กลิ่นสาบประหลาดลอยมาตามลมเตะเข้าจมูกของร่างกำยำภายในห้องหนังสือเข้าอย่างจัง ทำเอาอมนุษย์ที่นั่งอ่านตำราการศึกชะงัก วางสิ่งที่ถืออยู่ในมือลงเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดและพินิจอีกครั้งว่าเมื่อครู่เขาเข้าใจผิดไปหรือไม่ แต่เมื่อกลิ่นที่ลอยเข้ามาเตะจมูกนั้นช่างไม่คุ้น เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าในจวนนั้นมีผู้บุกรุก
ถึงพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่กลิ่นทรายคละคลุ้งเช่นนี้ย่อมไม่ใช่กลิ่นของคนในแคว้นเฟิงฝูอย่างแน่นอน อีกทั้งกลิ่นนั้นก็หาใช่กลิ่นเทพอสูร หากแต่เป็นกลิ่นของมนุษย์
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ได้กลิ่นนี้ ข้ารับใช้คนสนิทซึ่งมีใบหน้าเป็นจระเข้เองก็ได้กลิ่นเช่นกัน ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกที่ไวเช่นนี้เป็นเพราะความสามารถซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเทพ หรือเป็นเพราะสัญชาตญาณสัตว์กันแน่ กระนั้นก็หาได้สนใจเมื่อพ่อบ้านเหลียงเอ่ยขึ้น
“จะให้จัดการเลยหรือไม่ขอรับ ท่านแม่ทัพ...”
ดวงตาเรียวสีทองอำพันชำเลืองมองผู้พูด พอจะเดาได้ว่าผู้ใดบุกรุกเข้ามายามวิกาลและมาเพื่อการใด เพราะกลิ่นนั้นช่างไม่ต่างอะไรจากกลิ่นของว่าที่ฮูหยินของเขาซึ่งเพิ่งถูกนำตัวเข้าจวนมาในวันนี้ ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียง เนิบนาบ
“ปล่อยไปก่อน ให้กระทำการตามใจสักครู่ แล้วค่อยให้ทหารไปจัดการ”
เสียงนั้นเป็นของประมุขจวน...แม่ทัพเทียนอี้ ท่าทางเขาดูไม่ยี่หระกับสิ่งใด เมื่อสิ้นเสียงก็ทอดสายตาอ่านตำราบนโต๊ะอีกครั้ง ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงพยักหน้ารับคำและนั่งนิ่งเงียบๆ คอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่เช่นเดิม
จวนแม่ทัพกว้างขวาง ใช้เวลานานอยู่โขทีเดียวในการสำรวจแต่ละห้องในจวนกว่าจะค้นพบว่าซิ่นจินถูกนำมาขังไว้ที่ห้องหนึ่งของจวนใหญ่ซึ่งซิ่นเฉิงสำรวจอยู่ เขาพบนางโดยบังเอิญเสียด้วยซ้ำ เพราะเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ดังลอดออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้า ผลักบานประตูเข้าไป แล้วก็พบกับนางที่ฟุบหน้าอยู่กับฟูกนอน
ครั้นเอ่ยเรียก...
“ซิ่นจิน...”
หญิงสาวก็ผินหน้ามามองยังผู้มาใหม่ ทันทีที่เห็นบุรุษนิรนามในอาภรณ์ปกปิดหน้าตา นางก็จำได้ทันทีว่าชายผู้นั้นคือพี่ชายฝาแฝดของตน
“ท่านพี่” ร่างบางผุดลุก โผเข้าหาอีกฝ่ายอย่างร้อนรน “ท่านมาที่นี่ได้เช่นไร แล้วท่านพ่อล่ะ”
“เรื่องนั้นไว้ข้าจะตอบเมื่อพาเจ้าออกไปได้ ตอนนี้รีบตามข้ามาก่อนเถิด” ซิ่นเฉิงว่าเร็วๆ คว้าข้อมือของน้องสาวให้รีบก้าวตาม
ซิ่นจินไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องอยู่ต่อ ถึงนางจะไม่ขัดเมื่อครั้งบิดาเอ่ยปากแลกเปลี่ยนตัวนางกับชีวิตของคนในเผ่า แต่ก็หาใช่ว่านางอยากจะมาเป็นฮูหยินของอมนุษย์ผู้นั้น ต่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของนางจะดีขึ้น นางก็หาได้ยินดีไม่
การเป็นฮูหยินเพื่อสร้างทายาทอมนุษย์นั้นทำให้นางเหมือนไปเยือนปรโลกทั้งเป็น!
หากแต่การหลบหนีไม่ง่ายนัก เมื่อเทียนอี้ซึ่งปล่อยให้พวกแมวขโมยจากทะเลทรายเดินเล่นอยู่ในจวนนานสองนานออกคำสั่งให้พ่อบ้านเหลียงสั่งการทหารเข้าจับกุม พรรคพวกของซิ่นเฉิงถูกจับได้เป็นอันดับแรก ก่อนที่ทหารพวกนั้นจะมาดักรอยังหน้าเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนหลักของแม่ทัพเทียนอี้
ทันทีที่เห็นทหารอมนุษย์ในร่างสรรพสัตว์กรูกันมาล้อม ซิ่นเฉิงก็ชะงักฝีเท้า ดันร่างของน้องสาวให้ไปหลบอยู่ทางด้านหลัง ขณะที่มือข้างหนึ่งดึงดาบวงเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นมากระชับในมือแน่น หมายจะประหัตประหารอีกฝ่ายให้สิ้นซาก บัดนี้เขาคิดในใจแล้วว่าต่อให้ตัวต้องตาย เขาก็จะไม่ยินยอมให้ซิ่นจินตกเป็นของเทพอสูรเจ้าของจวนเป็นอันขาด
คิดเช่นนั้นก็ถลาเข้าหาเทพอสูรชั้นผู้น้อย เหวี่ยงกระหวัดดาบในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วและชำนาญ รูปร่างที่เล็กกว่าอมนุษย์เหล่านั้นทำให้เขาได้เปรียบในการหลบหลีก กระนั้นเรื่องพละกำลังก็ยังเสียเปรียบอยู่ หากแต่ซิ่นเฉิงก็สู้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี สายตาคอยชำเลืองมองซิ่นจินซึ่งอยู่ในอารามตกใจเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่านางยังปลอดภัย อีกทั้งสอดส่ายสายตาหาทางหนีทีไล่ไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่าพรรคพวกของตนถูกจับไปแล้ว
เสียงเอะอะมะเทิ่งจากเรือนใหญ่ทำเอาเทียนอี้จำต้องวางมือจากตำราพิชัยอีกครั้ง ผุดลุกขึ้นพลางออกปากกับพ่อบ้านเหลียง
“ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเหตุใดการจับเจ้าแมวขโมยถึงได้เสียงดังถึงเพียงนี้ พ่อบ้านเหลียง บอกให้ทหารนำแมวขโมยอีกสองคนนั่นตามข้าไปด้วย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
สิ้นเสียงของพ่อบ้านเหลียง ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทก็เคลื่อนออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนใหญ่ทันที
ผ่านไปเพียงครู่ ซิ่นเฉิงเริ่มรู้สึกตัวว่าการต่อกรกับอมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่หาควรทำแต่อย่างใด เพราะนอกจากเขาจะต้องใช้แรงต่อต้านอย่างมหาศาลแล้ว เขาก็อาจจะหมดเรี่ยวแรงพาซิ่นจินหนีได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผน ตั้งใจจะพาหนีอย่างเดียวแทน พร้อมกันนั้นก็สบถบ่นพรรคพวกที่หายตัวไป ไม่โผล่มาในเวลาคับขันเยี่ยงนี้ไม่หยุด
เจ้าพวกนั้น... ไม่ใช่ว่าถูกจับไปแล้วหรอกนะ
ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่หายไปนานขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะถูกจับได้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นเสียงต่อสู้ดังสนั่นขนาดนี้ก็ต้องได้ยินและตามมาช่วยเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพาซิ่นจินออกไปก่อน
“ซิ่นจิน!” คิดเช่นนั้นก็ร้องเรียกหญิงสาวที่หลบอยู่ไม่ไกล
นางถลาเข้ามาคว้ามือของพี่ชายที่ยื่นให้จับไว้อย่างรวดเร็ว เขากะใช้วิชาตัวเบาพานางหลบหนี หากแต่ยังไม่ทันจะได้ทำการใดๆ น้ำเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขัดขึ้น
“จะพานางไปโดยทิ้งคนของเจ้าไว้เช่นนั้นหรือ?”
ซิ่นเฉิงชะงัก หันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าสหายร่วมรบถูกจับมัดมือไพล่หลัง เบื้องหลังมีทหารอมนุษย์ร่างโตคอยควบคุมอยู่อีกสองตน
“พวกเจ้า...” ครางออกมาด้วยประหวั่นวิตกเป็นยิ่งนัก
ขณะที่นักรบทะเลทรายพวกนั้นร้องตะโกนบอก
“หนีไปซะท่านพี่ ทิ้งพวกข้าไว้! อึ้ก!”
โดนทุบหลังไปทีหนึ่งโทษฐานเสนอหน้าพูดโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนพ่อบ้านเหลียงที่เป็นเจ้าของเสียงก่อนหน้าจะพูดขึ้นอีก
“หากข้าไม่สั่ง อย่าได้ปริปากออกมา”
“เจ้า!” ซิ่นเฉิงเห็นแล้วก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงจะเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องได้ง่ายๆ
ตั้งท่าจะปรี่เข้าหาบุรุษผู้มีศีรษะเป็นจระเข้ด้วยหมายสังหาร หากแต่ยังไม่ทันขยับเขยื้อน เสียงแหบห้าวของผู้มาใหม่ก็ดังขัดขึ้นอีก
“หยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่จะต้องมีใครสักคนเสียเลือดเนื้อดีกว่า เห็นอยู่ไม่ใช่หรือว่าเจ้าต่อกรกับพวกข้าไม่ไหว”
ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ ครั้นเงานั้นเดินเข้ามาใกล้ยังใต้ร่มไม้ สายตาก็เห็นชัดเจนว่าผู้มาใหม่นั้นมีรูปร่างเป็นเช่นไร
ศีรษะใหญ่ ใบหน้าช่วงจมูกและปากยาว ใบหูทั้งสองข้างตั้งตรงเส้นขนสีเงินยวงดกฟูไปทั่วเรือนร่าง อีกทั้งทางด้านหลัง...มีหาง
สุนัขป่า!?
ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น คนตรงหน้าหาใช่เทพอสูรทั่วไปที่เขาพบเห็นเป็นแน่ ด้วยสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าเกรงขามบางอย่างที่ต้องทำให้เขาต้องสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างอย่างมิอาจควบคุม ยิ่งถูกดวงตาสีทองอำพันจับจ้อง เขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกกระชากออกเป็นเสี่ยงๆ เลยทีเดียว
กระทั่งอีกฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง สติสัมปชัญญะของซิ่นเฉิงถึงได้กลับมาอีกครั้ง
“กล้าดีมากที่มาช่วงชิงตัวว่าที่ฮูหยินของข้าถึงในจวนเช่นนี้ ...เจ้าโจรทะเลทราย”
หรือนั่นจะเป็น...แม่ทัพเทพอสูรเทียนอี้!?