แสงอาทิตย์ยามอัสดงสีม่วงประกายทองสาดส่องเข้ามาในตำหนักบูรพา ยามนี้เป็นยามโหย่ว ทุกครั้งที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยลับขอบฟ้า ไป๋เยว่ชิงจะมาที่ตำหนักบูรพา พร้อมกับน้ำชาหอมกาหนึ่งมามอบให้พระสวามี เยี่ยเทียนที่ต้องการพิสูจน์นางให้กระจ่างแจ้ง จึงตัดสินใจรอคอยนางที่ตำหนักอย่างใจจดจ่อ
ขณะกำลังเฝ้ารอ เยี่ยเทียนในชุดคลุมสีดำแฉลบทองสูงสง่าก็พลันก้าวขายาวเดินไปมา ครุ่นคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องของพระชายาในหัวสมองไม่หยุด ปรายตามองรอบ ๆ ตำหนักแล้วหวนคะนึงถึงภาพเหตุการณ์ในอดีต
ทุกครั้งที่นางเยื้องย่างเข้ามาในตำหนักด้วยท่วงท่าสง่างาม ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เขาก็พลันผลักไสนางด้วยความเย็นชา ตวาดไล่ ดุด่า ปัดถ้วยชาทิ้งลงพื้นด้วยโทสะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าพอพ้นวัน นางก็ยังคงทำกับเขาเช่นเดิมราวกับตายด้านไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนบางครั้งเขาก็รู้สึกหงุดหงิดและโกรธเคืองกับตนเองที่กลายเป็นคนเช่นนั้น
ถึงแม้ความจริงแล้ว น้ำชาดอกหอมหมื่นลี้ของนางจะมีกลิ่นหอมละมุนสักเพียงใด เขาก็ไม่อาจวางใจได้ หากน้ำชานั่นมีพิษขึ้นมา ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่นางวางแผนเอาไว้ เขาคงจะสิ้นใจอย่างทุกข์ทรมานไปนานแล้ว
เยี่ยเทียนเฝ้าคอยนางจนเวลาล่วงไปถึงสองชั่วยาม…
ไม่มีนาง ไม่มีแม้แต่เงาร่างของนางปรากฏมาที่ตำหนักบูรพาเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของเยี่ยเทียนกระวนกระวายระคนประหลาดใจ เมื่อหมดความอดทน จึงหันไปสั่งการนางกำนัลรับใช้อย่างฉุนเฉียว “เจ้าออกไปดูที ว่าพระชายาอยู่ที่ใด กำลังมาที่ตำหนักหรือไม่”
“เพคะ” นางกำนัลรับคำและม้วนกายเดินออกไป
ทางด้านซือลี่หยางที่ ตำหนักเฟิงยวี่
นอกจากนางไม่รู้ว่าไป๋เยว่ชิงเคยปฏิบัติเช่นไรแล้ว ครั้นพอได้รับรู้ นางก็ยังเพิกเฉย ไม่คิดที่จะสานต่ออีกด้วย
“พระชายาเพคะ...ได้เวลาไปที่พระตำหนักขององค์รัชทายาทแล้วเพคะ” อิงลั่วเอ่ยพลางยกชาหอมหมื่นลี้กาหนึ่งเดินเข้ามา
ซือลี่หยางที่กำลังหยิบผลไม้แห้งกินอย่างสบายอารมณ์ ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที “ไปทำไม...ทำไมต้องไป อีกประเดี๋ยวก็มืดค่ำแล้ว ไทเฮาใช้ให้ข้าคัดพระไตรปิฎกอีกหลายเล่ม ข้ามีอะไรต้องทำอีกมากมาย คงไม่ว่างไปปรนนิบัติสวามีปีศาจร้ายผู้นั้นหรอก”
อิงลั่วหลุบตา ตอบอย่างสำรวม “ทุกวันในยามโหย่ว พระชายาจะเข้าไปถวายน้ำชาหอมหมื่นลี้ให้กับองค์รัชทายาทผู้เป็นพระสวามีเพคะ”
ซือลี่หยางขมวดคิ้วบาง ใบหน้างามบังเกิดความสงสัย เอ่ยถาม “เป็นขนบธรรมเนียมอย่างนั้นหรือ...”
