“ค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มรับก่อนจะกดต่อสายหามารดาของอีกฝ่ายอย่างดีใจ
แม่ทัพยิ้มแล้วเดินเลี่ยงออกไปรับสายที่ห้องทำงาน เพราะไม่ต้องการให้ ช่อเอื้องรับรู้หรือได้ยินการสนทนาใดๆ ระหว่างตนกับคู่ขา
[ว่าไงครับ] แม่ทัพกดรับสายทันทีที่กดล็อกประตูห้องเสร็จ
[แหม...คุณทัพไม่ยอมโทรหาแจนเลยนี่คะ] ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียง ออดอ้อน
[โทษที! พอดีผมยุ่งๆ น่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า?]
[แจนคิดถึงคุณค่ะ]
[ขอบคุณครับ ถ้าว่างแล้วผมจะไปหานะ] แม่ทัพบอกพร้อมกับหันไปมองที่ประตูห้องอย่างรู้สึกหวาดระแวง กลัวช่อเอื้องจะเดินมาแอบฟังอยู่ด้านนอก
[ค่ะ แจนจะรอ]
[ครับ] แม่ทัพรีบกดวางสาย แล้วเดินกลับไปหานางฟ้าคนสวยด้วยสีหน้าตื่นๆ รู้สึกเหมือนกลัวเมียจับได้ว่าแอบมีกิ๊กยังไงยังงั้น
ด้านคนที่โทรไปรายงานผลเรื่องเรียนต่อเสร็จ ก็หันไปส่งยิ้มหวานให้กับ อีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี
“คุณแม่ว่าไงบ้าง?” แม่ทัพถามอย่างอยากรู้
“เอ่อ...ท่านบอกว่าจะทำอาหารรอค่ะ”
“อืม...งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่า”
“ค่ะ” ช่อเอื้องพยักหน้ารับทันใด
“เอื้องอยากทานอะไร?”
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“หึๆ เลี้ยงง่ายนะเราน่ะ” แม่ทัพหัวเราะเบาๆ กับคำตอบของสาวเจ้า
“หนูกินได้หมดค่ะ แค่ข้าวสวยร้อนๆ กับไข่ดาวสักใบก็พอ” คนที่ใช้ชีวิตอยู่ง่ายกินง่ายมาตั้งแต่จำความได้บอกอย่างอารมณ์ดี
“มันอร่อยตรงไหน?” แม่ทัพเลิกคิ้วถาม
“อร่อยค่ะ อร่อยมากสำหรับหนู”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะทำไข่ดาวให้เธอแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
“นี่ฉันประชดนะเอื้อง” แม่ทัพกลอกตาให้กับสีหน้าที่แสนจะซื่อนั้น
“...” ช่อเอื้องนิ่งเงียบ ไม่รู้จะตอบหรือพูดอะไรต่อ
“โอเค! ฉันจะทำผัดกะเพราเนื้อกับไข่ดาว” แม่ทัพสรุปเมนูอาหาร
“ค่ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มและรีบตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องครัว
แม่ทัพเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ แล้วหยิบเอาเนื้อบดออกมาวาง ก่อนจะหันไปบอกสาวเจ้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “เอื้อง เอาใบกะเพราไปล้างให้หน่อยสิ”
“ได้ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับและทำตามที่เชฟใหญ่สั่งทันที
แม่ทัพหยิบพริกขี้หนูสวนใส่ลงในครกไม้ขนาดเล็กสิบเม็ด แล้วหันไปถามสาวเจ้า “เธอทานเผ็ดได้ไหม?”
“ได้ค่ะ” ช่อเอื้องที่ล้างใบกะเพราเสร็จหันมาตอบยิ้มๆ
“งั้นจัดเต็มนะ” แม่ทัพหยิบพริกใส่เพิ่มลงไปอีก 5-6 เม็ดตามด้วยกระเทียม จากนั้นก็โขลกหยาบๆ
“ค่ะ” ช่อเอื้องพยักหน้ารับ แล้วหยิบตะกร้าที่ใส่ใบกะเพรามาส่งให้กับ เชฟใหญ่
แม่ทัพหันไปขยิบตาให้สาวเจ้า แล้วหันไปหยิบกระทะมาวางบนเตาพร้อมกับจุดไฟ พอเริ่มร้อนก็ใส่น้ำมันลงไปในกระทะเล็กน้อย จากนั้นก็ตักพริกขี้หนูกับกระเทียมที่โขลกแบบหยาบๆ ใส่ลงไปในกระทะ แล้วคนไปมาจนกระทั่งเหลืองได้ที่ ก็หยิบเนื้อบดในกล่องมาใส่ตามลงไป คนต่ออีก 4-5 ที แล้วปรุงรส พอใกล้จะสุกได้ที่ก็โรยใบกะเพราลงไป
“ว้าว! หนูขอตั้งชื่อเมนูนี้ว่ากะเพราไฮโซได้ไหมคะ” ช่อเอื้องบอกหลังเหลือบไปเห็นตัวเลขที่ติดอยู่กล่อง ก็ถึงกับอึ้งที่รู้ว่าเนื้อบดกล่องนี้มีราคาเกือบหนึ่งพันบาท
“เนื้อพวกนี้มาจากฟาร์มของฉันเอง” เจ้าของฟาร์มโคขุนอันดับต้นๆ ของประเทศบอกยิ้มๆ
“เอ่อ...ไหนคุณบอกว่าเป็นเจ้าของค่ายมวยไงคะ?” เธอถามอย่างสงสัย
“อ้าว! เป็นเจ้าของค่ายมวยแล้วทำอย่างอื่นด้วยไม่ได้เหรอ?” แม่ทัพ ยิงคำถามกลับอย่างรู้สึกขำๆ
“ขอโทษค่ะ หนูแค่ไม่เคยเห็นใครทำธุรกิจสองอย่างพร้อมกัน” เธอออกความเห็น
“หึๆ จริงๆ แล้วธุรกิจของฉันยังมีอีกหลายอย่างนะเอื้อง” แม่ทัพบอกก่อนจะตักกะเพราเนื้อใส่จาน แล้วยกไปวางบนโต๊ะทานข้าว
“เช่นอะไรบ้างคะ?” ช่อเอื้องถามต่ออย่างสนใจ
“การขนส่งภายในประเทศ ร่วมหุ้นกับเพื่อน ส่วนฟาร์มโคขุนที่เชียงใหม่กับเชียงรายฉันทำเอง รวมไปถึงรีสอร์ต โรงยิม แล้วก็ไนต์คลับอีก 4 ไม่สิ! ตอนนี้มี 5 แห่ง แล้ว” แม่ทัพสปอยธุรกิจของตัวเองด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ว้าว! คุณทัพน่าทึ่งมากๆ เลยค่ะ” ช่อเอื้องมองหนุ่มตรงหน้าอย่างเต็มไปด้วยความชื่นชมแกมอิจฉาและหมั่นไส้นิดๆ ที่อีกฝ่ายเกิดมามีชีวิตที่เพียบพร้อม ซึ่งผิดกับเธออย่างลิบลับ
“จริงเหรอ?” แม่ทัพหันไปหยิบกระทะใบใหม่มาวางบนเตา เตรียมทำไข่ดาวให้สาวเจ้าต่อ
“จริงสิคะ” ช่อเอื้องเอ่ยยืนยัน ก่อนจะเดินไปตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จาน แล้วยกไปวางบนโต๊ะทานข้าว
“ว้า! ไข่ไก่หมดน่ะเอื้อง เปลี่ยนเป็นไข่เป็ดได้ไหม?” แม่ทัพหันไปถามหลังเปิดตู้เย็นออกดูแล้วพบไข่เป็ดวางอยู่บนชั้นสองฟอง
“ได้ค่ะ หนูขอแบบกรอบนอกแต่ข้างในสุกเยิ้มๆ นะคะ” ช่อเอื้องรีบเดินกลับไปบอกพ่อครัวสุดหล่อด้วยสีหน้าตื่นเต้น นอกเหนือจากการได้กินไข่ไก่แล้ว ไข่เป็ดถือเป็นอะไรที่สุดยอดมากสำหรับเธอ
“ฟังดูเหมือนง่ายนะ” แม่ทัพยิ้มรับอย่างรู้สึกเกร็งนิดๆ รีบเทน้ำมันลงไปในกระทะที่ร้อน พร้อมกับปลอบใจตัวเอง ‘นายจะมาตกม้าตายเพราะไข่ดาวไม่ได้นะทัพ เพราะมันเหลือแค่สองใบเท่านั้น’
“ง่ายค่ะ ให้หนูทำไหมคะ” ช่อเอื้องเสนอตัวเข้าช่วย
“ไม่! ฉันจะทำเอง” คนที่อยากจะสร้างความประทับใจ รีบส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเชื่อมาตลอดว่า...การที่วรันยายอมแต่งงานกับภาคิน เพื่อนสนิทของตนนั้น เป็นเพราะอีกฝ่ายทำกับข้าวเก่ง และคู่ของจีอาน่ากับจอมพลก็เป็นอีกข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ ฉะนั้น! ตนจึงคิดว่าจะใช้เสน่ห์ปลายจวักผูกมัดใจช่อเอื้องเช่นกัน
“ก็ได้ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ แล้วหันไปหยิบจานมาวางรอ
“รู้ไหม เพื่อนของฉันเคยไลฟ์สดตอนทำกะเพราไข่ดาว มีคนเข้าดูหลายหมื่นเลย” แม่ทัพชวนคุยพร้อมกับตอกไข่ทั้งสองใส่ลงไปในกระทะ
“ว้าว! แสดงว่าเพื่อนของคุณทัพต้องทำอาหารเก่งใช่ไหมคะ?”
“หึๆ แค่ทำไข่ดาว ไฟก็ไหม้ห้องครัวแล้ว เธอคิดว่ามันเก่งหรือเปล่าล่ะ?” แม่ทัพถามพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ เมื่อนึกไปถึงสีหน้าตื่นๆ ของขุนพันที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ จนเกือบจะโดนแก๊สระเบิดใส่ โชคดีที่คนขับรถมาดึงแขนให้ออกวิ่ง ไม่งั้นป่านนี้อีกฝ่ายคงจะเหลือแต่ชื่อไปแล้ว
“เรื่องจริงเหรอคะ?” ช่อเอื้องขมวดคิ้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าแค่ทำไข่ดาว จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้
“เรื่องจริงสิ เดี๋ยวฉันจะให้เธอดูคลิป” คนที่ยังคงเก็บคลิปเอาไว้ บอกก่อนจะตักไข่ดาวขึ้นจากกระทะและวางลงในจานที่อยู่ใกล้ๆ
“น่าทานจังเลยค่ะ” เธอเอ่ยชม
“หึๆ เราทำต้มจืดเต้าหู้สาหร่ายเพิ่มอีกเมนูไหม?” คนหล่อที่นานๆ จะเข้าครัวที ถามอย่างเอาใจ
“หนูแล้วแต่คุณค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ
“โอเค! งั้นเริ่มกันเลย” แม่ทัพบอกก่อนจะหันไปเปิดดูของในตู้เย็น แล้วหยิบนู่นจับนี่ออกมาวาง ช่อเอื้องจ้องมองพ่อครัวมาดโหด ที่ยิ่งมอง ยิ่งรู้จัก ก็เหมือนจะเริ่มหล่อและมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แถมยังทำกับข้าวอร่อยและใจดีอีกด้วย
สิบนาทีต่อมา... ช่อเอื้องนั่งมองอาหารที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะอย่างรู้สึกทึ่ง แม้ว่าจะเป็นเมนูที่แสนธรรมดา แต่มันกลับดูแพงซะจนไม่กล้าตักขึ้นมาทาน
แม่ทัพที่กำลังจะเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ แต่พอได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้น จึงหันไปบอกคนที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เดี๋ยวฉันมานะ”
“ค่ะ” ช่อเอื้องมองตามอย่างสงสัย แต่กระนั้น...กลิ่นหอมๆ ของอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดึงสายตาของเธอกลับมา พร้อมกับแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างรู้สึกหิว
แม่ทัพรีบเดินไปที่ประตูทางเข้า ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมาที่โต๊ะทานอาหารพร้อมกับถุงกระดาษขนาดใหญ่ “นี่ของเธอ”
“อะไรเหรอคะ?” ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย
“เปิดดูสิ” แม่ทัพส่งถุงกระดาษไปให้
“ค่ะ” ช่อเอื้องเปิดออกดูก็เห็นกล่อง iPhone 13 pro สีเซียร์ร่าบลู รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะวางจำหน่าย
“เธอชอบไหม?” แม่ทัพเลิกคิ้วถามยิ้มๆ
“เอ่อ...หนูว่ามันแพงเกินไป จริงๆ มือถือเครื่องเก่าของหนูก็ยังใช้ได้ดีค่ะ” หญิงสาวรีบวางกล่องมือถือลงบนโต๊ะเช่นเดิม
“อะไรกัน! แทนที่จะดีใจ” แม่ทัพส่ายหน้าอย่างเพลียๆ กับท่าทีของสาวเจ้า
“หนูคิดว่ามันคงไม่เหมาะกับหนูหรอกค่ะ อ้อ! แล้วที่คุณบอกว่าจะจ้างหนูเดือนห้าหมื่น ไม่ต้องจ้างเยอะขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ให้เงินหนูวันละสองร้อยไปเรียนก็พอแล้วค่ะ” ช่อเอื้องบอกสีหน้าจริงจัง เพราะลำพังค่าจัดงานศพของบิดาก็ปาเข้าไปหลายแสน เธอจึงไม่อยากรบกวนหรือเรียกร้องอะไรเพิ่มนอกเหนือจากการได้เข้าเรียนในระดับมหา’ลัย
“พระเจ้า!” แม่ทัพกลอกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่านอกจากเธอจะอยู่ง่าย กินง่าย แล้วยังมักน้อยอีก
“ถ้างั้น...หนูขอวันละหนึ่งร้อยบาทก็พอค่ะ” ช่อเอื้องรีบต่อรอง กลัวว่า อีกฝ่ายเปลี่ยนใจไม่ให้ไปเรียนต่อ
“ให้ตายสิ!” แม่ทัพสบถอย่างหัวเสียกับคำตอบที่ฟังดูเหมือนกับว่า...เขาเป็นคนขี้เหนียวสุดๆ จนเธอต้องรีบลดจำนวนเงินลงถึงเท่าตัว
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูไปทำงานพิเศษเอาก็ได้” ช่อเอื้องบอกอย่างเริ่มจะทำตัวไม่ถูก
“เอื้อง!” แม่ทัพเรียกสาวเจ้าอย่างรู้สึกเคืองที่เธอยังไม่หยุดคิดกับตนไปในทางลบ
“ขอเถอะนะคะ หนูอยากเรียนต่อจริงๆ” คนที่กลัวไม่ได้เรียนต่อรีบยกมือไหว้ขอความเห็นใจ
แม่ทัพถอนหายใจก่อนจะบอกสิ่งที่คิดเอาไว้ “เฮ้อ...ฉันจะให้เธอใช้เดือนละห้าหมื่นบาท”
“...” ช่อเอื้องได้ฟังตัวเลขก็ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เพราะจำนวนเงิน มันมากไป
“ไม่พอเหรอ?” แม่ทัพแสร้งเลิกคิ้วถาม
“ไม่ค่ะ มันมากเกินไปต่างหาก หนูอยากได้แค่ค่าข้าวกับค่ารถเมล์เท่านั้น” ช่อเอื้องรีบชี้แจง
“รถเมล์?” คนที่กำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อรถให้สาวตรงหน้าใช้ เอ่ยทวนคำอย่างรู้สึกโมโหขึ้นมานิดๆ
“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับเบาๆ
“ฟังนะเอื้อง! เงินเดือนของเธอคือห้าหมื่นบาทต่อเดือน หากเดือนไหนมีรายจ่ายเพิ่มก็บอก ส่วนเรื่องจะนั่งรถเมล์ไปเรียนหรือทำงานพิเศษน่ะ เลิกคิดไปได้เลย เรียนคือเรียนอย่างเดียว หมดคาบเรียนก็รีบกลับห้องโอเค้?”
