แปลกหน้าและคุ้นเคย
ไป๋หลันเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับเหล่าผู้จัดการดารา หลายคนเข้ามาแสดงความยินดีที่ม่านเวยอิงกำลังจะไปได้ดี ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่สามารถยินดีได้
“รีบๆ คว้าไว้ล่ะ ช่วงที่เป็นกระแสก็เป็นอย่างนี้”
ไป๋หลันย่อมฟังคำพูดแฝงเย้ยหยันของลู่ซื่อออก เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เหนืออื่นใดก็ต้องขอบคุณ เฉียนเยว่ซิน ในวันนั้นที่ให้โอกาสม่านเวยอิงได้แสดงฝีมือ”
ลู่ซื่อกำมือแน่นแม้จะพยายามเก็บสีหน้าแต่ในแววตายังกรุ่นความขุนเคือง หลังผลงานชิ้นนั้นของม่านเวยอิงถูกปล่อยออกมา โฆษณาหลายตัวของเฉียวเยว่ซินก็ถูกแย่งไปเกือบหมด เธอข่มความโกรธเค้นคำพูด
“มันย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เฉียนเยว่ซินนั่นมีเมตตาแต่นะ ... ก็ไม่เคยหวังว่าใครจะสำนึก วงการบันเทิง มีโอกาสย่อมต้องชิงดีชิงเด่น”
ไป๋หลันมองอีกฝ่ายสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย เธอไม่เข้าใจทำไมลู่ซื่อต้องคอยยุ่งวุ่นวายกับเธอไม่เลิก ตอนนี้เธอก็ค้านจะพูดจาดีกับอีกฝ่ายแล้ว
“ค่ะ เรื่องนี้ฉันกระจ่างใจอย่างชัดเจนค่ะ”
“อย่างไรก็ต้องระวังนะคะ ชื่อเสียงที่มาเร็วก็ไปเร็วเช่นกัน”
“ค่ะ”
ไป๋หลันรับคำเสร็จก็เบือนหน้าหนี แสดงอาการไม่อยากจะเสวนาต่อ ยิ่งทำให้ลู่ซื่อรู้สึกขัดใจ เธอกำลังจะพูดถากถางอีกสักคำสายตามองเห็นเลขาของรองประธานกรรมการกำลังเดินดิ่งมา จึงปรับสีหน้าเป็นยิ้มละมุนให้อีกฝ่าย ทว่าเลขากลับไม่สนใจเมินแล้วหันยิ้มพูดคุยกับไป๋หลัน
“คุณไป๋หลันคะ ท่านรองฯ เรียกค่ะ”
ไป๋หลันพยักหน้ารับคำสั่งพร้อมก้าวเท้าเดินกลับไปเลขา ทิ้งให้ลู่ซื่อยืนทำหน้าเหวอ ครุ่นคิด
หมายความว่าไป๋หลันรู้ว่าจะต้องถูกเรียกถึงได้ยืนรออยู่ตรงนี้ ลู่ซื่อทบทวนเหตุการณ์ก่อนที่จะออกมา เธอมั่นใจว่าสายจากหน่วยงานกลางจะต้องเกี่ยวข้องกับม่านเวยอิงอย่างแน่นอน เป็นเรื่องอะไร
สำนักใหญ่งานตำรวจ
ฉีเจ๋อและหรงจือหยางในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ภารกิจครั้งนี้ค่อนข้างเสี่ยงภัย คนร้ายมีอาวุธอาจจะทำให้เกิดการสูญเสีย หลังจากสรุปและทบทวนแผนการกันเรียบร้อย หรงจือหยางก็สั่งให้ทุกคนเตรียมออกปฏิบัติ
ฉีเจ๋อเดินมาคุยกับหรงจือหยางที่กำลังสวมอุปกรณ์ป้องกัน
“แผลที่ขาหายดีแล้วหรือ”
หรงจือหยางรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงจึงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หายดีแล้ว ไม่ต้องห่วง”
“อืม ระวังตัวด้วย”
หรงจือหยางยิ้มขอบใจ ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจสหายทั้งที่ตนเองจะออกไปเสี่ยงภัย
ภารกิจในครั้งนี้ ย่อมไม่แตกต่างจากทุกครั้ง ทว่าสิ่งที่หรงจือหยางคาดไม่ถึงคือ มีแผนสังหารที่กำลังรอเขาไปติดกับ
ในขณะเดียวกัน ม่านเวยอิงกำลังนอนคว่ำให้ลู่ปิงนวดกาย
“เป็นอย่างไรคะคุณม่าน ฝีมือนวดของฉันดีไหมคะ”
“อืม ใช้ได้ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายขึ้นมาก”
“วันนี้คุณม่านเท่ห์สุดๆ ไปเลย ตอนที่ฉันมองคุณม่านวิ่งเข้าเส้นชัย แสงเจิดจ้าแสบตามากเลยค่ะ เหมือนดวงอาทิย์ทั้งดวงกำลังส่องแสงมายังคุณม่าน มันให้ความรู้สึกแบบสุดๆ ไปเลย”
น้ำเสียงของลู่ปิงไม่ประจบเหมือนเคย เป็นความรู้สึกจากใจจริง
“คุณม่านพรุ่งนี้ลดรายการแข่งขันลงดีไหมคะ ฉันว่ามันจะมากไป พวกนี้ก็เหลือเกินจัดตารางมาเต็มที่ไม่มีเวลาพักเลย”
เฉียวเจียวพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไม่เป็นไร ตามนั้นเลยฉันมีพลังมากพอ”
น้ำเสียงของม่านเวยอิงยังคงสดใสไร้ความเหนื่อยล้า เธอบอกให้ลู่ปิงหยุดนวดแล้วยืนมือไปรับนมจากอี้หนิง
“แต่อย่างไรพวกเราก็ต้องนอนพักแล้ว”
ทว่าขณะม่านเวยอิงกำลังกลับตาลงด้วยความอิ่มเอิบใจ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้น
ความรู้สึกนี้คืออะไร
ลางสังหรณ์บอกว่าหรงจือหยางกำลังมีภัย แสดงว่าเธอก็ต้องได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้การ ชีวิตเธอกำลังจะไปได้ดีเธอกำลังเจิดจรัสจะพลาดตอนนี้ไม่ได้ ม่านเวยอิงลุกขึ้นปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปตามความรู้สึก
ตึกร้างนอกเมือง
ม่านเวยอิงยืนมองอยู่ด้านนอก เธอเพ่งมองเข้าไปข้างในตึกร้างก็สังเกตและได้ยินเสียงของหรงจือหยางอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะล่อพวกมัน นายพาคนของเราออกไปให้หมด”
“ไม่ได้นะครับ พวกผมจะทิ้งคุณไปได้อย่างไร”
หรงจือหยางจ้องมอง ตอบเสียงเด็ดขาด
“คนที่พวกมันต้องการกำจัดคือฉัน วิธีนี้คือดีที่สุด อย่าขัดคำสั่ง”
ม่านเวยอิงสบถในลำคอ
“เหอะ!! อวดดี”
ปัง ปัง เสียงปืนดังสนั่นม่านเวยอิงสนใจปืนเป็นอย่างมาก คอยสังเกตการใช้งานและไม่ได้รีบไปช่วยหรงจือหยาง เธอตั้งใจอยากให้ชายหนุ่มลำบากให้มากเสียหน่อย ทว่าก็คอยระวังไม่ให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บมากเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นเธอเองก็ต้องเจ็บ
คนร้ายเริ่มรู้ตำแหน่งของหรงจือหยาง พวกมันทั้งหมดต่างพุ่งเป้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าหรงจือหยางกลับรู้สึกว่าตอนนี้ศัตรูไม่ตึงมือเท่าไรนักเขาเข้ามาหลบข้างตู้ใบหนึ่ง ปรับลมหายใจที่หนักหน่วงให้ผ่อนคลายลง จากนั้นก็หยิบวิทยุสื่อสารออกมา
“คนของเราออกไปหมดหรือยัง”
“หมดแล้วครับ ตอนนี้พวกเราตึงกำลังล้อมไว้หมดแล้วครับ”
“อืม” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ
ม่านเวยอิงได้ยินเสียงพูดคุยก็บ่นพึมพำ
เอาตัวเองยังไม่รอด ยังคิดห่วงคนอื่น
เสียงพูดคุยหนึ่งดังขึ้น
“กำจัดมันได้หรือยัง”
“ยังขอรับ แต่ท่านไม่ห่วง มันไม่มีทางมีชีวิตออกไปได้”
หญิงสาวเอียงหน้ายิ้มมุมปาก ได้มาออกกำลังแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
อ๊ากกกก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นคนร้ายกรูวิ่งไปทางนั้น หรงจือหยางมองไปยังบริเวณเสียง คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้า
หญิงสาวตวัดขาเรียวยาวเสยหน้าคนร้ายดังปั๊ก
“ใช้ปืนจะสนุกอะไร”
คำพูดดูแคลนยิ่งกระตุ้นแรงโกรธแค้นของอีกฝ่าย พวกมันพากันกระโจนเข้าหาม่านเวยอิงอย่างบ้าคลั่ง
ผลัวะ เสียงคนร้ายกระแทกลงกับต้นเสาปูน คนร้ายที่เข้ามาใหม่เห็นเช่นนั้นก็เล็งปืนใส่ม่านเวยอิงทันที หญิงสาวก็หลบได้อย่างว่องไว คนร้ายอีกคนเห็นเช่นนั้นก็ยกปืนกลหนักกระหน่ำยิง
“เอาสิ แกจะเก่งสักเท่าไร”
ม่านเวยอิงเห็นเช่นนั้นก็หยิบปืนยิงสวนไปหนึ่งนัดเข้ากลางศีรษะ
“เฮ้อ!! ไม่มีปืนในมือก็พวกไก่อ่อน”
หรงจือหยางก็ได้เสียงปืนและเสียงต่อสู้เป็นครั้งๆ เขาเดินสำรวจพื้นที่อย่างระมัดระวัง จนกระทั้งมองเห็นสตรีใส่ชุดดำปกปิดใบหน้า เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วฝีมือเยี่ยมยอดจัดการคนร้ายล้มลงเรื่อยๆ คำถามมากมายเกิดขึ้น
คนผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดจึงได้มาช่วย
ม่านเวยอิงกำลังสนุกกับการต่อสู้ หากใครไม่อันตรายจนถึงชีวิตเธอก็จะไม่รีบจัดการ การได้ยืนแขนขาเช่นนี้สนุกกว่าแข่งกีฬาหลายขั้น
ในขณะที่คนร้ายใบหน้าเต็มไปด้วยเหี้ยมเกรียม กระนั้นม่านเวยอิงกลับคลี่ยิ้มร่ายรำพลิ้วไหวปราดเปรียวไปเสียงบรรเลงของปืน ทว่าเสียงคำสั่งหนึ่งดังขึ้นทำให้ใบหน้างามตึงขึ้น
“จัดการมันได้แล้ว”
“แต่ท่าน คนของเรายังอยู่ข้างใน”
“จัดการ!!”
ม่านเวยอิงไม่รู้ว่าอันตรายนั้นคืออะไร กระนั้นเธอก็เร่งพลังไปหาหรงจือหยาง ชายหนุ่มเบิกตากว้างมองสตรีในชุดดำที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมแรงสั่นสะเทือน ม่านเวยอิงใช้พลังแทบทั้งหมดพาหรงจือหยางออกมาพร้อมต้านแรงกระแทกจากระเบิด
ตุ๊บ
ร่างของทั้งสองกระแทกลงพื้นอย่างแรง หรงจือหยางรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางหลังจากนั้นความเจ็บปวดวิ่งไปทั่วร่าง ทว่าเขายังไม่หมดสติ เขารีบลุกขึ้นดูคนที่ช่วยเหลือพาเขาออกมา
อึก!! ม่านเวยอิงกระอักเลือดออกมาก้อนโต พลังระเบิดนั่นไม่น้อยทำให้เธอได้รับบาดเจ็บภายใน หรงจือหยางประครองอีกฝ่ายวางลงอย่างเบามือ
“คุณรอผมอยู่ที่นี่ ผมจะไปเรียกคนมาช่วย”
หรงจือหยางพยายามลุกขึ้น คนของเขายังคงอยู่บริเวณนี้และอาจจะต้องมีรถพยาบาลรออยู่ ชายหนุ่มกัดฟันทนความเจ็บปวดก้าวเท้าออก
ม่านเวยอิงมองตามหลังหรงจือหยางที่พยายามเดินอย่างยากลำบาก หญิงสาวยิ้มอย่างเหยียดหยัน เธอหลับตาปรับลมหายใจ
เมื่อหรงจือหยางพาคนกลับมาช่วย
กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
มันว่างเปล่า
เหลือเพียงกองเลือดที่เป็นสิ่งยืนยันว่า
คนผู้นั้นมีอยู่จริง
หรงจือหยางบอกสั่งให้คนเก็บเลือดนั่นไว้
เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่า สตรีคนนั้นเป็นใคร
ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคย