“นางเป็นคนรักของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
ซิ่นเฉิงแทบหยุดหายใจ หูไม่ได้ยินเสียงของเทียนอี้ที่ถามมาเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เอาแต่จับจ้องไปยังใบหน้าของสุนัขป่าอย่างตะลึงงัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นอมนุษย์ก็จริง แต่สำหรับการเผชิญหน้ากับเทียนอี้ เขารู้สึกราวกับว่า... เขากับอมนุษย์ตนนี้เทียบชั้นกันไม่ติด
ไม่...ไม่ใช่อมนุษย์ ตรงหน้าเขาคือเทพอสูรต่างหาก
นี่สิถึงจะเรียกว่าเทพอสูรได้อย่างเต็มปาก!
“ว่าอย่างไร ตอบคำถามข้ามาเจ้าโจร นางเป็นคนรักของเจ้าใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นบุรุษชุดดำไม่พูด เทียนอี้ก็ถามซ้ำ
ซิ่นเฉิงพรั่นพรึงเสียจนลำคอตีบตัน เกิดเป็นนักรบเผ่าทะเลทราย บางคราก็เป็นโจรปล้นกองคาราวานสินค้าและสังหารโจรทะเลทรายกลุ่มอื่น รวมถึงอริศัตรูมาก็มาก แต่หาได้เคยประหวั่นวิตกถึงเพียงนี้
เห็นซิ่นเฉิงไม่พูดเสียที ซิ่นจินซึ่งหลบอยู่ด้านหลังก็เกรงไม่น้อยว่าพี่ชายตนจะได้รับอันตราย นางเข้าใจว่าคนตรงหน้าตกอยู่ในภาวะตระหนก แม้จะกล้าหาญเพียงใด แต่ผู้มีอำนาจและชวนยำเกรงกว่ามาปรากฏตัวตรงหน้าก็ย่อมพูดไม่ออก เฉกเช่นเดียวกับนางยามได้เจอหน้าของเทียนอี้ครั้งแรก
ขนาดครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง นางก็ยัง...หวาดกลัว
กระนั้นก็ปริปากออกไปอย่างไม่รีรอ
“หะ...หามิได้เจ้าค่ะ ชายผู้นี้หาได้เป็นคนรักของข้าไม่ หากแต่เป็นพี่ชายฝาแฝดร่วมสายโลหิต ขอท่านแม่ทัพเมตตาด้วย”
ไม่พูดเปล่า ยังถลาออกมาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า วิงวอนขอให้เทียนอี้ ยกโทษให้ที่ซิ่นเฉิงบุกรุกเข้ามาชิงตัวนางถึงในจวน เพราะนางรู้ว่าเหล่าอมนุษย์พวกนี้ ต่อให้มีเมตตาต่อมนุษย์ คอยอุ้มชูอุปถัมภ์เพียงใด แต่พวกเขาก็มีกฎระเบียบเคร่งครัดที่ต้องปฏิบัติตามเช่นกัน มนุษย์คนใดที่ไม่สามารถทำตามกฎเหล่านั้นได้ โทษอย่างเบาคือถูกเนรเทศ ส่วนโทษอย่างหนัก...ถูกประหาร
เพียงแค่ไปรุกล้ำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ครอบครองของแม่ทัพเทียนอี้ โทษยังถึงตายยกเผ่า แล้วนี่บุกจวนอย่างอุกอาจ คงไม่ถูกตัดศีรษะขาดเสียบประจาน แล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ให้นกกากินหรือ?
เห็นดรุณีน้อยก้มศีรษะเสียจนหน้าผากติดพื้น เทียนอี้ก็ครางในลำคอเบาๆ
“พี่ชายฝาแฝด...”
ซิ่นจินเงยหน้าขึ้นมาพยักหงึกหงัก หยาดน้ำสีใสเอ่อปริ่มขอบตา สร้างความน่าเวทนาให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก นางเป็นหญิงงาม ไม่คู่ควรกับหยดน้ำตาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้เป็นพี่อย่างซิ่นเฉิงเองก็ไม่ต้องการเห็นนางร่ำไห้ ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่สมควรคุกเข่าให้กับชายที่บังคับใจนางให้มาเป็นฮูหยินเช่นนี้!
“ซิ่นจิน! เจ้าลุกขึ้นประเดี๋ยวนี้!”