“ค่ะ ขอบคุณคุณทัพมากๆ เลยนะคะที่เมตตา” ช่อเอื้องฉีกยิ้มหวานทันใด
“ถ้าเธอจะขอบคุณฉันจริงๆ ก็แค่เปลี่ยนมาใช้มือถือเครื่องนี้ซะ”
“เอ่อ...” ช่อเอื้องหันไปมองกล่องใส่มือถือราคาแพงอย่างชั่งใจ
“เธอจะเปลี่ยนมาใช้มือถือเครื่องนี้ หรือจะให้ฉันเปลี่ยนใจไม่ให้เธอเรียนต่อ?” แม่ทัพเห็นสาวเจ้าออกอาการลังเลจึงแกล้งขู่สำทับ
“เอื้องจะใช้มือถือเครื่องนี้ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ช่อเอื้องบอกพร้อมกับยกมือไหว้เจ้าชายสายเปย์อย่างซาบซึ้งใจ
“ชอบให้ขู่หรือไงเรา” แม่ทัพกลอกตาก่อนจะลงมือตักอาหารขึ้นมาทาน
“ไม่ชอบค่ะ” ช่อเอื้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเขินๆ
“งั้นก็ว่าให้มันง่ายๆ หน่อยสิ”
“ค่ะ” เธอส่งยิ้มให้คนที่ชอบทำหน้าดุ แต่ทว่า...กลับใจดีสุดๆ
“พรุ่งนี้เช้าเราจะไปที่บ้านของเธอ ไปเก็บของใช้ที่จำเป็น แล้วก็แวะไปคุยกับป้านิลลุงศักดิ์ ส่วนตอนเช้าของอีกวัน เราจะเดินทางไปรับอัฐิของคุณพ่อที่วัด” แม่ทัพบอกกำหนดการ
“ค่ะ” ช่อเอื้องพยักหน้ารับ ก่อนจะลงมือทานอาหารอย่างอารมณ์ดี
“คิดเอาไว้หรือยังว่าจะทำยังไงต่อ?”
“หมายถึงอัฐิใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ฉันแนะนำให้เก็บเถ้ากระดูกใส่โกศเอาไว้ที่นี่ดีไหม?”
“คุณทัพไม่ถือเหรอคะ?”
“ไม่หรอก แม่ของฉันก็เก็บเถ้ากระดูกของคุณตาคุณยายใส่ไว้ในโกศ เวลาถึงช่วงเทศกาล ก็เอามากราบไหว้เป็นประจำ”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่าง ถ้าไม่มีคุณ...หนูก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ฮือๆๆ” ช่อเอื้องมองชายตรงหน้าก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างตื้นตันใจ
“ชู่ว์” แม่ทัพรีบลุกขึ้นและเข้าไปดึงสาวเจ้าเข้ามากอดอย่างเข้าใจความรู้สึก
คนที่ร้องไห้ไปได้ครู่หนึ่ง ก็หยุดร้อง แล้วค่อยๆ ดันตัวออกอย่างเขินๆ “ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หน้าอกของฉันมีไว้ให้เธอซบเสมอ” แม่ทัพอมยิ้มกับสาวมารยาทงามที่พูดเป็นแต่...{ค่ะ / ได้ค่ะ หนูขอโทษนะคะ / ขอโทษจริงๆ ค่ะ /ขอบคุณนะคะ / ขอบคุณที่เมตตาหนู} ไม่รู้ทำไม ฟังทีไรก็เคยไม่รู้สึกเบื่อ ฟังแล้วก็อยากจะฟังอีก ยิ่งตอนที่เธอยกมือขึ้นไหว้ด้วยแล้ว เขายิ่งหลงรักในกิริยาที่อ่อนช้อยอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเธอไม่มีจริต ไม่เสแสร้ง ไม่เหมือนผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านมา พระเจ้า! หัวใจของเขาไม่เคยเป็นสุขขนาดนี้มาก่อน จากตอนแรกที่โกรธจนจะตามไปฆ่าขุนพัน แต่ตอนนี้กลับอยากจะขอบคุณที่อีกฝ่ายนำพานางฟ้าคนสวยมาให้พบเจอ
เวลา 21:28 น. แม่ทัพจับแม่สาวมารยาทงามมานั่งบนตัก แล้วถ่ายรูปประเดิมกล้องหน้าของมือถือจนได้รูปที่ถูกใจ จากนั้นก็แอดไลน์ของสาวเจ้าไปและกดส่งรูปที่ถ่ายเมื่อครู่ให้ตัวเอง
หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ช่อเอื้องทำความรู้จักกับมือถือเครื่องใหม่อย่างเต็มที่จนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยมาถึงสามทุ่มกว่าๆ จึงสะกิดเรียกคนที่เหมือนจะหลงลืมไปว่า...เขายังคงมีตัวตนอยู่ในห้องนี้เบาๆ
“เราไปอาบน้ำเข้านอนกันเถอะ”
“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับ แล้ววางมือถือเครื่องใหม่ลงอย่างรู้สึกเขินๆ ก่อนจะรีบลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่เป่ารดต้นคอเมื่อครู่ ทำให้เธออดคิดไปถึงเรื่องราวในวันแรกไม่ได้
หญิงสาวถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก แล้วตรงเข้าไปปรับระดับน้ำให้อุ่นพอดี จากนั้นก็เข้าไปยืนใต้ฝักบัวอันใหญ่ ปล่อยให้สายน้ำอุ่นๆ ชโลมทุกซอกทุกมุมของเรือนร่าง
สิบนาทีต่อมา...หลังจากที่สระผมเสร็จ แต่อยู่ๆ ก็ถูกร่างสูงที่เปลือยเปล่าเข้ามาโอบกอดแนบเนื้อจากด้านหลัง โดยที่มือหนาทั้งสองข้างกอบกุมที่หน้าอกของเธอและบีบคลึงเบาๆ
“อ๊ะ! ปล่อยค่ะคุณทัพ” เธอบอกพร้อมกับพยายามแกะมือของเขาออก แต่ก็ไม่เป็นผล แถมยังกอดกระชับแนบแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ให้ฉันอาบน้ำด้วยคนนะเอื้อง” แม่ทัพก้มลงกระซิบเสียงสั่นพร่า หลังจากที่เข้าไปอาบน้ำในห้องข้างๆ ได้เพียงครู่ ก็ทนเก็บกดความต้องการที่มีต่อสาวเจ้าต่อไปไม่ไหว จึงเดินเปลือยเปล่ากลับเข้ามาในห้องนอน ขณะที่เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วย หยดน้ำ
“ตะ...แต่เราตกลงกันว่า...”
“ว่าอะไร...”
“เราจะแค่เล่นละครเป็นคู่รักกันต่อหน้าคุณมาลีนเท่านั้น”
“พระเจ้า! เราจะเล่นละครไปทำไม ก็ในเมื่อความรู้สึกที่มีให้กันมันเป็นของจริง” แม่ทัพบอกพร้อมกับหมุนสาวเจ้าให้หันมาเผชิญหน้า แล้วก้มลงมอบจูบที่อ่อนโยนให้
“อะ...อื้อ...คุณทัพคะ อย่าค่ะ” ช่อเอื้องดันอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็ว
“ฉันบังคับตัวเองต่อไปอีกไม่ได้แล้วเอื้อง ฉันต้องการเธอ” แม่ทัพดึงสาวเจ้าเข้ามาจูบอีกครั้ง
“อะ...อืม...” ช่อเอื้องครางเบาๆ อย่างรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
แม่ทัพค่อยๆ ถอนจูบที่เนิ่นนานออก แล้วเอ่ยกระซิบบอกคนที่ตอนนี้มีอาการสั่นเทาไปทั้งเนื้อทั้งตัว “หวานจังเลยเอื้อง”
ช่อเอื้องหลบสายตาคมกล้าที่มองมาไปยังพื้นห้องน้ำ แต่ทว่า...เธอกลับเห็นบางอย่างเข้าอย่างจัง
“ฉันสัญญาว่ามันจะต้องดีกว่าครั้งก่อน” แม่ทัพกระซิบปลอบสาวเจ้าที่ จ้องมองความเป็นชายของตนอย่างไม่กะพริบตา
“นะ...หนูกลัวค่ะ” คนที่เห็นความอลังการงานยุโรปสร้างแล้วลมแทบจับ รีบผลักร่างสูงออกห่างทันทีทันใด
“พี่จะอ่อนโยนกับเอื้องครับ” แม่ทัพกล่อมพร้อมกับดึงร่างอรชรเข้ามากอดแนบกาย
“ไม่เอาค่ะ เอื้องกลัว...อะ...อื้อ...” ช่อเอื้องปฏิเสธยังไม่ทันขาดคำก็ถูกจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว
แม่ทัพงัดกลยุทธ์ของชายผู้มากประสบการณ์ มาหลอกล่อให้นางฟ้าคนสวยติดกับดัก จากนั้นก็เปิดเกมรักด้วยท่วงท่าใหม่ๆ พร้อมกับค่อยๆ สอนงานให้เธอได้เรียนรู้ความรักในรูปของผู้ใหญ่
เช้าวันต่อมา...
ช่อเอื้องฝันว่ากำลังถูกหนวดของปลาหมึกขนาดใหญ่ยักษ์ ขยำเนื้อตัวและรัดแน่นจนทำให้เธอแทบจะหายใจไม่ออก พอสะดุ้งตื่นก็พบว่า...หน้าอกของเธอกำลังถูกคนหื่นที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังขยำไปมาอย่างถือดี
“อื้อ...ปล่อยค่ะคุณทัพ” เธอแกะมือหนาออกอย่างรู้สึกโมโห
“ฉันขอกอดแบบนี้อีกสิบนาที” แม่ทัพรีบกระชับอ้อมแขนกอดสาวเจ้า เอาไว้แน่น
“ปล่อยหนูเดี๋ยวนี้นะ” ช่อเอื้องต่อว่าคนหื่นที่จับเธอทำปู้ยี่ปู้ยำไปหลายครั้ง ทำเอาร้าวระบมไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“เมื่อคืนฉันมีความสุขที่สุดเลย เธอมีความสุขหรือเปล่า?” แม่ทัพกระซิบถามเสียงอ่อนพร้อมกับกดจูบลงที่ไหล่บางเบาๆ อย่างหลงใหลและหวงแหนสาว ในอ้อมกอดที่ตนกล้าเรียกว่าเมียอย่างเต็มปากเต็มคำ แม้จะยังไม่ได้ผ่านพิธีการใดๆ ให้ถูกต้องก็ตาม
“เอ่อ...” คนที่ทั้งโกรธและอายอึกอักอย่างไปไม่ถูก เมื่อเจอคำถามที่โคตรจะจี้ความรู้สึกเข้า
“พี่รอฟังอยู่นะครับ” แม่ทัพกระซิบหยอกเย้าต่อ หลังเห็นสาวเจ้าเงียบไป
“หนูจะไปอาบน้ำค่ะ” ช่อเอื้องบอกพลางแกะมือหนาออกจากเอว
“โอเค! เดี๋ยวพี่ไปอาบด้วยครับ” แม่ทัพพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เตรียมจะปล่อยให้สาวเจ้าเป็นอิสระ แต่ทว่า...
“ไม่ได้ค่ะ หนูอาย!” ช่อเอื้องบอกอย่างไม่ยอม
“เอื้อง...เราเป็นผัวเมียกันแล้วนะ ไม่มีอะไรต้องอายโอเค้?”
“ไม่โอเคค่ะ”
“ทำไม?” แม่ทัพขอเหตุผล
“หนูยังไม่พร้อมจะ...” คนที่ถูกยัดเยียดให้ทำหน้าที่เมียพยายามจะหาข้ออ้าง
“พร้อมไม่พร้อมเราก็ทำมันแล้วเมื่อคืน” คนหื่นกระซิบบอกเสียงแหบพร่า เมื่อความปรารถนาเริ่มก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“คุณเป็นคนทำ” เธอเถียงกลับอย่างรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน
“แล้วเธอไม่ชอบหรือไง” แม่ทัพถามกลับอย่างขำๆ
“ไม่ค่ะ หนูไม่ชอบ” คนที่ทั้งจุก ทั้งเจ็บ (และเสียวซ่านปานจะขาดใจ) รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างอายๆ
“ปากไม่ตรงกับใจนะเรา ไปอาบน้ำดีกว่าฉันอยากจะเห็นทุกซอกทุกมุมของเมียชัดๆ” แม่ทัพหัวเราะเบาๆ พร้อมกับดึงผ้าห่มออก แล้วช้อนอุ้มสาวเจ้าขึ้น จากนั้นก็รีบพาไปยังห้องน้ำทันทีทันใด
“คุณทัพ!” ช่อเอื้องอุทานอย่างตกใจ รีบกอดซบหน้าลงกับอกกว้างอย่างรู้สึกเขิน
“ครับ” แม่ทัพขานรับก่อนจะวางเจ้าสาวลงนั่งที่ขอบอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ แล้วเปิดน้ำพร้อมกับเทสบู่เหลวกลิ่นหอมอ่อนๆ ลงไป