เขาคงกัดลิ้นตายไม่ได้... จระเข้ไม่มีลิ้น

1777 คำ
คำสั่งของเทียนอี้มีผลในอรุณรุ่ง ซิ่นเฉิงที่ถูกคนรับใช้คนหนึ่งมาปลุกให้ลุกจากฟูกนอนแต่เช้าออกอาการหัวเสียอย่างรุนแรง เขาอยากจะอาละวาดให้โรงนอนพังนัก คิดว่าเขาเพิ่งได้นอนเมื่อไรกัน ถึงได้กล้ามาปลุกทั้งที่เขายังหลับอุตุอย่างนี้!? ทว่านั่นก็เป็นความผิดของเขาเอง เทียนอี้ได้บอกแล้วว่ารุ่งเช้าวันใหม่จะให้คนมาตามตัวไปพบที่ลานกว้างของจวน หากแต่ซิ่นเฉิงก็มัวแต่อารมณ์เสียด้วยเหตุที่สู้เทียนอี้ไม่ได้จนต้องระบายอารมณ์ลงกับสวนในจวนของเทียนอี้จวบจนรุ่งสาง กลับเข้ามานอนเมื่อร่างกายรู้สึกเหนื่อยอ่อน หลับไปเพียงครู่ก็ต้องตื่นด้วยถึงกำหนดการที่อีกฝ่ายได้บอกเอาไว้ กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้รู้สึกว่านั่นเป็นความผิดของตน นอกเสียจากรำคาญใจที่ชีวิตของเขาถูกกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมา ถ้าหากว่าไม่เป็นเพราะต้องแลกชีวิตของเขากับพี่น้องในเผ่า เขาก็ไม่มีวันที่ตกเป็นทาสของเทพอสูรอย่างแน่นอน! เจ้าสุนัขป่านั่น... ชักจะได้ใจมากไปเสียแล้ว! ประโยคนี้ควรเป็นเทียนอี้มากกว่า การรับซิ่นเฉิงมาอยู่ในจวนก็เท่ากับว่าหาเสี้ยนหนามมาตำนิ้วตนเอง มาอยู่ได้ไม่กี่ราตรีก็สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งจวน ไม่เพียงแต่พ่อบ้านเหลียงเท่านั้นที่ไปฟ้องเขาเรื่องความเกเรของคนทะเลทรายผู้นี้ ยังจะมีเหล่าทหารและคนรับใช้ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันอีกด้วย นั่นเป็นเพราะซิ่นเฉิงไม่สนใจฟังผู้ใดทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะว่าต่อต้านเทพอสูรหรอก แต่เป็นไปเพราะอุปนิสัยดื้อด้านที่ติดตัวของชายหนุ่มผู้นั้นเสียมากกว่า สำหรับซิ่นเฉิงแล้ว ถึงจะรำคาญใจเพียงใดก็จำต้องมาที่ลานกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะคราแรกที่ให้คนรับใช้ด้วยกันไปตาม เขาแผดเสียงใส่ ทำท่าคล้ายจะทำร้ายจนอีกฝ่ายหนีเตลิดเปิดเปิงเพื่อนอนต่อ ไม่นานนัก พ่อบ้านเหลียงก็จัดการพาทหารเทพอสูรมาลากตัวออกจากโรงนอนไปยังลานกว้างอย่างไม่สนใจเสียงโวยวายทัดทานใดๆ หากท่านแม่ทัพเทียนอี้ไม่ใช้ไม้แข็ง พ่อบ้านเหลียงผู้นี้นี่แหละจะเป็นผู้ลงมือเอง! สุดท้ายแล้ว ซิ่นเฉิงก็มายืนอยู่กลางลานกว้างของจวนจนได้ บริเวณกลางจวนนั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ พร้อมเครื่องถ้วยชาตั้งอยู่ ใกล้กันนั้นปรากฏร่างอมนุษย์ของเทียนอี้ เขารินชาลงถ้วยใบเล็กก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่มาหยุดยืนตรงหน้า “มาแล้วหรือ?” “เห็นข้าอยู่ตรงหน้า เหตุใดจึงต้องถาม” ซิ่นเฉิงสวนกลับทันควัน พ่อบ้านเหลียงส่งสายตาดุดันให้ แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงระงับอารมณ์หงุดหงิดได้ “มองหน้าข้าเช่นนี้ จะฉีกเนื้อข้าเป็นชิ้นๆ หรืออย่างไรเจ้าจระเข้เฒ่า” “หากทำได้ ข้าคงไม่รีรอ” พ่อบ้านเหลียงอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ เทียนอี้ย่นหน้าผากเล็กน้อยที่เห็นคนสนิทซึ่งปกติจะเป็นคนสุขุม ต่อล้อต่อเถียงกับมนุษย์หนุ่มผู้ซึ่งดูจะอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลา ครั้นพ่อบ้านเหลียงเหลือบเห็นสายตาเชิงตำหนิ เขาก็ปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยใดๆ ปล่อยให้ซิ่นเฉิงเดินไปมาด้วยท่าทางโอหัง “เรียกข้ามา หรือจะให้ข้ามาประลองกับเจ้า?” ที่พูดเช่นนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงเห็นว่าลานกว้างหน้าจวนนั้นหาใช่ลานกว้างธรรมดาอย่างเช่นจวนอื่นๆ แต่อย่างใด ทว่าเป็นลานสำหรับการประลองยุทธ รอบข้างมีอาวุธมากมายแขวนเรียงรายอยู่ อีกทั้งยังมีทหารเทพอสูรซึ่งดูแล้วน่าจะตำแหน่งสูงกว่าเหล่าทหารเวรยามอีกหลายนายยืนอยู่ไม่ห่าง เทียนอี้พยักหน้ารับ ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าเป็นว่าเจ้ามีเรี่ยวแรงมากมาย อีกทั้งยังมีวรยุทธ หากใช้ให้เจ้าทำงานเช่นคนรับใช้อื่นๆ ในจวน เจ้าคงจะทำลายจวนข้าอีกเป็นแน่ ข้าจึงให้เจ้ามาใช้กำลังที่นี่แทน” เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ซิ่นเฉิงคิดไม่ได้ผิดคาดไป โดยปกติแล้วลานประลองแห่งนี้จะถูกใช้งานในทุกเช้า เพื่อให้เหล่าทหารได้ฝึกปรือฝีมือวรยุทธที่มีติดตัว ในวันหนึ่งๆ จะมีการจัดชุดทหารให้มาผลัดเปลี่ยนมาประลองกันเป็นเวลาสองชั่วยาม จากนั้นถึงจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เมื่อถึงวันใหม่ ทหารชุดใหม่ก็จะเข้ามาฝึกปรือ ขณะที่เทียนอี้มีหน้าที่สังเกตการณ์และคอยชี้หาจุดบกพร่องให้ทหารแต่ละนาย เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะตั้งแต่ที่ถูกขับไล่ลงมาอยู่ยังโลกมนุษย์จนกลายเป็นเทพอสูร วรยุทธใดๆ ที่ติดตัวไว้เมื่อครั้งเป็นเทพก็เริ่มเสื่อมถอยด้วยไม่ได้ใช้งานเหมือนครั้งที่ยังอยู่ในกองทัพสวรรค์ การให้ทหารได้มาประลองกันในทุกเช้าก็เพื่อให้ไม่หลงลืมว่าเคยเป็นเทพที่โลดแล่นในสนามรบมาก่อน ไม่เช่นนั้นหากวรยุทธเสื่อมถอยก็จะกลายเป็นเพียงเทพอสูรที่กลายเป็นแค่พ่อค้าร้านตลาดอย่างเทพอสูรบางตนที่เห็นได้โดยทั่วไป ถึงแม้วรยุทธจะไม่ได้สูญหาย แต่ก็ไม่สามารถออกรบได้อย่างเต็มกำลังเฉกเช่นหลายร้อยปีก่อนแล้ว ทว่าซิ่นเฉิงก็หาได้คิดสนใจใคร่ถาม ได้ยินเทียนอี้ตอบอย่างนั้นก็แสยะยิ้มพราย “กลัวข้าทำลายจวนของเจ้า หรือกลัวข้าจะถอนขนของเจ้าจนหมดตัวกันแน่?” ว่าพลางเหลือบมองไปยังลำคอของเทียนอี้ซึ่งขนหายไปกระจุกหนึ่ง พ่อบ้านเหลียงที่ทักผู้เป็นนายแต่เช้าเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติตระหนักได้ตอนนี้เองว่าขนของเทียนอี้หายไปเพราะฝีมือของผู้ใด เทียนอี้ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงนักหรอก ใช่ว่าเขาเกรงว่าจะถูกมนุษย์ผู้นี้ถอนขนด้วย เขาแค่ไม่อยากให้ซิ่นเฉิงก่อเรื่องวุ่นวายให้คนอื่นๆในจวนมากกว่า “หากเจ้ามัวแต่จะพูดพร่ำ ก็จงเลือกอาวุธแล้วมาประลองกับทหารของข้าให้ข้าได้ชมเสียดีกว่า” สิ้นเสียงของแม่ทัพเทพอสูร ทหารนายหนึ่งก็เดินไปหยิบอาวุธที่ราวมากระชับถือในมือ ซิ่นเฉิงมองปราดไปเห็นอีกฝ่ายซึ่งมีศรีษะเป็นเสือโคร่ง ก็เข้าใจได้ทันทีว่านั่นแหละคือคู่ประลองของเขาที่จะต้องปะมือด้วย เท่านั้นก็ปรายตาเลือกหาอาวุธของตนเองบ้าง หากแต่อาวุธใดๆ ก็ดูแล้วจะไม่ถนัดมือเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าเขาจะใช้ดาบ กระบี่ ทวนหรือหอกไม่เป็น แต่มือเขาคุ้นเคยกับอาวุธชนิดหนึ่งมากกว่า เทียนอี้เห็นมนุษย์หนุ่มใช้เวลาในงานเลือกค่อนข้างนานก็พอจะรับรู้ได้ยกมือขึ้นไหวๆ เล็กน้อย ทหารนายหนึ่งก็นำห่อผ้ามาวางไว้บนโต๊ะให้ ครั้นคลี่ออกมาก็ปรากฏดาบวงพระจันทร์อยู่คู่หนึ่ง มันไม่ใช่ดาบประจำกายของซิ่นเฉิงที่ถูกริบไปเมื่อครั้งที่บุกจวนเข้ามา แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธที่เขาถนัดที่สุดแล้ว “รับไปสิ เจ้าคงจะถนัดมือกับอาวุธนี้” ได้ยินเทียนอี้พูด ซิ่นเฉิงก็ไม่อยากจะตอบรับหรอก แต่เขาไม่อยากจะเสียหน้าเพราะต้องแพ้เทพอสูรในการประลองมากกว่า ไม่ว่าเทพอสูรหน้าไหน เขาก็ไม่ต้องการพ่ายแพ้ทั้งนั้น พลันเดินเข้าไปคว้าดาบขึ้นมาไว้ในมือเล่มละข้างโดยไม่รอให้เทียนอี้อนุญาตก่อน หรือขอบคุณแต่อย่างใด คว้าเสร็จก็เดินกลับไปยังจุดที่เดินมา ท่าทางกระด้างกระเดื่องนั้นสร้างความเวียนศีรษะให้กับพ่อบ้านเหลียงเสียเหลือเกิน วิธีนี้จะปราบพยศได้จริงๆ น่ะหรือ? “กฎของการประลองมีอยู่เพียงสามข้อ ข้อแรก...ห้ามให้ถึงตาย ข้อสอง...เมื่ออีกฝ่ายยอมแพ้ ต้องหยุดมือ และข้อสาม...ห้ามขุ่นเคืองกันไม่ว่าผลการประลองจะออกมาเป็นอย่างไร หากข้าได้ยินว่าผู้ใดหมางใจกันจน ก่อเรื่องนอกลานประลอง ข้าจะลงโทษขั้นเด็ดขาด” เทียนอี้ว่า จากนั้นก็ทอดสายตามองมายังซิ่นเฉิงที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร “เข้าใจใช่ไหม เจ้าแมวป่า” “เข้าใจแล้วเจ้าหมา” อีกฝ่ายตอบรับยอกย้อน น้ำเสียงฟังดูยียวนมากทีเดียว พ่อบ้านเหลียงที่เห็นเหตุการณ์ ยิ่งมองก็ยิ่งขุ่นใจ เขาจะกัดลิ้นตายเพราะเห็นผู้เป็นนายเมตตาคนไม่รู้จักกาลเทศะให้ได้แล้ว! อ้อ...ลืมไป เขาคงกัดลิ้นตายไม่ได้... จระเข้ไม่มีลิ้น ถ้าอย่างนั้น เขาคงต้องปวดหัวกับความใจดีของเทียนอี้และความเกเรของซิ่นเฉิงไปอีกพักใหญ่เลยกระมัง... เสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นการบอกให้เริ่มการประลองได้ ซิ่นเฉิงแกว่งมีดในมือไปมาอย่างคล่องแคล่ว ย่อตัวลง ค่อยๆ ก้าวอย่างเชื่องช้า ท่าทางคล้ายกับแมวป่าเตรียมสู้ไม่มีผิด ในขณะที่เทพอสูรเสือโคร่งเองก็ตั้งท่ารับ สายตาจับจ้องไปยังมนุษย์หนุ่มเขม็ง อาวุธของเทพอสูรตรงหน้าคือกระบี่ แสดงว่าเขาก็ต้องคล่องแคล่วไม่แพ้กันถึงได้ใช้อาวุธชนิดนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นเสือโคร่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะว่องไวเพียงใด แต่นั่นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงหวั่นใจเท่ากับการตระหนักได้ถึงพละกำลังมหาศาลของเทพอสูรที่เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจต่อกรได้หากใช้เวลานาน เขาจะต้องจบการประลองด้วยเวลาที่สั้นที่สุด ดังนั้นการโจมตีจุดอ่อนของ อีกฝ่ายคือสิ่งที่ควรกระทำ ซิ่นเฉิงตัดสินใจได้ก็หลอกล่อให้คู่ประลองพุ่งเข้าหาก่อน ในขณะที่ตนเองเป็นฝ่ายตั้งรับ นั่นก็เพื่อตรวจสอบดูว่าวรยุทธของเทพอสูรผู้นี้เป็นเช่นไร ครั้นมั่นใจแล้วว่าถึงจะว่องไวคล่องแคล่วเพียงใด แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่พอๆ กับเทียนอี้ ก็ยังทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่ดีเท่าไรนัก จุดนี้เองที่ซิ่งเฉิงได้เปรียบ เริ่มปะมือกลับไปบ้าง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม