“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านพ่อเอานางไปแลกกับน้ำเหล่านี้!” ตะเบ็งเสียงพลางชี้นิ้วไปยังถุงบรรจุน้ำมากมายเบื้องหลัง
อีกฝ่ายไม่ตอบใดๆ แต่ความเงียบนั่นแหละที่เป็นคำตอบชัดเจน
“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นลูกของท่านนะ” ซิ่นเฉิงผิดหวังในตัวบิดาไม่น้อย สีหน้าโกรธเกรี้ยวเสียจนบูดเบี้ยวไม่น่ามอง
คนอาวุโสกว่าสบดวงตาเต็มไปด้วยโทสะของบุตรชายเพียงครู่ ก่อนว่าออกมา
“ซิ่นเฉิง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคนในเผ่าเราต้องอดอยากล้มตายกันมากมายเพียงใด เจ้าจะทนเห็นพวกเขา ทั้งคนเฒ่า สตรี อีกทั้งลูกเด็กเล็กแดงต้องขาดใจตายด้วยกระหายน้ำเช่นนั้นหรือ?”
“ก็เลยเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อนำบุตรสาวตนเองไปแลกกับน้ำอย่างนั้นสิ”
ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากชายวัยกลางคนตรงหน้าอีกครา ทำเอาซิ่นเฉิงบันดาลโทสะกว่าเดิม หากคนตรงหน้าหาใช่บิดาของเขา เขาคงจะไม่รอช้าที่จะชักดาบวงพระจันทร์เสี้ยวที่สะพายอยู่ข้างเอวออกมาสังหารเสียให้สิ้นแล้ว
เพราะทำไม่ได้จึงได้แต่จ้องใบหน้าหยาบกร้านของบิดาเขม็ง กดเสียงต่ำออกมา
“ท่านจะต้องเสียใจที่ทำเช่นนี้”
สิ้นเสียงก็สะบัดกาย เดินหนีไปอีกทางท่ามกลางสายตาของสมาชิกเผ่าที่มองเขาด้วยความหวาดหวั่น ว่าหลังจากนี้ซิ่นเฉิงจะกระทำการไม่คาดฝัน นั่นก็คือ...การไปช่วงชิงตัวซิ่นจินกลับมา
ไม่เว้นแม้แต่บิดาเองที่คิดเห็นเช่นนั้น ทันทีที่เห็นร่างสูงก้าวจากไปก็รีบร้องเรียกทันควัน
“เจ้าจะไปไหนกันซิ่นเฉิง”
คนถูกเรียกชะงักเล็กน้อย หันมามองด้วยแววตายากจะอ่าน ก่อนคำพูดของเขาจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินแทบหยุดหายใจ
“ข้าจะไปพาซิ่นจินกลับ”
ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้แม้แต่น้อย ผู้เป็นบิดาไม่เห็นด้วย รีบเดินเข้ามาหาพลางร้องห้าม
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะซิ่นเฉิง นางกำลังจะเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเทียนอี้ คงเข้าพิธีสมรสอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้า เจ้าจะช่วงชิงมาไม่ได้”
ซิ่นเฉิงส่งเสียงหึในลำคอ มุมปากยิ้มเย้ย “ช่วงชิงมาไม่ได้ เป็นเพราะท่านพ่อกลัวเช่นนั้นหรือ?”
ไม่ต้องตอบรับ เพียงแววตาที่มองมายังบุตรชายก็เป็นคำตอบแล้วว่าเขากลัวอมนุษย์ตนนั้นเพียงใด หากไม่เป็นเพราะเขาและสมาชิกในเผ่าหาได้รู้ว่าบ่อน้ำกลางทะเลทรายบ่อเล็กๆ ที่บังเอิญเจอขณะรอนแรมไปหาที่พำนักใหม่นั่นเป็นของเทียนอี้ หนึ่งในแม่ทัพเทพอสูรซึ่งครองแค้วนเฟิงฝูที่ได้ชื่อว่าเป็นแคว้นอันอุดมสมบูรณ์ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ เขาก็คงจะไม่ถูกทหารของเทียนอี้จับโทษฐานบุกรุก โทษของการขโมยย่อมร้ายแรงถึงชีวิต และเพื่อไม่ให้สมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ต้องสูญเสียเพราะความโง่เขลาของตน การสละสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตของคนอีกหลายคนย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ หากแต่ซิ่นเฉิงหาได้คิดเช่นนั้นไม่ เมื่อเห็นบิดาไม่ให้คำตอบ เขาก็นึกคับแค้นใจ
“ไหนท่านเคยบอกกับข้าว่าซิ่นจินเป็นสิ่งล้ำค่าของท่าน นางมีใบหน้าละม้ายคล้ายท่านแม่ ไม่ว่าตัวต้องตายก็จะไม่ยอมเสียให้ผู้ใดไปอย่างไรล่ะ”
ไม่สนใจแม้จะถามด้วยซ้ำว่าเทียนอี้ผู้นั้นคือใครกันแน่ หรือบิดาและสมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ถูกทหารอมนุษย์ของเทียนอี้พบเจอได้เช่นไร ในหัวของเขามีเพียงภาพดวงหน้าของซิ่นจิน...น้องสาวฝาแฝดของเขาที่ต้องรับเคราะห์แทนความโง่เขลาของบิดา
ถึงนางจะมีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ หากแต่กลับคล้ายมารดามากกว่าเสียอีก นางงดงาม แม้จะเป็นสตรีในชนเผ่าเร่ร่อน แต่ความงามของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใด จึงไม่แปลกหากซิ่นเฉิงจะหวงนางมาก ก็นางเป็นทั้งน้อง และเป็นของล้ำค่าของเขาเช่นกันนี่ ตั้งแต่มารดาสิ้นไป ก็มีซิ่นจินนี่แหละที่เยียวยาจิตใจของเขาให้แข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้ ขณะที่ผู้เป็นบิดาละเลยเขาราวกับไร้ตัวตน มาเห็นว่ามีประโยชน์เอาก็ตอนที่เขาเติบใหญ่และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้านักรบของเผ่า ตอนนั้นเองที่บิดาเริ่มเรียกหาเขา แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อการใช้งานเท่านั้น
“ซิ่นเฉิง...” ครั้นถูกบุตรชายพูดแทงใจดำ น้ำเสียงแห้งผากก็ครางเรียกชื่ออีกฝ่าย
ซิ่นเฉิงยิ้มเย้ย “ท่านตระบัดสัตย์” จากนั้นก็หันหลัง ก้าวเดินหนีไปยังกลุ่มนักรบทะเลทรายที่รู้ดีว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะต้องทำอะไร ทว่าก็ต้องชะงักอีกคราเมื่อเสียงของบิดาลอยมาตามลม
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าจะทำให้คนในเผ่าเราเดือดร้อน!”
ซิ่นเฉิงเหลือบไปมอง ขณะที่บิดายังคงพูดต่อ
“เจ้าจะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนข้าในภายภาคหน้า ทำการสิ่งใดก็จงคิดถึงคนในเผ่าไว้ด้วย”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คล้ายกับจะรับฟัง หากแต่ไม่ เขาก้าวเดินต่อไป ทำให้บิดาหมดสิ้นซึ่งความอดทน
“หากเจ้าขึ้นหลังม้า ข้าจะถือว่าเจ้าหาใช่คนของเผ่าอีกต่อไป!”
ซิ่นเฉิงหันขวับมามอง คำรามในลำคอเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงเครียด
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องพาซิ่นจินกลับมา”
จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้า เหลือบมองบรรดานักรบหนุ่มที่ร่วมปล้นเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปี พลันร้องถาม
“ผู้ใดจะไปกับข้า ขอให้ขึ้นม้าประเดี๋ยวนี้!”