อิงลั่วส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวตอบเสียงเนิบนาบ “เปล่าเพคะ...พระชายาเคยบอกหม่อมฉันเอาไว้ ว่าพระชายาจะทำเช่นนี้ทุกวันเพื่อให้องค์รัชทายาทใจอ่อนและยอมอ่อนข้อลงบ้าง น้ำชาหอมหมื่นลี้เป็นสูตรเฉพาะจากเมืองเจิ้งผิงส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มีเพียงพระชายาเท่านั้นที่สามารถปรุงชาได้หอมกรุ่นและรสชาติหวานล้ำเพคะ”
ทำเพื่อหวังให้รัชทายาทใจอ่อน?
เขาปฏิบัติกับนางเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ ฟังดูแล้วก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย…
“แต่ข้าไม่ใช่นางและข้าก็ไม่ต้องการจะทำไปเพื่อเอาใจใครทั้งนั้น” ซือลี่หยางเลิกคิ้วสูงเอ่ยอย่างดื้อรั้น
ได้ยินเช่นนั้น อิงลั่วก็รู้สึกจนใจ ทว่ายังคงพยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อม “หม่อมฉันว่าพระชายาควรสานต่อความปรารถนาเดิมของพระชายาองค์ก่อนนะเพคะ”
คำพูดของอิงลั่วทำให้ซือลี่หยางฉุกคิดและนิ่งเงียบไป เนิ่นนานจึงหันหน้าไปตอบ “เว้นสักวันเถิดนะ...อิงลั่ว วันนี้ข้าเหนื่อยจริง ๆ คนใจร้ายอย่างนั้น ไม่มารอน้ำชาธรรมดา ๆ จากข้าหรอก”
"รู้หรือไม่...หากปล่อยปละละเลยสามีเจ้า สุดท้ายจะได้รับบทลงโทษเช่นไร"
เสียงเคร่งขรึมแฝงแววเกรี้ยวโกรธของเยี่ยเทียนดังขึ้น ก่อนที่เขาจะก้าวขายาวเข้ามาในเรือน อิงลั่วเห็นเช่นนั้น จึงรีบย่อกายคำนับและเดินออกไปจากเรือนพำนักทันที
"องค์รัชทายาท!" ซือลี่หยางสะดุ้งเฮือก เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางไม่รู้ว่ากฎของวังหลวงเป็นเช่นไร จึงเผลอไผลนึกคิดไปไกลว่าเยี่ยเทียนจะลงโทษนางอย่างเหี้ยมโหด "...หม่อมฉันทำอะไรผิดเพคะ"
เยี่ยเทียนก้าวขายาวเข้าใกล้นางเรื่อย ๆ ร่างบางสั่นสะท้าน ยิ่งเขาใกล้นางเท่าไร กลิ่นอายเย็นเยียบก็ยิ่งชัดเจนเข้มข้นขึ้นเท่านั้น ดวงตาคมคายที่เปี่ยมไปด้วยความชิงชัง ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบล้อมด้วยน้ำแข็งลูกใหญ่ ดั่งอาวุธร้าย หนาวเหน็บหัวใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
เขาเอ่ยเสียงเฉียบ "ทุกวันเจ้าจะเข้าไปหาข้าที่ตำหนักและนำน้ำชามามอบให้ข้า ไฉนวันนี้เจ้าถึงปล่อยให้ข้ารอ"
ซือลี่หยางถอยเท้าร่นไปด้านหลังจนชิดติดขอบเตียง เอ่ยเสียงสั่นเครือ "ชะ ชาของหม่อมฉันสำคัญกับพระองค์ขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ"
เยี่ยเทียนไม่ตอบอะไร เพียงใช้มือหนาผลักร่างแบบบางล้มลงบนเตียง ไม่รีรอขึ้นคร่อม ครอบครองกายนางราวกับสัตว์ใหญ่ตะครุบกินสัตว์เล็กที่เป็นเหยื่อ
ร่างกายนางแข็งทื่อ น้ำลายอึกใหญ่กลืนลงคอด้วยความประหม่า ยามเมื่อสายตาสอดประสาน หัวใจในโพลงอกของนางก็พลันเต้นระส่ำไม่หยุด
"ปล่อยเพคะ!" ซือลี่หยางดีดดิ้นไปมาขณะตะโกนร้องอย่างลนลาน "หากพระองค์ทำอะไรหม่อมฉันแม้แต่น้อย หม่อมฉันจะจัดการพระองค์ จะฆ่าพระองค์ให้ตาย หากเป็นผี หม่อมฉันก็จะตามมาบีบคอพระองค์"
เยี่ยเทียนแค่นเสียงหยันในลำคอ ดวงตาคมคายไร้อารมณ์ของเขาจ้องมองนางเขม็ง หาได้มีความเสน่หารักใคร่เฉกเช่นสามีภรรยาที่มีแรงปรารถนาซึ่งกันและกันเลยแม้แต่น้อย "เจ้าโกรธเคืองข้าขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ก่อนเจ้าไม่แม้แต่จะกล้าจ้องหน้า ยามนี้กลับกล้าพูดจาสาปแช่งข้า เจ้าเป็นใครกันแน่"
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของซือลี่หยางก็พลันซีดขาว ครุ่นคิดอย่างประหวั่นพรั่นพรึงในใจ หรือว่า.. แท้ที่จริงแล้ว องค์รัชทายาทจะรู้ตลอดมา ว่าข้าไม่ใช่เยว่ชิง!
