คราแรกที่ตอบรับเงื่อนไขของเทียนอี้ก็เพราะคิดว่าแค่ทำตามที่อมนุษย์ตนนั้นต้องการ แลกกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องอยาก แต่ในความเป็นจริง ช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน ซิ่นเฉิงแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายอยู่แล้วเมื่อต้องทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายที่เขาไม่เต็มใจยอมรับอย่างนั้น
สู้ไปขโมยมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้วหนีออกไปยังจะง่ายกว่าอีก!
ชายหนุ่มอดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังไม่เพียงคิดอีกด้วย เขาจะทำมันจริงๆ
หลายราตรีที่ผ่านมานี้ ซิ่นเฉิงลอบสังเกตว่าทุกคืน เทียนอี้จะออกจากห้องรับรองไปยังห้องหนังสือ และใช้เวลาอยู่ในนั้นจนถึงยามจื่อ[1] จากนั้นถึงจะกลับเข้าห้องนอน ดังนั้นหากเขาจะไปขโมยมาและหนีออกจากจวนแม่ทัพ รวมถึงกลับสู่ทะเลทราย จึงมีโอกาสแค่ชั่วยามนี้เท่านั้น
ซิ่นเฉิงออกจากเรือนคนรับใช้เมื่อถึงเวลา สายตากวาดมองไปในความมืดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นเขา ครั้นเห็นทางสะดวกก็รีบทะยานไปยังเรือนหลังใหญ่ หมายจะเข้าไปในห้องนอนของเทียนอี้
กลิ่นสาบทะเลทรายลอยคละคลุ้งมาเตะปลายจมูก ต่อให้ผ่านการอาบน้ำชำระล้างร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่เทียนอี้ก็จำได้ดีว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของซิ่นเฉิง ด้วยความที่กลิ่นเข้ามาใกล้เสียจนเตะปลายจมูก ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าเจ้าของกลิ่นคงจะมาเล่นสนุกในเรือนของเขากลางดึก ทำให้เขาต้องละความสนใจจากตำราตรงหน้า ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และออกไปยังนอกระเบียง สูดหายใจเพื่อหาต้นตอว่ากลิ่นนั้นพัดมาจากทิศทางใด
“ห้องนอน...” เทียนอี้พึมพำ หน้าผากย่นยู่เล็กน้อยก่อนจะตรงไปยังทิศทางนั้น การที่ซิ่นเฉิงบุกรุกห้องนอนเขาคงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกเสียจาก...
คิดแล้วก็หัวเราะในลำคอด้วยรู้ว่าซิ่นเฉิงจะไปหาอะไรในห้องนอนเขา พลางพึมพำออกมาอีก
“เจ้าแมวขโมยตัวนี้ช่างไม่เข็ดหลาบเอาเสียเลย”
ห่อผ้าบรรจุเครื่องประดับต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในห้องนอนของเทียนอี้!
แต่ซิ่นเฉิงที่บุกรุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ก็ยังหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย เขารื้อทุกตู้ ค้นทุกชั้น ไม่เว้นแม้แต่ซอกมุม ล้วนหาไม่เจอเลยสักนิดว่าห่อผ้าที่ซิ่นจินฝากให้อยู่ที่ไหน พานชวนให้หัวเสียขึ้นมาอีกจนต้องก่นด่าเจ้าของห้องออกมา
“ขุดดินฝังกลบหรืออย่างไรกัน เจ้าสุนัขหัวขโมย...”
เสียงนั้นเข้าหูของเทียนอี้ซึ่งอยู่ทางด้านนอกอย่างจัง
สุนัขหัวขโมยเช่นนั้นหรือ? เขานึกขันในใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าว่าเจ้าต่างหากกระมังที่เป็นหัวขโมย ...เจ้าแมวขโมย”
ซิ่นเฉิงสะดุ้งเฮือก หันไปมองตามทิศทางของต้นเสียง พลันเห็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ทางด้านนอกประตูก็รีบหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาหมายจะหนีออกจากจุดที่อยู่ทว่าก็ไม่ทันการ เพียงแค่จะกระโดดออกจากหน้าต่าง เทียนอี้ก็ผลักบานประตูเข้ามา ปรี่มาหาเขาด้วยความว่องไว มือคว้าข้อเท้าไว้ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะกระโดดลงจากขอบหน้าต่างได้เสียอีก
“เข้ามาทำสิ่งใดในห้องข้า”
ซิ่นเฉิงหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ
“ปล่อยมือออกจากข้าประเดี๋ยวนี้!”
เทียนอี้ไม่ปล่อย ขืนปล่อย เจ้าแมวตัวนี้ก็กระโดดหนีไปน่ะสิ
เขากระชากให้อีกฝ่ายกลับเข้ามาข้างในห้อง หมายจะสอบถามให้ได้ความว่าเข้ามาในห้องนอนของเขาเพื่อการใด ทว่าการดึงซิ่นเฉิงกลับเข้ามานั้น ราวกับเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ ซิ่นเฉิงส่งหมัดใส่อีกฝ่ายทันที
กำปั้นหลุนๆ ที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าทำให้เทียนอี้ผงะถอย เมื่อปัดมันออก ซิ่นเฉิงก็จัดการปล่อยหมัดอีกข้างใส่ กลายเป็นว่าแม่ทัพเทพอสูรต้องปะมือกับมนุษย์หนุ่มอย่างจำยอม
ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ในเรื่องของพละกำลัง กระนั้นซิ่นเฉิงก็ยังจะดื้อด้านสู้ ครั้นเห็นเทียนอี้หลบหลีกทุกกระบวนยุทธที่เขาสำแดงออกมาได้ชะงัด สีหน้าของซิ่นเฉิงก็กราดเกรี้ยว ขัดใจไม่น้อยที่ไม่อาจจะต่อกรได้ ก่อนจะเปลี่ยนจากการใช้หมัดมาใช้กรงเล็บ วิชามารที่เขาเรียนรู้จากผู้เฒ่าคนหนึ่งในเผ่าซึ่งอดีตเคยเป็นนักรบ
ฝ่ามือพุ่งไปคว้าคอเสื้อของเทียนอี้ ก่อนกระชากเต็มแรง ส่งผลให้อาภรณ์ขาดวิ่นเป็นชิ้น เทียนอี้ชำเลืองมอง เห็นตนเสียท่าก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรจะหยอกล้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว จริงอย่างที่พ่อบ้านเหลียงพูด ใจดีด้วยมากไป อีกฝ่ายจะกำเริบเสิบสาน
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะยั้งมืออีกต่อไป ทันทีที่เห็นซิ่นเฉิงพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับวิชากรงเล็บมาร เขาก็คว้าเอาข้อมือข้างนั้นไว้ บิดไพล่หลังเสียจนอีกฝ่ายร้องโอดโอยเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย อีกทั้งยังเตะตัดขาให้อีกฝ่ายทรุดลงไปกองกับพื้น
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องหยุดพยศเสียที”
ซิ่นเฉิงซึ่งเจ็บปวดจนใบหน้าเหยเกเหลือบมองอมนุษย์ตนนั้น ก่อนจะแค่นเสียง
“ขะ...ข้า...จะไม่ยอมก้มหัวให้เจ้า ไม่มีวัน!”
ดื้อดึงเสียจนน่าจับโบยนัก!
