จ็ดทิวา เจ็ดราตรี’

1729 คำ
การที่ซิ่นเฉิงยอมเดินตามมาถึงห้องโอสถอย่างเชื่อฟังก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่การที่เขาเอาแต่ยืนนิ่ง พ่อบ้านเหลียงที่หมายจะทำแผลให้พูดอะไรก็ไม่ตอบสนอง นั่นทำให้เทียนอี้รำคาญใจขึ้นมาเล็กๆ ก่อนจะต้องออกปากให้พวกคนรับใช้คนอื่นๆ ออกไปรอทางด้านนอก ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงเอง เพราะคิดว่าที่ซิ่นเฉิงยืนนิ่ง ไม่ไหวติงเป็นการต่อต้านอย่างอหิงสาอยู่นั้น เป็นเพราะรอบข้างมีผู้คนมากมายนั่นเอง หากยอมทำตามคำสั่งของเทียนอี้ คงคิดว่าจะเสียหน้าถึงได้แสดงท่าทางนั้น เทียนอี้จึงต้องรับหน้าที่ในการทำแผลให้ชายหนุ่มอย่างไร้ทางเลือก ครั้นภายในห้องโอสถเหลือเพียงเขากับซิ่นเฉิง เทียนอี้ซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ก็เอ่ยปาก “ไม่มีผู้ใดแล้ว เจ้าเลิกดื้อดึงแล้วมานั่งตรงนี้ ข้าจะทำแผลให้” ซิ่นเฉิงยังคงยืนนิ่ง แสร้งทำหูทวนลม เห็นดังนั้นเทียนอี้ก็ระบายลมหายใจ ว่าออกมาอีกครา “มานั่ง” พูดช้าๆ ชัดๆ แต่หนักแน่น ซิ่นเฉิงยอมทำตามในที่สุด เมื่อทรุดตัวนั่งแล้ว เทียนอี้ก็ถือวิสาสะคว้าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บไปพลิกดู เสียงร้องโอดโอยดังลอดออกจากริมฝีปากหนาเล็กน้อย แม่ทัพเทพอสูรเหลือบมองเล็กน้อยเพื่อพินิจว่าเจ็บปวดมากหรือไม่ แต่พอเห็นว่าคนตรงหน้าทนได้ก็พลิกดู “บาดแผลไม่ลึกนัก ไม่กี่วันก็คงหาย” พูดพลางหันไปคว้าผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นบิดหมาดมาเช็ดคราบเลือดที่เริ่มแห้งเกรอะกรังให้ ซิ่นเฉิงมองฝ่ามือใหญ่ที่ห่างไกลจากคำว่าฝ่ามือมนุษย์นิ่ง ฝ่ามือ...ที่ดูไม่ต่างจากเท้าของสุนัขป่า มันมีลักษณะคล้ายกับฝ่ามือของมนุษย์ หากแต่มีขนปกคลุมไปทั่วและมีเล็บงอกยาว ชวนให้ดูน่ากลัวมากกว่าที่จะน่าสัมผัส กระนั้นมือของเทียนอี้กลับเช็ดคราบเลือดให้เขาอย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง จนขนสีเงินยวงเปรอะเปื้อนคราบเลือดจางๆ ไปด้วย ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจ นอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาทำแผลไปโดยไม่ปริปากพูดออกมา ซิ่นเฉิงนั่งนิ่ง ก่อนจะสูดปาดด้วยความเจ็บแสบเมื่อผงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดถูกโปะลงมาบนปากแผล “โอ๊ย!” “เจ็บรึ?” เทียนอี้เหลือบมองหน้า ซิ่นเฉิงเก็บสีหน้านั้นทันที เหลือเพียงแต่ใบหน้าที่นิ่ว เทียนอี้จึงไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ นอกจากพูดไปเรื่อยเปื่อย “ฝีมือวรยุทธของเจ้าน่ะล้ำเลิศนัก ไม่ว่าศัตรูจากทิศใดก็หวาดกลัวความคลั่งของเจ้าได้ไม่ยาก” จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน ซิ่นเฉิงอดแปลกใจไม่ได้ หัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายออกเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดเข้าหากันอีกเมื่อเทียนอี้เอ่ยประโยคถัดไปออกมา “แต่เจ้าใจร้อนเกินไป ต่อให้ไหวพริบดี หากแต่โง่เขลา ร้อนรนจะเอาชนะเช่นนั้น สุดท้ายก็มีแต่จะพ่ายแพ้” ว่าจบก็หันไปเอาผ้าสำหรับพันแผลขึ้นมาพันไปที่ท่อนแขนแกร่ง “เมื่อครู่ก็เช่นกัน ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ เจ้าก็ควรจะสงบจิตสงบใจเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้สติคิดทบทวน ฝึกปรือจนวิชาแก่กล้ากว่านี้ แล้วค่อยมาเอาคืนก็ยังไม่สาย” เขาหมายถึงการที่ซิ่นเฉิงหมายจะทำร้ายเขานั่นแหละ ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง “ข้าไม่ต้องการให้สุนัขเช่นเจ้ามาสั่งสอนหรอกนะ” “ข้าก็ไม่ต้องการให้แมวป่าเช่นเจ้ามาระรานปั่นป่วนในจวนข้าเช่นกัน” เทียนอี้สวน “สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน หากเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยข้ากลับไปสิ จะกักขังข้าไว้เพื่อการใด” ซิ่นเฉิงขึ้นเสียงเล็กน้อย “เจ้าคงจะลืมไปว่าเจ้าเป็นทาสของข้าเพราะเหตุผลอะไร” ถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็พูดต่อไม่ออก ได้แต่ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเมื่อเทียนอี้ถามขึ้นมาอีก “เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าทะเลทรายใช่หรือไม่?” “ถามทำไม” ถึงซิ่นเฉิงจะไม่ตอบ เทียนอี้ก็รับรู้ได้ ซิ่นจินผู้เป็นน้องสาวเป็นธิดาของหัวหน้าเผ่า ซิ่นเฉิงก็ย่อมต้องเป็นบุตรอยู่แล้ว ...ก็แค่ถามเพื่อเริ่มการสนทนาเท่านั้น “เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่า ในภายภาคหน้าจะต้องสืบต่อปณิธานของบิดา แต่เจ้าใจร้อนเฉกเช่นพายุเพลิงเช่นนี้ เป็นการดีแล้วหรือที่ผู้อื่นในเผ่าจะฝากชีวิตไว้ในอุ้งมือของเจ้า...” “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ได้ฟังก็นึกหงุดหงิดขึ้นมา จนต้องหันไปว่าเสียงเขียว แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย... “หากเจ้ายังคงใจร้อนดั่งเปลวไฟ ทำการใดไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเช่นนี้ เจ้าคงจะดูแลคนของเจ้าได้ลำบาก ดูแล้ว เจ้าก็อายุอานามไม่น่าจะแรกรุ่น เจ้ามีอายุกี่ขวบปีกัน” “ยี่สิบ” “แล้วเหตุใดถึงได้ไร้ซึ่งสติปัญญา” “เจ้าจะทำแผลให้ข้าหรือสั่งสอนข้ากันแน่!” ชักหมดความอดทนแล้ว เขาไม่ได้ต้องการให้ใครมาสั่งสอนเขาในเวลาอย่างนี้ คำพูดประมาณนี้ เขาได้ยินบิดาปรามาสมาบ่อยครั้งแล้ว เรียกว่าแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนเลยก็ว่าได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการฟัง! และแทนที่เทียนอี้จะสงบปากสงบคำ เขากลับว่าออกมาหน้าตาเฉย “ทั้งสองอย่าง” “เจ้ามันช่าง...!” “เสร็จแล้ว” ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะได้บริภาษใดๆ เทียนอี้ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนที่พันผ้าเป็นที่เรียบร้อยของซิ่นเฉิงออก ไร้ซึ่งคำขอบคุณจากชายหนุ่ม เขาทำเพียงมองแขนของตนนิ่ง ขณะที่เทียนอี้ลุกไปดูหม้อต้มยา “เจ้าอาจจะรู้สึกปวดแสบที่แผล ดื่มยานี่เสีย จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้” “คิดจะวางยาพิษข้าหรือไร” ซิ่นเฉิงว่าจับผิด แม่ทัพเทพอสูรเหลือบมามองทันควัน “หากคิดจะสังหารเจ้า ใช้เพียงมือข้างเดียวก็เสร็จสิ้นแล้ว หาต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากไม่” ฟังแล้วก็ชวนเจ็บใจไม่น้อย เทียนอี้ตอกย้ำเสียเหลือเกินว่าเขาไม่อาจมีวันต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่นั่นก็คือความจริง เมื่อคืนนี้ก็เกือบตายเพราะมือของเจ้าสุนัขป่า เมื่อครู่ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะมือนั้นเช่นกัน เป็นความจริงที่ชวนให้หัวเสียเหลือเกิน “ข้าก็ลองถามดู เจ้าไม่ชอบหน้าข้า ข้าก็ต้องระวังตัว” เถียงไม่ได้ซิ่นเฉิงก็พูดไปเรื่อย “เจ้าต่างหากกระมังที่ไม่ชอบหน้าข้า” เทียนอี้นึกขันในใจขณะเอ่ยสวน “และห้องโอสถของข้าหาได้มียาพิษ เจ้าไม่ต้องห่วง” จากนั้นก็ออกปากเตือน “แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะหยิบโอสถใดมาใส่ปากโดยไม่ถามไถ่ข้าก่อนได้ โอสถทุกชนิดล้วนมีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้ให้ถูกอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอสถที่อยู่ในชั้นข้างๆ เจ้า หากข้าไม่อนุญาต ผู้ใดก็หาได้มีสิทธิ์เปิด ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียง” ฟังแล้วซิ่นเฉิงก็จึ๊ปาก เป็นเพียงอมนุษย์แท้ๆ ริอ่านแสร้งวางตัวเป็นหมอเทวดา! และด้วยความหมั่นไส้ ซิ่นเฉิงจึงหันไปยังข้างกาย ลอบเปิดตู้ยาออกมา ก่อนจะคว้าเอาสมุนไพรรูปร่างคล้ายดอกไม้ที่ตากจนแห้งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จับใส่ปากด้วยอารามประชัดประชัน พลันรีบปิดตู้ดังเดิมเมื่อเห็นว่าเทียนอี้ยกถ้วยยากลิ่นฉุนมาให้ “ดื่มเสีย จะได้ไปพัก วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ช่วยงานผู้ใด พักผ่อนให้เต็มที่เพราะร่างกายของเจ้าจะระบม” ซิ่นเฉิงอยากจะสวนคืน แต่เพราะปากอมสมุนไพรแห้งอยู่จึงไม่พูดอะไร คว้าถ้วยยามากระดกดื่ม ขณะเดียวกันก็กลืนเอาสมุนไพรนั้นลงคอไปด้วย เมื่อดื่มจนหมดถ้วยก็วางถ้วยกระเบื้องกระแทกลงข้างกาย ครานี้เทียนอี้จึงได้พูดขึ้น “ถอดเสื้อผ้าเสียสิ ข้าจะประคบร้อนให้ ร่างกายของเจ้าบวมช้ำเพราะถูกข้าตีอยู่หลายแห่ง ไหนจะข้อมือที่ถูกข้าบิดเมื่อคืนอีก” มันใช่เรื่องที่เขาจะต้องเปลื้องผ้าตามถ้อยคำของเจ้าสุนัขป่าตัวนี้หรือ!? อีกทั้งเทียนอี้ไม่ได้พูดเปล่า เห็นซิ่นเฉิงนั่งนิ่งก็จะเข้ามาปลดเปลื้องอาภรณ์ให้อีก ทำเอาอีกฝ่ายต้องรีบปัดมือเต็มไปด้วยขนนุ่มทิ้ง “หาได้จำเป็นไม่ ข้าจะไปพัก!” พูดจบ ซิ่นเฉิงก็ผุดลุกพรวดตรงไปยังประตูและผลักออก จากนั้นก็เดินเร็วๆ หายไปอีกทาง เทียนอี้ก็ไม่ได้คิดจะทักท้วงใดๆ เพราะต่อให้ไม่ประคบร้อน ยาที่ให้ซิ่นเฉิงดื่มเมื่อครู่ก็พอจะช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำอยู่ เทียนอี้จึงเก็บข้าวของเสียจนเสร็จสิ้น จะออกจากห้องโอสถอยู่แล้วเชียว ฉับพลันก็ฉุกใจขึ้นมาบางอย่าง เดินกลับมาที่ตั่ง เปิดชั้นโอสถที่เขาสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเปิดออก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเห็นรอยเว้าแหว่งของสมุนไพรอบแห้งที่หายไปเสี้ยวหนึ่ง หรือว่าซิ่นเฉิงจะ... ไม่ต้องคิดต่อก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะฝ่าฝืนคำสั่ง เขาบอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงจะไปขวา หากบอกให้ไปขวา ซิ่นเฉิงก็จะไปซ้าย นั่นเป็นการกระทำของชายหนุ่มผู้นั้น... ถึงสมุนไพรที่ซิ่นเฉิงฉกชิงไปจะไม่ใช่โอสถอันตราย แต่ก็เห็นทีว่าหลังจากนี้คงจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาอย่างแน่นอน เพราะนั่น...เป็นสมุนไพรที่เรียกว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม