ชายฉกรรจ์พากันลังเลใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างพร้อมเพรียง ถึงพวกเขาจะรักและเคารพบิดาของซิ่นเฉิงมากเพียงใด แต่เหล่าเด็กกำพร้าที่สูญสิ้นบิดามารดาจากความอดอยากกลับได้รับการอุ้มชูจาก ซิ่นเฉิง ฝึกวิชาศาสตราวุธ การขี่ม้า และการล่า มากกว่าได้รับความใส่ใจจากคนเป็นผู้นำเสียอีก เมื่อต้องเลือกระหว่างผู้ที่นับถือประดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต กับผู้นำที่แทบไม่เห็นตัวตนของพวกเขานอกจากมองว่าเป็นนักรบที่จะต้องดูแลสมาชิกในเผ่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะตัดสินใจเลือกซิ่นเฉิง
ซิ่นเฉิงกวาดสายตามองบรรดาสหายร่วมรบ พลันเชิดปลายคางขึ้นด้วยกระหยิ่มใจ ไม่สนใจสายตาของบิดาที่มองมาอย่างกังวลแม้แต่น้อย
ฝีเท้าของอาชาควบทะยานออกไปยังผืนทรายเบื้องหน้า จุดมุ่งหมายคือแคว้นเฟิงฝูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้นัก ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นๆ ในเผ่ามองตามด้วยประหวั่นใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยาม ขณะที่ผู้เป็นบิดาปวดร้าวในใจด้วยต้องเสียบุตรและธิดาอันเป็นที่รักไปเพราะอ่อนแอ ของตน แม้แต่จะห้ามปรามบุตรชายก็ยังกระทำไม่ได้ กระนั้นเขาก็จำต้องเดินหน้าต่อไป ออกปากสั่งกับสหายคนสนิทเสียงเบา
“บอกทุกคนให้รีบเก็บของ เราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้”
ที่แห่งนี้อยู่ไม่ได้แล้ว... การกระทำของซิ่นเฉิงจะนำภัยมาอย่างแน่นอน
อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...
จะว่าแคว้นเฟิงฝูนั้นอยู่ไม่ไกลก็อาจจะคาดเดาผิดไปสักหน่อยนัก ใช้เวลาร่วมสองราตรีเลยทีเดียวกว่าจะมาถึงอาณาเขตแว่นแคว้น ซิ่นเฉิงไม่กล้าเข้าใกล้แคว้นนั้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเขาจะต้องสำรวจให้ถ้วนถี่เสียก่อนว่าทางหนีทีไล่ของแคว้นนี้อยู่ที่ใดบ้าง เมื่อช่วงชิงซิ่นจินและพาหลบหนีออกมาแล้ว ทางไหนที่เขาและพรรคพวกจะไม่ถูกจับได้
ทว่า... เท่าที่เห็นดูเหมือนจะมีแค่ประตูทางเข้าแคว้นเท่านั้นที่เป็นทางเข้าออกแห่งเดียวของแคว้นนี้ เหนือประตูบานใหญ่ก็เต็มไปด้วยเหล่าทหารอมนุษย์ที่เฝ้าประจำการตามจุดต่างๆ ของรั้วหินสูงตระหง่าน
เห็นทีคงจะต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าแฝงกายเข้าไปสืบเสาะข้อมูลเสียก่อน จากนั้นค่อยสืบเสาะเรื่องราวของเทียนอี้จากทาสในนั้น...