ไม่เพียงโวยวาย ซิ่นเฉิงยังถลาเข้าไปฉุดให้ร่างของผู้เป็นน้องลุกขึ้น ขณะที่ซิ่นจินส่ายหน้ารัวให้เขาหยุดการกระทำนั้นด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้าของจวนโกรธ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ผู้ใดเพื่อข้า ข้ามาช่วยเจ้า เท่ากับข้ายอมตายเพื่อเจ้า” ซิ่นเฉิงว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มประดาที่เห็นคนตรงหน้าหวาดกลัวจนสั่นเทาทั้งที่เขาเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
เทียนอี้มองด้วยความสนใจ บุรุษผู้นั้นกล้าหาญแม้จะดูโง่เขลาไปบ้าง ทำให้เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยใคร่รู้นักว่าซิ่นเฉิงจะทำอย่างไรต่อไป
“บิดาของเจ้าพาผู้คนบุกรุกบ่อน้ำของข้า แล้วเจ้าก็ยังจะบุกรุกจวนข้า ชิงตัวว่าที่ฮูหยินของข้าไปอีก กระทำการอุกอาจเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสมควรรับโทษเช่นไร”
ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบรับ ซิ่นเฉิงกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขารู้ดีว่าโทษทัณฑ์นั้นคือความตาย หาได้เคยมีมนุษย์ใดอาจหาญยกตนสูงเทียมเท่าเทพอสูรได้ด้วยเกรงต่อบารมี แต่ในยามนี้ เขา... เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมคุกเข่าวิงวอนร้องขอเมตตาใดๆ จากปีศาจตรงหน้า
“เจ้าอยากจะทำเช่นไรกับข้าก็ทำ แต่จงปล่อยซิ่นจินและพี่น้องร่วมสาบานของข้าไป”
“ท่านพี่! รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา!”
“ท่านบ้าไปแล้วหรือ!?”
พี่น้องร่วมสาบานต่างกรีดร้องอย่างตกใจ ก่อนจะโดนทุบไปอีกคนละทีสองทีด้วยฝีมือของพ่อบ้านเหลียง พร้อมด้วยเสียงดุ
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าไม่ได้อนุญาตก็อย่าปริปาก จับพวกมันมัดปากไว้ซิ”
ชายหนุ่มฉกรรจ์ถูกผ้ามัดปากเอาไว้ ซิ่นเฉิงมองแล้วก็กำมือแน่น เขาต้องรีบทำการใดสักอย่างเพื่อให้พวกพ้องของเขาเป็นอิสระ
“ปล่อยพี่น้องของข้าไป เจ้าสุนัขป่า...” ว่าเสียงต่ำออกมา อีกทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกร่างใหญ่ตรงหน้าก็เจือความดูแคลน
เทียนอี้ไม่ชอบใจนัก แต่ก็หาได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา จะมีก็แต่ซิ่นจินเท่านั้นที่เกาะแขนพี่ชาย ปรามให้เขาสงบสติอารมณ์
“ท่านพี่ ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย ข้าจะขอร้องท่านแม่ทัพเอง”
“เจ้าต่างหากที่อย่าพูด เจ้าเป็นน้องข้า พวกเขาก็เป็นพี่น้องข้า ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง” ซิ่นเฉิงหันไปขึ้นเสียงใส่
กล้าหาญจริงๆ เสียด้วย...
เป็นที่น่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย แต่ก็ดูโง่เขลาในสายตาของเทียนอี้อยู่ดี ก่อนเขาจะชำเลืองมองไปยังทหารในการควบคุม
เพียงเหลือบมองแค่นั้น ทหารอมนุษย์สองนายก็ตรงไปยังซิ่นเฉิง พลันบังคับให้เขาทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของซิ่นจิน ขณะที่ซิ่นเฉิงดิ้นพราดด้วยไม่ยอม แต่จะไปสู้อะไรได้ สุดท้ายก็ต้องคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเทียนอี้ แววตาเจ็บใจฉายให้เห็น เทียนอี้เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย
“อยากจะทำอะไรกับเจ้าก็ทำเช่นนั้นหรือ? เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามีสิทธิ์เลือกอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้หรือว่าโทษของเจ้าที่บุกรุกจวนแม่ทัพคือความตาย?”
ซิ่นเฉิงไม่ตอบคำถาม พูดเพียงสิ่งที่ตนอยากจะพูด
“ปล่อยพี่น้องของข้า”
เสียงหัวเราะหึในลำคอจากเทียนอี้ดังมาให้ได้ยิน ก่อนเขาจะเมินคำพูดนั้นด้วยการสั่งทหาร
“เอาผ้าคลุมหน้าออก”
เท่านั้นผ้าคลุมหน้าและศีรษะของซิ่นเฉิงก็ถูกกระชากออกไป รูปหน้าของเขาทำให้เทียนอี้นิ่งไปครู่ ยามได้ยลโฉมของซิ่นจินครั้งแรกหลังจากนางถูกคนสนิทพาตัวมาที่จวน เขาก็คิดว่านางงดงามไม่ใช่น้อย แต่ก็หาได้ชวนตกตะลึงเท่ากับใบหน้าของซิ่นเฉิง
เขาเป็นฝาแฝดของซิ่นจินก็ย่อมต้องมีใบหน้าละม้ายคล้ายนาง แต่ในความงดงามนั้นแฝงไปด้วยความผยองและถือดี ผิวหน้าคล้ำแดด คิ้วหนาเป็นเสี้ยววงพระจันทร์ สันกรามเป็นสันนูนเด่นชัดบ่งบอกความเป็นบุรุษเพศ อีกทั้งผมยาวสลวยดกดำ ทั้งหมดล้วนทำให้ซิ่นเฉิงดูต่างจากโจรทะเลทรายที่เทียนอี้คาดการณ์ไว้ไม่น้อย
เหมือนกับอาชา...แสนพยศ
เทียนอี้คิดในใจ ขณะเดียวกันก็สนใจซิ่นเฉิงมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
ซิ่นเฉิงตอบคำถามด้วยการถ่มน้ำลายใส่ แม้ไม่โดนใบหน้าแต่ก็กระเซ็นไปเปื้อนชายอาภรณ์ ทหารอมนุษย์ที่เห็นเหตุการณ์นั้นกดร่างของซิ่นเฉิงลงไปกับพื้นเต็มแรงด้วยโมโหที่หยามเกียรติผู้เป็นนาย ส่วนซิ่นจินก็หวีดร้องออกมา พลันรีบเอ่ยนามของผู้เป็นพี่
“ซิ่นเฉิงเจ้าค่ะ เขามีนามว่าซิ่นเฉิง”
เทียนอี้ชำเลืองมองดวงหน้าของหญิงสาวที่เว้าวอนขอให้เขาออกคำสั่งให้ทหารปล่อยพี่ชาย พลันปรามออกมา
“ไม่เป็นไร ปล่อยไป”
ผู้เป็นนายสั่งมาเช่นนั้นก็จำต้องปล่อย ซิ่นเฉิงเงยใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขึ้นมองเขม็ง ก่อนที่เทียนอี้จะทรุดตรงลงนั่งยองตรงหน้า ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น มือเอื้อมไปเชยปลายคางของอีกฝ่าย เมื่อซิ่นเฉิงสะบัดหนีและทำทีจะกัด เทียนอี้ก็คว้าเอาปลายคางไว้มั่น จากนั้นก็บีบแน่น
“ซิ่นเฉิง ข้าจะให้เจ้าเลือก” น้ำเสียงเย็นเยือกเล็ดลอดผ่านคมเขี้ยวสีขาวมุก ก่อนคำพูดประโยคถัดมาจะทำให้ทุกชีวิตนิ่งงัน “หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงเลือกเอาว่าจะให้น้องของเจ้าเป็นฮูหยินของข้า หรือเจ้าจะมาเป็นฮูหยินเสียเอง”
ซิ่นเฉิงถึงกับเบิกตาโพลง ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ตกใจไปตามๆ กัน
เจ้าอมนุษย์ตนนี้ช่าง...!
สายตาเกรี้ยวกราดฉายออกมาจากดวงตาสีนิลของซิ่นเฉิง จากที่ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับเทพอสูรเหล่านี้อยู่แล้วด้วยนึกรังเกียจ ยามนี้เขาแทบจะสังหารคนตรงหน้าได้ด้วยมือเปล่าเลยทีเดียว
ปฏิกิริยาตอบสนองกระด้างกระเดื่องเรียกเสียงหัวเราะในลำคอให้เทียนอี้ได้เป็นอย่างดี
น่าสนใจมากจริงๆ...
ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ว่าเสียงเรียบ
“ข้าจะทำตามข้อเสนอของเจ้า จะปล่อยพี่น้องของเจ้าไป แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามคนของเผ่าเจ้ากลับมาเหยียบแคว้นเฟิงฝูอีก ส่วนเจ้า...ต้องอยู่ที่นี่ เป็นทาสของข้า”
จะว่าโล่งใจก็ไม่สุดเท่าไรนัก แต่ได้ยินเทียนอี้ว่าอย่างนั้นก็พอเบาใจขึ้นมาได้บ้างที่เขาไม่คิดให้ซิ่นเฉิงเป็นฮูหยิน แต่ให้เป็นทาสแทน และคนที่ดูเหมือนจะโล่งใจที่สุดเห็นจะเป็นพ่อบ้านเหลียงที่ระบายลมหายใจออกมายาว
“ว่าอย่างไร เจ้าจะยินยอมรับข้อเสนอของข้าหรือไม่”
แผนแรกของเขาคือรอดชีวิตกลับออกไปพร้อมกัน แต่ในเมื่อเข้าตาจนเช่นนี้ ซิ่นเฉิงก็จำต้องสละตนเองเพื่อให้คนอื่นๆ รอด
“ข้าจะอยู่ ปล่อยพี่น้องของข้าไปซะ”
เทียนอี้พยักหน้า ออกปากสั่งการ “พาพวกเขาไปส่งนอกแคว้น ข้าวของของซิ่นจินก็ให้นางเก็บออกไปด้วย”
ไร้ซึ่งความอาลัยในตัวว่าที่ฮูหยินที่เพิ่งรับเข้าจวนวันนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทักท้วงเพียงใดก็จำต้องเก็บถ้อยคำเอาไว้ก่อนด้วยเหตุการณ์หลังจากนี้ค่อนข้างชุลมุน ซิ่นจินร้องไห้โวยวาย ไม่ยอมให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจเช่นนี้ อีกทั้งสหายของแมวขโมยผู้นั้นก็ดิ้นพล่านไม่ยินยอมแต่โดยดีเช่นกัน กว่าจะจัดการได้เสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปหลายเค่อ[1]
ครั้นทหารพาตัวทั้งสามออกไปนอกจวน และเทียนอี้สั่งการให้ทหารนายอื่นพาทาสคนใหม่ไปยังเรือนคุมขังทางด้านหลังจวน พ่อบ้านเหลียงก็สบโอกาสเปิดปากขึ้น
“ท่านแม่ทัพขอรับ อย่าหาว่าข้ายื่นมือเข้าไปสอดเลย แต่ทำเช่นนี้จะดีหรือ? ท่านจำเป็นต้องมีทายาทสืบสกุล ปล่อยนางไปเช่นนั้น แล้วเอาตัวพี่ชายนางไว้ ข้าเกรงว่าจะ...”
“พ่อบ้านเหลียง” พูดยังไม่ทันจบ เทียนอี้ก็เอ่ยขัด เมื่ออีกฝ่ายเงียบ เขาก็ว่าต่อ “ข้าเข้าใจแล้วเรื่องทายาท แต่นางยังไม่ใช่สตรีที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วย อีกอย่าง นางก็หาได้เต็มใจเป็นฮูหยินของข้า เจ้าจะให้ข้าขืนใจนางหรือไร”
แต่เดิมเขาก็ไม่ได้สนใจสตรีมนุษย์ใดอยู่แล้ว การที่ซิ่นจินมาที่จวนเขาได้ ล้วนเป็นการจัดการของพ่อบ้านเหลียงทั้งสิ้น ที่เขาไม่พูดขัดใดๆ ก็ด้วยไม่อยากจะถกเถียงเรื่องที่เคยพูดมาตลอดหลายร้อยปีซ้ำไปมาก็เท่านั้น เมื่อสบโอกาส มีหรือที่เขาจะไม่รีบให้นางไป แล้วเก็บ ‘เจ้าตัวน่าสนุก’ เอาไว้เลี้ยงดูแทน
“แต่ท่านก็รู้ว่าเทพอสูรหาได้มีสตรีแต่อย่างใด เราจำเป็นต้องสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น จึงจำเป็นต้องมีทายาท เทพอสูรตนอื่นวัยไล่เลี่ยกับท่านรึก็มีทายาทสืบสกุลกันถ้วนหน้าแล้ว แต่ท่าน...”
“ท่านก็ยังไม่มีทายาทไม่ใช่หรือพ่อบ้านเหลียง แม้แต่ฮูหยินก็ไม่มี”
เทียนอี้สวนขึ้น พ่อบ้านเหลียงก็ปิดปากฉับ เถียงต่อไม่ออก ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ปล่อยให้ผู้เป็นนายกลั้วหัวเราะเบาๆ และเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรทิ้งท้ายไว้อีก ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงพึมพำบ่นกับตนเองตามหลัง
“ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน เป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้ ยังจะหาญกล้าไปสั่งสอนท่านแม่ทัพอีก”
[1] เค่อ ประมาณ 15 นาที