ยาปลุกกำหนัดสำหรับคู่บ่าวสาวในคืนวิวาห์

1690 คำ
‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’ เพียงชื่อของสมุนไพรก็ทำให้ใจของเทียนอี้อยู่ไม่สุข หาใช่ว่ามันเป็น ยาพิษ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่โอสถที่จะกินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งผู้ที่รับโอสถนั้นเข้าไปในร่างกายคือซิ่นเฉิงด้วยแล้ว เทียนอี้ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าจวนเขาจะอลหม่านเพียงใดหากโอสถนั้นเริ่มออกฤทธิ์ แต่ก็นับว่ายังดีที่ซิ่นเฉิงกินสมุนไพรแห้งนั้นเข้าไปโดยไม่ได้ต้มน้ำ หากเป็นการต้มดื่มอย่างที่ควรกระทำ ฤทธิ์ของมันจะสำแดงให้เห็นไวสักหน่อย แต่จับใส่เข้าปากแล้วกลืนลงคอ ฤทธิ์จึงออกช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทว่านั่นก็ทำให้เทียนอี้ต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์เป็นระยะ เมื่อฤทธิ์โอสถเผยออกมาให้เห็นเมื่อไร เขาคงต้องรีบจับซิ่นเฉิงแยกมาอยู่อีกเรือนนอน หาไม่แล้ว เรือนนอนคนรับใช้คงได้เกิดสงครามอย่างแน่แท้ ราตรีแรกผ่านไป โอสถยังไม่ออกฤทธิ์ เทียนอี้พอจะเบาใจไปได้บ้าง อย่างน้อยก็ให้ซิ่นเฉิงได้พักผ่อนเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บก่อน จากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับอาการชวนให้น่ารำคาญใจอีกครา เมื่อเข้าสู่ราตรีที่สอง ฤทธิ์โอสถถึงได้เริ่มสำแดงให้เห็น ซิ่นเฉิงเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาอย่างประหลาด คราแรกก็คิดว่าร่างกายอาจต้องพิษไข้เพราะบาดเจ็บและเสียโลหิตไปมากพอควร จึงได้แต่นอนพักผ่อนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลง ทว่าเขาคิดผิด นอกจากอาการจะไม่ทุเลาลงแล้ว ร่างกายยังจะร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟกว่าเดิมเสียด้วย หรือเขาจะป่วยหนักกัน? ซิ่นเฉิงหวั่นใจไม่น้อยกับความผิดปกติทางร่างกาย ถึงเขาจะไม่ค่อยเกรงกลัวผู้ใดในใต้หล้า แต่เขากลับกลัวความตายหากจะต้องเผชิญ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อยากมาสิ้นชีพในแคว้นที่หาใช่บ้านเกิดของเขา ถ้าจะต้องตาย ก็ขอไปตายในทะเลทรายดีกว่า! คิดเช่นนั้น ซิ่นเฉิงจึงเริ่มคิดหาหนทางหนีออกจากจวน กลับไปตายเอาดาบหน้าในทะเลทรายกว้าง โดยหารู้ไม่ว่าเทียนอี้ได้ให้คนรับใช้ในเรือนนอนเดียวกับเขาคอยเฝ้าสังเกตอาการตั้งแต่ชั่วยามแรกที่เทียนอี้รู้ว่าเจ้าแมวป่าขโมยกินสมุนไพรที่สั่งห้ามใครแตะต้องถ้าไม่ได้รับอนุญาตเข้าไป เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงมีอาการแปลกๆ คนรับใช้ก็รีบไปรายงานให้เทียนอี้รับรู้ กระนั้นเจ้าของจวนก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ด้วยหมายใจจะรอให้อาการของซิ่นเฉิงหนักหนากว่านี้ก่อน อีกนัยก็คือ เทียนอี้ต้องการจะสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงรับรู้ว่าสิ่งใดที่เขาห้ามนั้นก็ไม่ควรกระทำ ไม่เช่นนั้นก็ต้องยินยอมรับผลร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็คิดว่าต่อให้สมุนไพรนั่นออกฤทธิ์ ซิ่นเฉิงก็น่าจะรู้ว่าควรจะบรรเทาอาการตนเองด้วยการกระทำใด จึงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายในทันที และผลร้ายจากการดื้อดึงไม่เชื่อฟังนั้นก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว แต่คงจะยากต่อการยินยอมรับผลร้ายนั้นสำหรับซิ่นเฉิงเสียหน่อย เขาออกอาการฉุนเฉียวเมื่อร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจนึก ทั้งที่พยายามจะควบคุมอารมณ์ที่ พวยพุ่งอยู่ภายในให้สงบแล้ว ทว่าความร้อนรุ่มที่แผ่กำจายไปทั่วร่างกลับทำให้เขากระสับกระส่ายจนอยู่ไม่สุข อาการนี้ช่างน่ารำคาญใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนที่ดูเหมือนจะแผดเผา ‘จุดนั้น’ ให้มอดไหม้เป็นจุณถ้าหากเขาไม่จัดการทำอะไรสักอย่างเสียที จุดนั้น... ใช่แล้ว บริเวณอวัยวะกลางลำตัวของเขานั่นเอง ซิ่นเฉิงอึดอัดถึงกับทนไม่ไหว ต้องปลดเชือกรัดกางเกงออก ดูสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างหัวเสียเมื่อมันไม่ยอมสงบลงเสียทีตั้งแต่เมื่อชั่วยามก่อน ครั้นเห็นอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศชูชัน ซิ่นเฉิงก็สบถ “บัดซบ...” เขาเกิดกำหนัดมาพักใหญ่แล้ว อยากจะปลดเปลื้องอยู่หรอกเพราะดูท่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เขาและเจ้า ‘มังกรน้อย’ สงบลงได้ แต่ทว่าพอคิดว่าจะต้องกระทำสิ่งนั้นภายในจวนของอมนุษย์ตนนั้น เขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีขึ้นมา ต่อให้เขาต้องตายเพราะกำหนัดตนเอง เขาก็จะไม่ยอมกระทำสิ่งใดให้เป็นที่น่าอับอายจนเทียนอี้เอามาพูดถึงชั่วลูกชั่วหลานได้เป็นอันขาด เพราะหยิ่งผยองด้วยเหตุผลนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่แตะต้องแก่นกายกลางลำตัวเลยแม้แต่น้อย หากแต่เจ้าสมุนไพรช่างมีฤทธิ์เหลือร้าย เมื่อไม่ได้รับการปลดเปลื้อง ความร้อนในร่างกายก็แทรกซึมเข้าทุกอณูผิวหนัง ส่งผลให้ร่างกายร้อนผ่าวดุจเปลวไฟ คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงได้ล้มหมอนนอนเสื่อจริงๆ ซิ่นเฉิงที่จู่ๆ ก็ล้มฟุบลงไปขณะที่เข้าร่วมมื้อเย็นกับคนรับใช้คนอื่นๆ ถูกพาตัวเข้าไปพักผ่อนในเรือนนอน พ่อบ้านเหลียงรีบมาดูอาการ เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มมีเหงื่อกาฬอาบท่วมร่าง อีกทั้งยังตัวร้อนดุจเพลิง เขาก็สั่งให้คนรับใช้ไปต้มโอสถมาให้ดื่ม ทว่าก็หาได้ช่วยให้อาการดีขึ้นแม้แต่น้อย รังแต่จะทรุดลงไปอีก คราวนี้สติของซิ่นเฉิงชักไม่สมประดี เรียกก็ไม่ขานตอบ ได้แต่ปรือตาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ทำเอาพ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไรนักก็ตาม พลันคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าป่วยหนักถึงเพียงนี้ก็ต้องตามท่านหมอมา แต่การให้ท่านหมอมารักษานั้น จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนั้นก็คือเขา แต่เขาไม่มีสิทธิ์จะใช้จ่ายได้ตามใจ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากท่านแม่ทัพใหญ่เสียก่อน ดังนั้นพ่อบ้านเหลียงจึงไม่รอช้าที่จะนำความไปบอก ทันทีที่แม่ทัพเทพอสูรได้ยินความ เขาก็ว่าออกมาเสียงเรียบ “ไม่ต้องตามท่านหมอ แต่ให้นำตัวมนุษย์นั่นไปที่เรือนของข้า” “ท่านแม่ทัพหมายถึง...” “ที่เรือนของข้ามีห้องรับรองแขกอยู่ ให้พาเขาแยกไปนอนที่นั่น ส่วนอาการของเขานั้น ข้าจะเป็นผู้ดูแลเอง” พ่อบ้านเหลียงอดประหลาดใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเทียนอี้พอจะมีความรู้เรื่องโอสถอยู่ แต่ก็หาได้มากพอจะรักษาอาการป่วยหนักๆ ได้เฉกเช่นท่านหมอ ทว่าพอจะถาม เทียนอี้ก็ตอบออกมาก่อนราวกับรู้ทันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร “ซิ่นเฉิงไม่ได้ป่วยไข้อย่างที่เจ้าคิดหรอก พ่อบ้านเหลียง” “ถ้าไม่ได้ป่วยไข้ แล้วเจ้านั่นเป็นอะไรหรือขอรับ” เทียนอี้เหลือบมอง ตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “กินโอสถเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไป” “หา?” “เจ้าได้ยินไม่ผิด” หากไม่เคยเห็นจระเข้อ้าปากก็คงจะได้เห็นกันในครานี้ พ่อบ้านเหลียงแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อผู้เป็นนายย้ำคำหนักแน่น ก็อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงช่างเป็นตัวปัญหาเสียจริง เพราะเขารู้ดีว่าสมุนไพรที่ชื่อเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใด ...เป็นยาปลุกกำหนัดสำหรับคู่บ่าวสาวในคืนวิวาห์ ถูกต้อง... มันถูกใช้ต้มให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวดื่มในคืนเข้าหอ ทั้งหมดก็เพื่อการกระตุ้นเร้าให้ในการมีทายาทสืบสกุล เหตุที่ต้องใช้ก็เป็นเพราะเทพอสูรมีรูปลักษณ์กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์ สตรีมนุษย์ที่ตบแต่งเข้าเรือนมักหวาดกลัวสามีที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า ดังนั้นเรื่องความสิเน่หาหรือความใคร่ใดๆ ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึง พวกนางเอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องตบแต่งกับเทพอสูรเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาโอสถนี้ ไม่เช่นนั้นคืนเข้าหอคงจะล่มไม่เป็นท่า และไม่แปลกถ้าหากเทียนอี้จะมีสมุนไพรนี้ติดห้องโอสถของจวนไว้ต่อให้เขายังไม่ได้ตบแต่งสตรีนางใดเป็นฮูหยิน แต่สหายของเขาตบแต่งกับมนุษย์สตรีมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อฮูหยินคนเก่าสิ้นใจ ฮูหยินคนใหม่ก็เข้าพิธีไหว้ฟ้าดิน เป็นเช่นนี้มานานนับร้อยปีแล้ว จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่ว่าสหายตนใดมีงานมงคลสมรส สหายที่ไปร่วมงานจะต้องมีโอสถชนิดนี้ติดไม้ติดมือไปเป็นของขวัญร่วมแสดงความยินดีเสมอ เทียนอี้มีติดไว้ในจวนก็เพื่อการนี้นั่นเอง... “แล้ว...ท่านแม่ทัพจะเป็นผู้ดูแลจริงๆ น่ะหรือ? ข้าว่ามอบหมายให้เป็นหน้าที่ของข้ากับคนรับใช้อื่นน่าจะดีกว่าไม่น้อย” ได้ยินว่าเทียนอี้จะดูแลเจ้ามนุษย์ชอบสร้างปัญหาผู้นั้น พ่อบ้านเหลียงก็อดเสนออย่างเป็นห่วงไม่ได้ เทียนอี้ระบายลมหายใจ “ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จะได้ถือโอกาสนี้ขัดเกลานิสัยดื้อด้านของซิ่นเฉิงด้วย” พูดมาอย่างนั้น พ่อบ้านเหลียงจะไปทำอะไรได้กันเล่า แต่ก็คิดว่าดีอยู่ไม่น้อยที่เทียนอี้ลดความใจดีลงเสียที จะเข้าขั้นโหดร้ายเลย เขาก็ไม่ทัดทานใดๆ ทั้งนั้น เพราะขนาดซิ่นเฉิงถูกตีเข้าเต็มแรงเมื่อครั้งที่ประลองกันอย่างนั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีท่าทีอ่อนน้อมลงเลยแม้แต่น้อย เห็นทีจะต้องจัดการกำราบให้เด็ดขาด “หากท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็ได้โปรดบอก” “ขอบใจเจ้ามาก” เทียนอี้ตอบรับเสียงเรียบ จากนั้นก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ ระหว่างอมนุษย์ทั้งสอง มีเพียงความเงียบงัน ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามกิจวัตรของใครของมันโดยไม่สนใจเรื่องของซิ่นเฉิงอีก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม