สองมือเหวี่ยงสะบัดดาบวงพระจันทร์ไปตรงหน้า ข้างหนึ่งตั้งรับคมกระบี่ อีกข้างกระหวัดฟาดฟันอีกฝ่าย ก่อนที่จะสบโอกาสเมื่อเทพอสูรเสือโคร่งพุ่งทะยานมาข้างหน้า หมายจะซัดเพลงกระบี่ใส่เขา เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยขึ้นในอากาศ เท้าเหยียบเอาหัวไหล่แกร่งของอีกฝ่ายและพลิกตัวมานั่งคร่อมบนลำคอของคู่ประลองไว้ พลันดึงดาบในมือมาประสานไขว้บริเวณคอหอย คมดาบเย็นเยียบทำเอาเทพอสูรหยุดชะงัก ขณะที่ซิ่นเฉิงว่าอย่างกระหยิ่มใจ
“เจ้าแพ้แล้ว”
อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจำนน หากแต่การประลองยังไม่จบเท่านั้น หลังจากเทพอสูรที่มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นเสือโคร่งเดินออกจากลานประลองไป เทพอสูรตนใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ดูท่าทางแล้วเทียนอี้จะให้เขาได้ประลองเสียจนกว่าจะพ่ายแพ้และหมดแรงไปข้าง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะการประลองในวันนี้เกินกว่าสองชั่วยามตามที่กำหนด ด้วยซิ่นเฉิงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อีกทั้งยังจับจุดอ่อนของเทพอสูรแต่ละตนและจัดการให้เสร็จสิ้นในเวลาชั่วพริบตา
เทียนอี้ชื่นชมเขาในไหวพริบที่มี ไม่แปลกใจนักว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีอุปนิสัยอย่างซิ่นเฉิงถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่น่าจะถูกสังหารตายไปตั้งนานแล้วเพราะความโอหัง นั่นเป็นเพราะเขาเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
ก็สมแล้วกับที่เป็นคนทะเลทราย
แม่ทัพเทพอสูรรำพึงในใจขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มซึ่งบัดนี้หายใจกระหืดหอบหลังจากที่ต่อกรกับทหารเทพอสูรตนหนึ่งที่มีศีรษะเป็นหมี ไม่เพียงแต่ศีรษะ รูปร่างเองก็ใหญ่โตดุจหมีเช่นเดียวกัน เทพอสูรตนนี้ค่อนข้างรับมือยากด้วยซิ่นเฉิงเริ่มอ่อนแรงแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายก็ใช้อาวุธหนักอย่างกระบองหนามเหล็ก หากแต่เพราะการเคลื่อนไหวค่อนข้างเชื่องช้า ในที่สุดซิ่นเฉิงก็หาโอกาสปีนขึ้นไปนั่งคร่อมบนลำคอของอีกฝ่ายได้
ทุกครั้งที่เขาชนะ มักจะจบลงด้วยการปีนขึ้นไปนั่งขี่คอของคู่ต่อสู้อยู่ร่ำไป จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะจับเทพอสูรตัวเท่าภูเขาทุ่มลงพื้นได้นี่... ต้องใช้วิธีนั้นถึงจะถูกต้องแล้ว
เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงจัดการคู่ต่อสู้รายล่าสุดได้ เทียนอี้ก็ไหวมือเป็นสัญญาณให้ทหารนายใหม่เข้าไป ซิ่นเฉิงเหลือบเห็นก็โพล่งขัด
“มัวแต่ให้สมุนของเจ้ามาประลองกับข้า แล้วเจ้าล่ะ ไยถึงไม่มาประลองกับข้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด หรือจะกลัวข้าถอนขนกัน ถึงได้ให้ผู้อื่นรับหน้าแทนเช่นนี้” ว่าพลางหายใจกระหืดหอบ
ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่บัดนี้มีเหงื่อกาฬผุดพรายไปทั่วร่างทันที
“หึ กลัวจะกลายเป็นสุนัขป่าไร้ขนจริงๆ ล่ะสินะ”