“แต่มันถึงเวลาแล้ว” ถึงจะคิดเช่นนั้น เทียนอี้ก็ไม่อยากจะถือสาหาความใด ได้แต่บอกเสียงเรียบ พลันปล่อยมือออกจากร่างกำยำนั้น
ทว่า... การปล่อยให้ซิ่นเฉิงเป็นอิสระ แทนที่เขาจะเข็ดหลาบเพราะความเจ็บปวดที่เทียนอี้มอบให้ เขากลับไม่ยอมอ่อนลงง่ายๆ สบโอกาสก็พุ่งเข้ามาหา หมายจะทำร้ายคนตรงหน้าอีก
เทียนอี้หันกลับมาในชั่วพริบตา ยื่นมือออกไปตรงหน้า คว้าเอาลำคอแกร่งของซิ่นเฉิงไว้ พลันออกแรงบีบเสียจนคนที่คิดร้ายต่อเขาหายใจไม่ออก ซิ่นเฉิงดิ้นพล่าน มือทั้งสองพยายามรั้งเอามือของเทียนอี้ออก ทว่าก็ไร้ประโยชน์เมื่อมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าคล้ำแดดเริ่มซีดขาวด้วยขาดอากาศหายใจ จึงสะบัดขาเตะเข้าที่ช่องท้องของเทียนอี้เต็มแรง
ถึงจะความอดทนเป็นเลิศ แต่ถูกเตะเข้าไปอย่างนั้นก็ทำเอาจุกเหมือนกัน เทียนอี้คลายฝ่ามือออกเล็กน้อย ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะวาดกรงเล็บมารเข้าที่ใบหน้า หากแต่เทียนอี้หลบได้จึงพลาดไปโดนยังลำคอ
ขนสีเงินยวงกระจุกหนึ่งหลุดติดมือชายหนุ่มมา เทียนอี้เหลือบมองแล้วก็คำราม
“เจ้า...!”
ชักจะโกรธขึ้นมาเสียแล้ว อุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี แต่เจ้าแมวป่าตัวนี้ก็หาได้เชื่องขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยังจะตอบแทนบุญคุณเขาด้วยการข่วนจนขนของเขาหลุดอีก ช่างน่าทำโทษนัก!
ส่วนซิ่นเฉิง เห็นขนบริเวณลำคอของเทียนอี้หายไปกระจุกหนึ่งก็ยิ้มเยาะออกมาด้วยกำแหง
“ทำไมรึเจ้าหมาน้อย”
เทียนอี้หมดความอดทนแทบจะในทันที ส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งเข้ามาหาอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงหมายจะหลบ แต่คราวนี้เทียนอี้เอาจริง หลบไปก็เท่านั้นเพราะเขาถูกคว้าลำคอเสียเต็มแรง ก่อนจะถูกเหวี่ยงไปยังเตียง ตามมาด้วยร่างใหญ่ที่ทาบทับลงมา
เสียงลมหายใจกระหืดหอบดังออกมาจากอมนุษย์ออกมาคล้ายกับว่าสะกดโทสะที่พวยพุ่ง ซิ่นเฉิงพยายามขยับด้วยหายใจไม่ออกแต่ไม่เป็นผล ครั้นเมื่อสบดวงตาสีทองอำพัน เขาก็หยุดเคลื่อนไหวไปในทันที
สีหน้าของเทียนอี้ในตอนนี้หาใช่นิ่งเรียบอย่างที่เคยเห็นอีกต่อไป ทว่าดูกราดเกรี้ยว แยกเขี้ยวใส่ราวกับจะบอกว่าหากเขาไม่หยุดดื้อดึง คมเขี้ยวสีขาวมุกคู่นี้แหละจะฝังลงมาบนลำคอของเขาแล้วฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ จนจำซากเดิมไม่ได้
“อย่าดื้อรั้นกับข้า”
พอจะหายใจได้เกือบเป็นปกติแล้ว เทียนอี้ก็ว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าสายตาที่ซิ่นเฉิงมองมาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
ใช่...หวาดกลัว ถึงจะกล้าเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ถูกเทียนอี้จับจ้องลึกๆ ในใจเขาก็ประหวั่นพรั่นพรึงอมนุษย์ตนนี้อยู่ดี
ครั้นเห็นว่าการสั่งสอนสมควรพอแค่นี้ เทียนอี้ก็คลายฝ่ามือแล้วผละขึ้นนั่ง ซิ่นเฉิงไอโขลกหน้าดำหน้าแดงกระทั่งน้ำตาไหล เจ็บใจไม่น้อยทีเดียวที่สู้เทียนอี้ไม่ได้ ไม่เพียงแค่พละกำลังมากกว่าเขามหาศาล ยังจะมีวรยุทธที่เหนือชั้นกว่าอีกโข แม้จะมีร่างกายใหญ่โต แลดูคล้ายกับว่าจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้า ทว่าผิดถนัดด้วยเทียนอี้นั้นเคยเป็นเทพ ถึงจะสูญสิ้นซึ่งพลังตบะที่สั่งสม แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะยังมีวรยุทธสูงส่งติดตัวอยู่ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาฝึกฝนจนแก่กล้าเสียก่อนที่จะกลายเป็นเทพเสียอีก อีกทั้งยังหวาดกลัวเทียนอี้จนร่างกายแข็งทื่ออีก เป็นความจริงที่ไม่อยากยอมรับแต่ก็จำยอมด้วยไม่อาจเลี่ยงได้
ช่างน่าเจ็บใจจริงๆ!
เทียนอี้จ้องมองมนุษย์หนุ่มด้วยสายตายากจะอ่าน ไม่รู้ว่าเขากำลังระอาใจอย่างที่พ่อบ้านเหลียงระอา หรือครุ่นคิดหาวิธีกำราบพยศอยู่กันแน่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหยุดไอแล้ว เขาก็เปรยออกมา
“หากเจ้ามีเรี่ยวแรงมากมายถึงเพียงนั้น รุ่งขึ้นให้มาพบข้าที่ลานกว้างของจวน ไม่ต้องไปกับพ่อบ้านเหลียง”
ซิ่นเฉิงไม่รู้ว่าเทียนอี้ให้เขาไปพบทำไม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยเจ็บแค้นเสียจนตามืดบอดเสียมากกว่า
“ข้าจะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้า! โอ๊ย!” ถึงจะกลัว แต่ก็ไม่วายยอกย้อน พลางดันตัวขึ้นหมายจะลุก ทว่าเมื่อใช้ข้อมือที่ถูกบิดดันตัวขึ้น ความปวดแปลบก็พร่างพรายจนต้องนั่งลงไปอย่างเดิม
เทียนอี้เห็นว่าข้อมืออีกฝ่ายแดงเถือกก็คว้าแขนข้างนั้นของซิ่นเฉิงไปพินิจ
“แค่กล้ามเนื้ออักเสบเล็กน้อย ใช้สมุนไพรประคบเพียงครู่ก็หาย ไปที่ห้องโอสถกับข้า ข้าจะประคบให้ ป่านนี้พ่อบ้านเหลียงคงเข้านอนแล้ว”
เห็นท่าทางนั้น ซิ่นเฉิงก็กระชากแขนกลับ
“ข้าไม่ต้องการความเมตตาจากสุนัขป่าอย่างเจ้า!”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าดื้อดึงกับข้า” เทียนอี้ถามเสียงต่ำ
ซิ่นเฉิงชักสีหน้า “หากข้าจะต้องตาย ข้าจะยอมตายถ้าต้องวิงวอนขอชีวิตจากเจ้า”
คล้ายจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากเทียนอี้
เอาเถิด ไม่อยากจะประคบสมุนไพรก็ช่าง ถ้าเช่นนั้นก็...
“กลับเรือนนอนไป รุ่งเช้าข้าจะให้คนไปตาม”
...ไล่เลยแล้วกัน อยู่ด้วยนานๆ แล้วชักจะปวดกะโหลกอย่างที่พ่อบ้านเหลียงเป็นแล้ว
ไม่ต้องให้ไล่ซ้ำ ซิ่นเฉิงก็ไม่อยู่ต่อ ต่อให้ไม่ไล่ก็ไม่มีวันอยู่ เขารีบผุดลุกขึ้น ส่งสายตาเจ็บแค้นมาให้เทียนอี้ ก่อนจะพรวดพราดกลับออกไปในพริบตา
เสียงร้องโหวกเหวกด้วยความโมโหพร้อมกับเสียงกิ่งไม้ของต้นไม้บางต้นถูกทำลายลอยตามมาให้ได้ยิน ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าป่านนี้ซิ่นเฉิงคงจะระบายอารมณ์กับต้นไม้ในสวนเขาอยู่
นี่คงหมายจะให้สวนของเขาพินาศให้จงได้สินะ?
กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่ถือสาใดๆ ทำเพียงยกมือขึ้นแตะลำคอบริเวณที่ขนหายไป พลางพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
เจ้าแมวตัวร้าย...
[1] ยามจื่อ เท่ากับเวลา 23.00 น. - 00.59 น.