ทาส... ถูกต้อง แคว้นเฟิงฝูนั้นถูกอมนุษย์ครอบครองมานานหลายร้อยปี ตอนยังเยาว์วัย ซิ่นเฉิงเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาว่าอมนุษย์เหล่านี้เคยเป็นเทพชั้นสูงบนสวรรค์ หากแต่ต้องโทษกบฏจึงถูกขับไล่ จุติและอุบัติใหม่อีกครั้งในโลกมนุษย์ในฐานะเทพอสูร เพราะได้ครอบครองผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ บรรดามนุษย์ที่ทนต่อความแร้นแค้นไม่ไหวจึงเข้าสวามิภักดิ์ บุรุษยอมตกเป็นทาสให้ใช้แรงงาน สตรียอมมอบร่างกายเพื่อสร้างทายาทให้แก่อมนุษย์เหล่านั้นด้วยอมนุษย์ไม่มีผู้ใดเลยที่เป็นหญิง
น่าแปลก... แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้สนใจไม่ ทำเพียงแค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น
เทพอสูรเช่นนั้นหรือ? เบียดเบียน พรากญาติพี่น้อง ช่วงชิงทุกอย่างของมนุษย์สมควรถูกเรียกว่าอมนุษย์ถึงจะเหมาะสมกว่า
ความคิดนั้นสิ้นสุดลงเมื่อเห็นดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยเข้ายามอุ้ย[1] ซิ่นเฉิงก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ปลอมตัวเป็นพ่อค้า ปิดบังอำพรางใบหน้าและคลุมศีรษะ แฝงกายเข้าไปในแคว้นเฟิงฝูกับคนสนิทอีกหยิบมือ พวกที่เหลือให้ซุ่มรออยู่ด้านนอกเพื่อให้รอพาหลบหนีเมื่อชิงตัวซิ่นจินมาได้สำเร็จ
การสำรวจแคว้นเฟิงฝูนั้นช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยเหล่านักรบชนเผ่าเร่ร่อนหาได้เคยเห็นบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน มันช่างแตกต่างจากผืนทะเลทรายที่เขาคุ้นเคยนัก ร้านรวงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ผู้คนทั้งมนุษย์และเทพอสูรแต่งกายด้วยอาภรณ์แปลกตา ต่างจากอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่ยิ่งนัก แม้จะตกใจกับบรรดาเทพอสูรที่มีรูปลักษณ์กึ่งสัตว์ กึ่งมนุษย์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมที่หลากหลายคละเคล้ากันไป แต่ที่ทำให้ตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือ...ต้นไม้
ต้นไม้สีเขียวขึ้นกระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของแคว้นเฟิงฝู มองแล้วเหมือนกับสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน บรรดานักรบหนุ่มถึงกับครางออกมาด้วยประหลาดใจไม่ได้ ขณะที่ซิ่นเฉิงหาได้สนใจเรื่องเหล่านั้น นอกจากจะมองหาสถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของอมนุษย์นามเทียนอี้
การค้นหาไม่ใช่เรื่องยากนักด้วยเทียนอี้เป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นเฟิงฝู เพียงเอ่ยปากถามทาสรับใช้ของร้านโอสถในละแวกตลาดก็ได้รับคำตอบว่าที่พำนักของเทียนอี้คือจวนแม่ทัพทางทิศตะวันตก ซิ่นเฉิงแสร้งเดินผ่านอยู่หลายครั้งหลายครา พลางพินิจว่าจวนใหญ่แห่งนี้ ถึงจะมีทหารรักษาการณ์รายล้อมอยู่รอบ แต่ก็หาได้ยากยิ่งสำหรับการลอบเข้าไปนัก ก่อนจะรีบหาที่ซ่อนตัวหลบ รอจนตะวันลาลับขอบฟ้าต่อไป
เมื่อผืนฟ้าทอแสงสีดำ นภาประดับดวงดาราประกายระยับ เสียงเคาะบอกว่าเป็นยามโฉ่ว[1]ดังแว่วมาให้ได้ยิน ซิ่นเฉิงกับพรรคพวกซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งค่อยๆ เผยเรือนกายออกจากความมืด ภายใต้ผ้าคลุมหน้ามิดชิดนั้น ต่างฝ่ายต่างพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณบอกว่าควรแก่เวลาแล้ว
แม้จะเป็นคนทะเลทราย แต่ก็หาได้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ซินเฉิ่งและสหายพากันใช้วิชาตัวเบาปีนไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนกระทั่งถึงอาณาเขตจวนของแม่ทัพเทียนอี้ ครั้นเห็นว่ารอบข้างปลอดสายตาจากทหารยาม ซิ่นเฉิงก็เป็นคนแรกที่กระโดดข้ามรั้วสูงเข้ามายังสวนด้านใน ทันทีที่พรรคพวกตามเข้ามา เขาก็ชี้นิ้วเป็นสัญญาณว่าผู้ใดควรไปทางไหน
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไปที่เรือนทางซ้าย อีกคนไปทางขวา มีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่ในสวนของเรือนใหญ่ เขาทอดมองไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดับไฟเสียมืดสนิทตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น
เรือนไหนสักเรือนต้องมีซิ่นจินอยู่ข้างใน
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพานางกลับออกมาให้จงได้!
[1] ยามโฉ่ว เท่ากับเวลา 01.00 น. - 02.59 น.
[1] ยามอุ้ย เท่ากับเวลา 13.00 น. - 14.59 น.