เห็นเทียนอี้ไม่ตอบ ซิ่นเฉิงก็กลั้วหัวเราะ มือยกขึ้นเสยปอยผมตรงหน้าขึ้น เปิดให้เห็นหน้าผากกว้างและรูปหน้าเป็นสันคม เขาไม่รวบผมและไม่เคยรวบ ปล่อยให้เส้นผมที่ยาวถึงกลางหลังยุ่งเหยิงอย่างไม่ใส่ใจ จะว่าไปแล้วมันช่างดูขัดหูขัดตาพ่อบ้านเหลียงและเทพอสูรตนอื่นๆ เสียเหลือเกิน เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้ไร้ซึ่งอารยะ แต่สำหรับเทียนอี้แล้ว เขากลับมองว่านั่นเป็นความขบถที่ฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของซิ่นเฉิง
“เจ้าจะมากเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ชอบท่านแม่ทัพมากเพียงใด แต่เขาก็เป็นผู้ไว้ชีวิตพี่น้องของเจ้า!” พ่อบ้านเหลียงสุดจะทนกับท่าทางยโสของซิ่นเฉิง ครั้นคนถูกต่อว่าหันไปมองก็พูดขึ้นอีก “เจ้าคิดว่าตนเป็นใคร ถึงได้กล้าท้าทายท่านแม่ทัพเช่นนี้ มนุษย์เช่นเจ้าหาได้เกรงกลัวฟ้าดิน บุญคุณก็หาได้สำนึก คนอกตัญญูเช่นเจ้าช่างน่าตีให้ตายนัก”
“ก็ตีข้าสิ เจ้าจระเข้เฒ่า”
ไม่สำนึกจริงๆ เสียด้วย ยอกย้อนอย่างไม่ยี่หระ พ่อบ้านเหลียงเกือบจะพุ่งไปคว้ากระบองมาฟาดให้ตายดั่งคำท้าอยู่แล้ว เห็นเขาไม่ค่อยใช้กำลังแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นวรยุทธเสียหน่อย
ทว่า... ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อผู้เป็นนายยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม จากนั้นก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ก้าวมาตรงหน้าเล็กน้อย
“ในเมื่อเจ้าอยากจะประลองกับข้า ข้าก็จะให้เจ้าได้สมประสงค์”
ไม่คิดไม่ฝันว่าเทียนอี้จะตามใจมนุษย์เกเรได้ถึงเพียงนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทัดทานนัก แต่พอเห็นแม่ทัพเทพอสูรตรงไปหยิบไม้กระบองมากระชับถือในมือ เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาด้วยรู้ว่าการที่เทียนอี้เลือกอาวุธเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องการจะสั่งสอนซิ่นเฉิงด้วยตนเอง...ด้วยการโบยเยี่ยงเด็กเล็กๆ
“ถ้าข้าชนะเจ้า เจ้าต้องคลานสี่ขาให้ข้าดู เจ้าหมา!” ซิ่นเฉิงดูจะคึกคักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ร้องท้าทาย ควงดาบในมือไปมา
พ่อบ้านเหลียงได้แต่หัวเราะหึในใจ ...ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองอีกว่าจะจบลงเช่นไร
กระนั้นก็ไม่ปริปากใดๆ ออกมา ยืนนิ่งรอดูเรื่องสนุกที่จะบังเกิดขึ้นในอีกชั่วพริบตาข้างหน้า
เทียนอี้ก้าวเข้ามากลางลานประลอง นัยน์ตาสีทองจับจ้องไปยังซิ่นเฉิงที่ตั้งท่าระวังภัย พอแสร้งวาดกระบองไม้ในมือเข้าหา ซิ่นเฉิงก็กระโดดหนีทันควัน ก่อนจะโต้กลับด้วยวิชายุทธที่ไม่ต่างจากการต่อสู้ในครั้งก่อนๆ สักเท่าไร
เทียนอี้มองออกทันทีว่าซิ่นเฉิงหมายจะทำการใด... คงจะหาช่องโหว่แล้วกระโดดขึ้นมาขี่คอเขาอย่างแน่นอน เขาชำนาญการศึก เชี่ยวชาญสนามรบมาตั้งหลายร้อยปี ต่อให้กลายเป็นเทพอสูร หลงลืมวรยุทธไปบางส่วน สูญสิ้นซึ่งตบะ แต่ก็หาใช่ว่าเขาจะอ่านท่าทางของซิ่นเฉิงไม่ออก
แม่ทัพเทพอสูรไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขาทำเพียงหลอกล่อให้ซิ่นเฉิงตายใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายคิดว่าตนสบโอกาส กระโดดเข้ามาใกล้หมายจะขึ้นขี่คอ เมื่อนั้นเองเทียนอี้ก็สะบัดกระบองไม้ในมือฟาดเข้าไปที่สีข้างของอีกฝ่ายไม่แรงนัก
เป็นการตีที่ไม่แรง ทว่า...สำหรับพละกำลังของเทพอสูรแล้วก็ทำให้ ซิ่นเฉิงกระเด็นกระแทกพื้น ใบหน้าเหยเกเพราะความจุกเสียดที่แล่นพล่านเข้าทั่วทั้งสรรพางค์กายได้เลยทีเดียว
“เจ้า!” ซิ่นเฉิงกัดฟันกรอด ส่งสายตากรุ่นโกรธไปยังเทียนอี้ที่มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นพรวดพราด กระโดดเข้าใส่ด้วยโทสะ
เทียนอี้เบี่ยงตัวหลบ เมื่อพ้นทางก็เหวี่ยงกระบองฟาดเข้าไปที่ขาพับจนซิ่นเฉิงล้มลงไป ดาบวงพระจันทร์หลุดจากมือ ซิ่นเฉิงรีบตะกายไปข้างหน้า หมายจะคว้าดาบกลับคืนมา แต่ก็ถูกเทียนอี้ใช้กระบองปัดออกห่างเสียก่อน พอจะพลิกตัวไปต่อกร ก็ดันถูกตีเข้ามาที่แผ่นหลังทำให้ลุกไม่ขึ้น
“เจ้าแพ้แล้ว”
เทียนอี้ว่าเสียงเรียบหลังจากที่เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของซิ่นเฉิงเงียบลง เป็นเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาจริงๆ ที่เขาปราบพยศ พร้อมกับสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงได้รับรู้ว่ายังมีผู้ที่เหนือกว่า อีกนัยหนึ่งก็เป็นการทำให้ตระหนักด้วยไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเทพ ไม่ว่าเทพผู้นั้นจะกลายเป็นเทพอสูรแล้วก็ตาม
“เนื้อตัวเจ้าอาจจะช้ำ ให้พ่อบ้านเหลียงประคบร้อนให้แล้วกัน”
เทียนอี้ว่าส่งท้าย ขณะที่ซิ่นเฉิงกัดฟันกรอดด้วยเจ็บแค้นใจ เมื่อคืนนี้ เขาก็เสียทีให้กับเทียนอี้ การกระชากขนหลุดมาเป็นกระจุกนั้นสร้างความสะใจให้มากพอตัวก็จริง แต่การต้องมาพ่ายแพ้หมดท่าเช่นนี้กลับทำให้เขาอับอายเสียจนลืมสิ้นไปหมดว่าความสะใจที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นอย่างไร
ดวงตาสีนิลมองจ้องเทียนอี้เขม็ง สายตาที่ส่งออกมาเจ็บแค้นเสียจนเทียนอี้สัมผัสได้ หากแต่เขาไม่ใคร่สนใจ หันหลังหมายจะเดินกลับเข้าเรือนใหญ่เพื่อไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าทันทีที่หัน ซิ่นเฉิงก็ข่มความเจ็บปวด ลุกขึ้นไปคว้าดาบมาไว้ในมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปทางด้านหลังของเทียนอี้อย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะได้ร้องบอกเทียนอี้เสียอีก
คราวนี้ไม่ใช่การจู่โจมเช่นการประลอง ซิ่นเฉิงหมายจะเอาชีวิตเลยทีเดียว แต่ความว่องไวของมนุษย์หรือจะสู้ความไวของประสาทสัมผัสเทพอสูรสุนัขป่าตนนี้ แค่ได้ยินเสียงขยับกาย เขาก็รับรู้แล้วว่าซิ่นเฉิงคิดการใด ก่อนจะหันกลับมาตวัดกระบองฟาดเข้าที่ข้อมือของซิ่นเฉิงที่เหวี่ยงดาบหมายจะทำร้ายเขาเต็มแรง
ที่ออกแรงเสียสุดกำลัง... นั่นเป็นการสั่งสอนว่าแพ้ให้รู้จักแพ้ หากแต่ดูเขาคงจะออกแรงมากไปหน่อย เพราะทันทีที่ข้อมือของซิ่นเฉิงถูกตี ดาบในมือก็ร่วงหล่นและบาดเข้ากับท่อนแขน
โลหิตสีแดงสดไหลออกจากแขนแกร่ง ซิ่นเฉิงร้องออกมาด้วยตกใจระคนเจ็บปวด แต่ก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เสียงนั้นก็เงียบไป เหลือเพียงสายตาเจ็บแค้นและร่างกายที่สั่นเทิ้มขึ้นมาเพราะความกรุ่นโกรธเท่านั้น
ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเทพอสูรได้เลยหรืออย่างไร!
แต่ผู้ใดกันเล่าจะล่วงรู้ความคิดของซิ่นเฉิงได้ ถึงจะรู้ก็หาได้มีผู้ใดใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทียนอี้ที่ในตอนนี้ สายตาของเขามีแต่ตกใจเท่านั้นที่เห็นอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายให้ซิ่นเฉิงถึงขั้นเลือดตกยางออก เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มได้รับบาดเจ็บก็รีบออกปากสั่งพ่อบ้านเหลียง
“รีบพาเขาไปที่ห้องโอสถ”
พ่อบ้านเหลียงพยักหน้ารับ สั่งให้คนรับใช้ซึ่งเป็นมนุษย์ไปพยุงชายหนุ่มขึ้น ซิ่นเฉิงสะบัดกายหนี ส่งเสียงดัง
“อย่ามาแตะตัวข้า เจ้าพวกคนไร้ศักดิ์ศรี!”
ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เจ็บแค้นกว่าที่เคยเป็น อันที่จริงแล้วมนุษย์ควรจะรังเกียจเดียดฉันท์เทพอสูรที่มาพรากครอบครัวและแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่...มายอมเป็นทาส หมายความว่าศักดิ์ศรีของพวกมนุษย์มันไร้ค่าแล้วหรือไร!
เป็นคำถามที่ผุดพรายขึ้นในใจของชายหนุ่ม เขาอยากจะถาม แต่พูดไม่ออกสักคำ ยิ่งเทียนอี้ซึ่งเห็นเหตุการณ์ว่าขึ้นมาด้วย
“เจ้าจะดื้อรั้นไปถึงเมื่อไรกัน ข้าสั่งให้ไปที่ห้องโอสถก็จงทำตามเสีย”
เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก... ถ้าจะต้องทำตามคำสั่ง เขายอมตายเสียดีกว่า!
เห็นซิ่นเฉิงเอาแต่จ้องมอง ไม่ขยับกายเสียที เทียนอี้ก็จำต้องพูดออกมาอีก
“อยากจะให้เลือดออกจนหมดตัวตาย กลายเป็นผีเฝ้าจวนข้าไม่กลับไปทะเลทรายอีกก็ตามแต่ใจเจ้า”
เมื่อนั้นแหละที่ซิ่นเฉิงยอมละทิ้งความเย่อหยิ่ง เดินตามไปอย่างว่าง่ายโดยที่พ่อบ้านเหลียงไม่ต้องให้ทหารเทพอสูรตนใดมาลากหรืออุ้มไปอย่างเช่นหลายชั่วยามก่อนหน้า เป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก ขณะที่ซิ่นเฉิงคิดแต่เพียงว่าเขาจะต้องรักษาชีวิตนี้ไว้
...รักษาไว้จนกว่าจะได้กลับไปยังบ้านเกิดอันเป็นที่รัก
ผืนทรายร้อนระอุใต้แผ่นฟ้ากว้าง... บ้านของเขา เขาจะต้องกลับไปให้ได้