ยังไม่ทันได้เอ่ยโต้ตอบกลับไป ข้อมือเล็กทั้งสองข้างของนางก็ถูกบีบอย่างแรงและจับตรึงไว้กับเตียงนอน เยี่ยเทียนฉวยจังหวะโน้มหน้าลงมาบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างเร่าร้อน
ซือลี่หยางที่ไม่ทันตั้งตัว เบิกตากว้างโตด้วยความตื่นตระหนก จุมพิตนั้นร้อนแรงราวกับเพลิงไฟ ปลายลิ้นของเขาตวัดไหวเข้าไปสัมผัสปลายลิ้นของนาง รู้สึกวาบหวามอ่อนระทวยไปทั้งตัว
มือใหญ่แข็งแกร่งของเขาสอดเข้าไปในเสื้อตัวหนา กระตุกแถบผ้าที่ปกป้องร่างแบบบางออก ลูบคลำ ขบขยำอย่างซุกซน การกระทำของเขาทั้งดุดัน ทั้งรุ่มร้อน ทว่าร่างกายนางกลับไม่แสดงท่าทีปฏิเสธ
ขณะกำลังหลับตาพริ้ม…จู่ ๆ นางก็ได้สติขึ้นมากะทันหัน ยกมือขึ้นผลักดันกายอีกฝ่ายออกไป
เมื่อเห็นว่านางขัดขืน เขาจึงหยุดชะงักและไม่คุกคามนางอีก
ซือลี่หยางรีบคว้าเสื้อคลุมมาบดบังทรวงอกอย่างลนลาน กัดริมฝีปากแน่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “องค์รัชทายาททำกับหม่อมฉันเช่นนี้ทำไมเพคะ”
เยี่ยเทียนแค่นตอบเสียงเย็นชา “เพราะความเกลียดชังอย่างไรเล่า เจ้ายังจะถามข้าอีกหรือ”
หัวใจของซือลี่หยางพลันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำเย็นเฉียบราดรดบนศีรษะ หนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ นางจ้องมองเขาอย่างตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก
ความเกลียดชังอย่างนั้นหรือ?
ฮึ! น่าขันนัก
ใบหน้าของซือลี่หยางที่เรียบเฉย ยากนักที่จะเก็บซ่อนรอยยิ้มขมขื่นเอาไว้ได้ กล่าวเสียงเฉียบ “เช่นนั้น...อย่าเฝ้ารอหม่อมฉันอีกเลยเพคะ ต่อจากนี้หม่อมฉันจะไม่โผล่หน้าไปให้พระองค์เห็นอีก”
วาจาแข็งกร้าวตัดสัมพันธ์ที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของนาง ทำให้เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไป คำถามพรั่งพรูถาโถมขึ้นมาในใจมากมาย
ไม่พบเจอแล้วอย่างไร…
นี่คือสิ่งที่ข้าปรารถนามิใช่หรือ?
ปรารถนาเห็นนางเจ็บปวด ปรารถนาเหินห่างจากนาง ทำทุกวิถีทางให้นางทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่ถึงแม้จะพยายามหาข้ออ้างอย่างไร ทว่าหัวใจของเขาในยามนี้กลับรู้สึกเจ็บปวดแทนเสียเองอย่างหาคำตอบมิได้
ฉับพลันนั้นเยี่ยเทียนค่อย ๆ ถอนสายตาและหันกายเดินกลับออกไป ซือลี่หยางไม่แม้แต่จะปรายตามอง นางซุกตัวลงนอนบนเตียง ผ้าห่มผืนบางและหมอนหนุนเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา