“หม่อมฉันเป็นคู่สัญญาไม่ใช่นักโทษนะเพคะ” ดวงตาคู่สวยส่งค้อนวงใหญ่กับคำพูดไม่น่าฟัง
“ไม่กลัวแล้วรึ” ชายหนุ่มเห็นท่าทางผ่อนคลายของคนตรงหน้าจึงอดเอ่ยเย้าไม่ได้
“….” รู้ตัวอีกทีก็เผลอต่อปากต่อคำกับเขาไปอย่างไร้มารยาทไปเสียแล้ว
สายตาคมทอดมองดวงหน้างดงามด้วยความรู้สึกบางอย่างก่อนจะถอดสร้อยเส้นหนึ่งที่เขาสวมไว้ออก สิ่งนั้นมีแหวนเงินวงน้อยซึ่งประดับอัญมณีสีแดงเลือด เขาสวมไปยังนิ้วกลางของคนตัวเล็ก
“ของหมั้น” น้ำเสียงทึ่มทื่อทำเอาคนฟังอยากยู่หน้าใส่ชะมัด เพียงแต่ความเคร่งขรึมนั่นยังปรามนางเอาไว้
“ไม่จำเป็นหรอกเพคะ” แหวนที่อีกฝ่ายพกไว้กับตัวเหมือนเป็นของสำคัญนางจะฉกฉวยมาได้อย่างไร
“นัดเร่งด่วนเช่นนี้มิใช่ว่าเจ้ารู้บางสิ่งที่ยังไม่มีประกาศออกไปจึงชิงเคลื่อนไหวก่อนหรอกหรือ สิ่งที่ข้ามอบให้เป็นมากกว่าสิ่งของ แต่มันคือสัญลักษณ์ว่าสัญญาระหว่างเราซึ่งจะดำเนินต่อจากนี้เป็นเรื่องจริง”
“หูตาของพระองค์ดูท่าจะมีทุกที่นะเพคะ” เรื่องรัดกุมเช่นนี้ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเขา คงต้องยอมรับว่าดีแค่ไหนที่อีกฝ่ายเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรได้ การต่อกรกับคนฉลาดและรอบคอบมากขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลย
“ไม่เท่าเจ้าหรอก ต่อให้ข้าจะรู้หลายสิ่งมากกว่านี้ก็ไม่แปลกเพราะเกมกระดานนี้ข้าเป็นผู้เล่น แต่หมากเช่นเจ้าต่างหากที่เคลื่อนไหวเองได้อย่างไร ทำให้ข้าสงสัยยิ่งนักพระชายา” เขาจงใจเน้นหนักที่คำหลังคล้ายอยากบอกไม่ให้นางกลับคำได้อีก
“….” เย่เซียวปิดปากสนิทกลัวว่าหากพูดมากไปคงโดนจับผิดได้ในสักวัน
“เอาเถอะ กลับได้แล้วข้าจะไปส่ง” คนตัวโตยอมแพ้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมบอกเขาง่ายๆ
“ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันกลับเองได้” ไม่รู้ทางไหนอันตรายมากกว่ากันระหว่างกลับเองหรือไม่บุรุษสูงศักด์ผู้นี้ไปส่ง
“จะให้ข้าไปส่งเจ้าที่จวนหรือจะกลับตำหนักไปกับข้า ตัวเลือกเจ้ามีเพียงเท่านี้” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นกลืนคำค้านลงคอ มันไม่เรียกว่าทางเลือกด้วยซ้ำ
‘ไอ้คนเผด็จการ!’
จวนแม่ทัพ
บรรยากาศในจวนตอนนี้เงียบสนิทใต้เท้าไป๋ในชุดลำลองจ้องมายังบุตรสาวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ตอนเขากลับมาสาวใช้หน้าห้องแจ้งว่าคุณหนูไม่ค่อยสบายอยากพักผ่อนขอไม่ให้ใครไปรบกวน แล้วไฉนคนป่วยที่ว่าจึงกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับแขกคุ้นหน้าซึ่งไม่ควรมาอยู่ตรงนี้เล่า!
รัชทายาทหนุ่มนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างไป๋เฟยฉีและบุตรสาวตัวการไป๋เย่เซียว พวกเขาทักทายกันที่หน้าจวนก่อนจะเข้ามายังด้านใน แม้จะเป็นเจ้าของบ้านแต่ใต้เท้าไป๋ก็ไม่อาจทำตัวสบายๆ ได้ กลับกันคนที่ดูจะไม่สนสถานการณ์แสนอึดอัดนี้น่าจะเป็นชายตรงหน้ามากกว่า
ตระกูลไป๋แม้ยืนข้างองค์ฮ่องเต้ถึงอย่างนั้นก็มิได้ขวาจัดเข้าข้างรัชทายาทห่าวซวนไปเสียทุกสิ่ง การเข้าพบหนึ่งในองค์ชายทั้งสองอย่างเป็นส่วนตัวครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก แต่จะเรียกให้ถูกคือองค์ชายรัชทายาททรงเป็นฝ่ายเข้ามาพบแม่ทัพผู้นี้เองต่างหาก
“บังเอิญพบกันหรือพ่ะย่ะค่ะ” ต่อให้รู้คำตอบอยู่เต็มอกว่าไม่มีทางที่ทั้งคู่จะไปบังเอิญพบกันได้ อีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทมิใช่ว่าจะสามารถพบเจอได้ตามทางเสียหน่อย ท่านแม่ทัพพยายามชวนคุยหลังจากที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดถึงมาเยี่ยมเยือนในยามวิกาล แม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายชวนเข้ามาดื่มชาก่อนกลับ เขาก็มิได้คาดหวังว่าองค์รัชทายาทจะตอบรับคำเชิญนั่นจริงๆ
“เปล่า นางนัดข้ามา” เขาตอบก่อนเอ่ยชมต่อว่าชาดี สมแล้วที่ใต้เท้าไป๋เป็นคนมีรสนิยม ทั้งหมดนั้นไม่ได้ผ่านเข้าหูของไป๋เฟยฉีแม้เพียงคำเดียว ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขามองไปยังต้นเรื่อง
“เย่เซียวเจ้าเข้าวังทำไมไม่เอารถม้าไปเล่า เสื้อผ้าก็ไม่ได้เรียบร้อยทำไมไม่บอกพ่อก่อนจะได้ให้แม่เจ้าช่วยตระเตรียม” ลูกสาวตัวดียิ้มแห้งก่อนจะเอ่ยตอบแต่ถูกเสียงหนึ่งแทรกตอบเสียก่อน
“แค่หอคณิกาไม่ต้องพิธีรีตองอะไรขนาดนั้น”
“!!!!” ตั้งแต่มีอายุมาจนปูนนี้ฆ่าฟันศัตรูท่ามกลางสนามรบมาก็มากไม่มีสักครั้งที่จะทำให้ท่านแม่ทัพรู้สึกใกล้ความตายเท่านี้มาก่อน คำว่า ‘ลมจับ’ เป็นเช่นไรวันนี้เขาเข้าใจอย่างท่องแท้
“...” คนงามยิ้มให้ด้วยสีหน้าอยากลุกออกไปจากตรงนี้ติดเพียงกลัวว่าชายที่มีน้ำใจมาส่งจะพูดเรื่องไม่เข้าท่าออกมาอีก แค่หลอกคนในจวนว่าไม่สบายแล้วหนีออกไปข้างนอกก็ว่าย่ำแย่แล้ว แต่นี่….
“องค์รัชทายาทตอนนี้ก็ดึกแล้วนะเพคะ หม่อมฉันว่าเสด็จกลับก่อนดีหรือไม่” ไป๋เย่เซียวพยายามเอ่ยปากไล่ทางอ้อม
“ย่อมได้ งั้นข้าแจ้งธุระของข้าเลยแล้วกัน” ชายหนุ่มหันไปทางเจ้าของจวนก่อนเอ่ย
“ข้ารู้ว่าท่านนำสิ่งใดออกมาจากตำหนักใหญ่เมื่อวาน แต่มันจะไม่สำคัญอีกต่อไปตำแหน่งพระชายาที่จะเคียงข้างข้าคือของบุตรสาวของท่าน ไม่ต้องทำสิ่งใดมากไปกว่านี้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้า มาเพื่อแจ้งท่านเท่านี้” วาจารวบรัดเสียยิ่งกว่ากำปั้นทุบดินทำให้คนฟังที่ไม่ได้รู้เรื่องมาก่อนสับสนไปหมด
“เรื่องนั้นเป็นประสงค์ของฮ่องเต้ กระหม่อมคิดว่า...” ข้ารับใช้เช่นแม่ทัพอย่างเขาจะกล้าขัดรับสั่งจากนายเหนือหัวได้อย่างไรกัน
“ไม่ว่าทางไหนท่านก็ลำบากใจทั้งคู่อยู่ดี ข้าไม่ได้บังคับแต่นางเป็นคนเลือกเองอย่างน้อยก็ให้บุตรสาวของท่านได้เป็นคนตัดสินใจเถอะ เสด็จพ่อคงดีใจแน่ที่เราจะเป็นทองแผ่นเดียวกันท่านอย่าได้กังวลไปเลย”
“พ่ะย่ะค่ะ” วันนี้วิญญาณเข้าออกร่างของไป๋เฟยฉีหลายต่อหลายรอบจนปวดหนึบไปทั้งศีรษะ
“หม่อมฉันจะไปส่งนะเพคะ” หญิงสาวเดินนำทางตัวแก้ปัญหาที่ตอนนี้กลายเป็นตัวปัญหาให้ออกไปก่อนที่สถานการณ์มันจะย่ำแย่ไปกว่านี้
“อย่างน้อยก็ควรจะดูสถานการณ์หน่อยสิเพคะ ไม่เห็นต้องแจ้งท่านพ่อของหม่อมฉันทุกเรื่องเลย” เย่เซียวกล่าวในขณะที่พวกเขาเดินออกมายังหน้าจวน
“เพราะเจ้าทำอะไรลับหลังบิดาเจ้าเขาถึงตกใจเช่นนั้น” ที่แท้น้ำใจอันมากล้นของรัชทายาทที่มีให้พสกนิกรตัวน้อยๆ คนนี้เป็นเพียงแผนการหมายเปิดโปงเจตนาของเย่เซียวเท่านั้น
“ทรงหลักแหลมมากเพคะ” ที่จริงนางอยากบอกว่าเขามันช่างร้ายกาจมากกว่าแต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกไปได้
“มีอะไรจะสารภาพกับข้าก็รีบพูดมาตอนที่ข้ายังอยากจะฟังไป๋เย่เซียว” ดวงตาเรียวเหลือบมองโฉมสะคราญเล็กน้อย
“หม่อมฉันไม่มีสิ่งใดที่ต้องกราบทูลอีกแล้วเพคะ ราตรีนี้ขอให้พระองค์ฝันดีนะเพคะ” คนตัวเล็กกัดฟันพูดก่อนโค้งศีรษะทำความเคารพไปยังรัชทายาทหนุ่ม เขาทำเพียงแค่มองมาและขึ้นรถม้าไปโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ด้านในรถม้าซึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่พระราชวัง เล่อคุนมองไปยังนายเหนือหัวที่ตนรับใช้มาหลายปี อีกฝ่ายหาใช่คนช่างเจรจาแต่วันนี้พระองค์กลับไถ่ถามคำถามมากมายกับคุณหนูจากตระกูลไป๋นางนั้น แหวนที่มอบให้นางก็เป็นสิ่งสำคัญซึ่งได้รับมาจากฮองเฮา นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นคนถือตัวมากเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปสัมผัสมือของอีกฝ่ายอยู่นานสองนาน จริงอยู่ว่าคนเราอาจใช้ใบหน้าหลอกลวงกันได้ แต่ชีพจรของร่างกายนั้นซื่อตรงเสมอ แต่เหตุใดไม่จับที่ข้อมือเล่า
เรื่องเหตุใดนางจึงรู้ความลับของพวกเขาหากรัชทายาทมีคำสั่งให้ปิดปากคนเขาก็ย่อมทำให้โดยไม่อิดออด วันนี้เป็นครั้งแรกที่องครักษ์หนุ่มรู้สึกว่าผู้เป็นนายคล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน หรือว่าแท้จริงแล้วยังมีบางอย่างเกี่ยวกับสตรีนางนั้นที่เขายังไม่รู้กันแน่…