ่มลงพื้นเป็นแน่
"ถึงแม้พวกเราจะแต่งเข้ามาเป็นอนุ แต่ก็มีคุณธรรมในจิตใจ พวกเราจะไม่ยอมให้พี่เยว่ต้องเสียหน้า หรือว่าทำเกินหน้าเกินตาท่านพี่ได้" ซินอ้ายเอ่ยโน้มน้าว
ฟางหรูเอ่ยตาม "ท่านพี่เยว่ พี่ก็รู้ว่านี่คือหน้าตาของพระสวามี ฝ่าบาทกับฮองเฮารอชมการแสดงจากท่านพี่ เพราะท่านพี่เป็นชาวเมืองเจิ้งผิง เป็นสตรีงามเพียบพร้อมทั้งการร่ายรำและขับร้อง การแสดงของท่านพี่ปีที่แล้ว ทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยมาก ปีนี้พระองค์จะต้องเฝ้ารอการแสดงจากท่านพี่เป็นแน่"
"ขะ ข้าทำไม่ได้" ซือลี่หยางเอ่ยพลางส่ายศีรษะรัว ๆ
ซินอ้ายเสนอความคิด "ครั้งนี้ข้าจะคิดท่วงท่าร่ายรำให้ท่านพี่กับฟางหรูเอง ส่วนท่านพี่มีหน้าที่เพียงแค่ฝึกฝนตามที่ข้าถ่ายทอดเท่านั้น...ดีหรือไม่"
ซือลี่หยางไม่ตอบอะไร เพียงยืนเฉย ๆ ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างประหม่า ถึงแม้จะทำเช่นนั้นก็เถอะ นั่นก็ยากอยู่ดี ไม่ว่าจะภพภูมิไหน นางก็ไม่เคยร่ายรำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ซินอ้ายเห็นท่าทางลังเลเช่นนั้น ก็ไม่ลดละความพยายาม นางส่งสายตาวิงวอนเปล่งประกายไปหาซือลี่หยางไม่หยุด กล่าวเสียงนุ่มนวล "ท่านพี่เยว่…ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อย ตอบแทนที่ท่านช่วยสอนพวกข้าหลาย ๆ อย่างในวังหลวง ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง โปรดเชื่อใจข้าเถิด"
ซือลี่หยางฉีกยิ้มเก้อกระดาก นางไม่ได้ตอบตกลง ขณะเดียวกันก็ไม่กล่าวปฏิเสธแต่อย่างใด ซินอ้ายกับฟางหรูกระโดดโหยงดีใจ คาดเดาส่งเดชในใจว่า ท่านพี่เยว่ของพวกนางตอบตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว