“ทางนี้เจ้าค่ะคุณหนู” หญิงสาวแสนสวยนางหนึ่งโค้งศีรษะให้นางมิใช้คณิกานามเจียลี่ที่เย่เซียวมาเพื่อพบเมื่อวาน แต่ดูจากที่นางออกมารอยังจุดนัดพบนี้คงเป็นคนของคณิกานางนั้น
“…” พวกนางถูกพาเดินไปยังตรอกด้านหลังและขึ้นบันไดไปยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่าง เสียงดนตรีและผู้คนก็บางเบาลงเรื่อยๆ ทางเดินแคบมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงส่องนำทางทำให้คุณหนูตระกูลไป๋ลอบกลืนน้ำลายหลายครั้งด้วยความหวั่นใจ ด้านหน้าห้องปลายทางมีชายหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตายืนพิงประตูรออยู่ องครักษ์ของรัชทายาท ‘เล่อคุน’ พวกเขาประสานสายตากันอีกฝ่ายยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร สมแล้วจริงๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นเสือผู้หญิงรอยยิ้มเมื่อครู่หากเป็นสตรีด้อยประสบการณ์และใสซื่อมีหวังโดนมนต์สะกดของเขาล่อลวงแน่
“เชิญเจ้าค่ะ” คณิกาสาวเดินหลบไปอีกทางหลังจากทำหน้าที่ของตนสำเร็จ
ทันทีที่ข้ามธรณีประตูก็มีชายผู้หนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว สายตาคู่คมมองมาทางผู้มาเยือนครั้งหนึ่งก่อนจะหันกลับไปยังจอกสุราซึ่งรินค้างเอาไว้ นิ้วเรียวยาวคว้าจอกใบเล็กก่อนยกขึ้นมาจรดริมฝีปากหยักได้รูป ท่าทางสูงส่งทั้งที่ยังไม่ได้ขยับกายมากแต่ทุกการเคลื่อนไหวอัดแน่นไปด้วยความน่าเกรงขามจนคนงามแทบลืมหายใจ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเดินเข้าไปนั่งด้านตรงข้าม ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายเมื่อได้มองระยะประชิดเพียงเท่านี้เรียกได้ว่าไร้ที่ติราวถูกปั้นแต่งมาเป็นอย่างดี
“ถวายบังคมเพคะ” ร่างระหงยอบกายลงตามมารยาท
“คุณหนู…” อิงอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นแต่ก็มิวายก้มจนศีรษะติดพื้นให้กับชายที่เจ้านายตัวน้อยของตนเองมาพบก่อนเสียงประตูเลื่อนจะปิดลงด้วยองครักษ์ผู้นั้น
‘อยากได้เสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ!’ แม้จะทำใจแข็งเข้าสู้แต่ลึกๆ แล้วเย่เซียวก็ยังกลัวอยู่หลายส่วน ชาติที่ผ่านมาเรื่องราวของเจียลี่ถูกเปิดเผยโดยองค์ชายรอง เหล่านกส่งสาส์นไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับรายงานลับที่ส่งให้รัชทายาทหรือไม่ถูกสังหารสิ้นจนถนนสายนี้เต็มไปด้วยเลือด การสังหารหญิงสาวผู้ไม่ได้ทำคุณงามความดีอะไรให้แผ่นดินซ้ำพวกนางยังรายงานเรื่องของเหล่าคนที่เข้ามาเสพสุขให้รัชทายาท อาจไม่ใช่ความผิดในเรื่องของกฎบ้านเมืองแต่มันโหดร้ายเกินไปสำหรับการกระทำที่มนุษย์มีให้กัน
“ข้าคงไม่ต้องบอกใช่หรือไม่ว่าหากเจ้าตอบคำถามบิดพลิ้วไปคงยอมปล่อยให้กลับออกจากที่นี่ไม่ได้” เจ้าของน้ำเสียงเย็นชาแจ้งก่อนที่จะเข้าคำถามแรก
“รู้เรื่องของเล่อคุนได้เช่นไร”
“หากหม่อมฉันบอกพระองค์ทุกสิ่งคงไม่มีเรื่องใดสามารถเป็นหลักประกันชีวิตได้หรอกเพคะ” นางตอบทั้งที่ความจริงนางไม่รู้ว่าจะบอกเขาได้เช่นไรว่ารู้มาจากชาติที่แล้ว
“เจ้าเล่ห์จริงนะ แต่รู้หรือไม่ว่าข้าไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุและผลที่จะไม่ฆ่าเจ้าเพียงเพราะเจ้ามีเรื่องที่ข้าไม่รู้อยู่มากมาย การปล่อยเจ้าไว้จนถึงตอนนี้เพราะเจ้าเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์เท่านั้น” ดวงตาคมเข้มหรี่มองกดดันทำเอากายบางขนลุกไปหมด
“หากเป็นเช่นนั้นองค์ชายคงรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่เพคะว่าหม่อมฉันจะไม่มีทางทรยศแผ่นดิน” ในเมื่อเขาใช้ประเด็นนี้มาบีบคั้น นางก็ขอใช้มันต่อปากต่อคำอีกสักหน่อย
“ขอให้เป็นเช่นนั้น” เขาละลายตาไปเทสุราลงจอกชั่วขณะทำให้เย่เซียวได้พอมีเวลาให้หายใจหายคอบ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้นั่งสนทนากันใกล้ขนาดนี้
“เจ้าคงไม่ได้เรียกข้ามาพบในสถานที่แห่งนี้เพียงเพื่อจะนั่งจ้องหน้าใช่หรือไม่” ท่าทีนิ่งเฉยช่างดูเย็นชาเสียจนข่มขวัญคนอื่นเสียจริง
“งั้นหม่อมฉันเข้าเรื่องเลยนะเพคะ” หญิงสาวเหยียดตัวตรงเมื่อรู้ว่าคนที่ตนกำลังลอบมองรู้ตัว
“ข้าก็กำลังรอเจ้าพูดอยู่” แม้ในชาติก่อนเย่เซียวจะเคยพบเขามาบ้าง แต่ก็ไม่มีทางชินกับบรรยากาศหนักหน่วงที่โอบล้อมได้เลย ยิ่งเมื่อประสานสายตากับดวงเนตรคู่คมซึ่งจ้องมาราวกับมองเห็นทะลุถึงวิญญาณด้วยแล้วยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าห้องนี้มันเล็กลงประหนึ่งมีเพียงแค่พวกเขาทั้งคู่
“แต่งงานกับหม่อมฉันเถิดเพคะ”
สิ้นคำทั้งห้องตกอยู่ใต้ความเงียบทันที ขนาดชายหนุ่มสูงศักดิ์ยังแข็งค้างกับคำไม่คาดคิดนั้น
“….”
“…” รัชทายาทหนุ่มเงียบไปจนเย่เซียวคิดว่านางพูดตรงเกินไปโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้จะทำให้เขาเข้าใจได้เช่นไร ตอนนี้นางคงดูเป็นผู้หญิงแพศยาที่จ้องแต่จะจับผู้ชายหวังอำนาจและเงินทองแน่ๆ ไม่เพียงเท่านั้นอิงอิงและเล่อคุนซึ่งนั่งยังด้านหลังของนายตัวเองต่างอึ้งไปตามๆ กัน
“ที่หม่อมฉันจะบอกคือ นี่เป็นสัญญาระหว่างเราทั้งสองหากฝ่าบาทตกลง บัลลังก์ของพระองค์จะมั่นคงมากยิ่งขึ้นตระกูลไป๋ยินดีจะเคียงข้างในเส้นทางที่พระองค์เลือก หม่อมฉันเพียงไม่ต้องการแต่งกับชายอื่น คือหม่อมฉัน-”
“ตกลง”
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ เอ๋!?” ได้ยินเสียงทุ้มเข้มเอ่ยตอบหญิงสาวก็ตีความไปแล้วว่าต้องโดนปฏิเสธ แต่พอทบทวนคำที่ได้ยินอีกทีทำเอาคนงามตกใจจนเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมเข้ม
“ข้าบอกว่าตกลง” ชายหนุ่มพูดย้ำอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่ต่างไปจากเดิม ยิ่งทำให้คุณหนูแซ่ไป๋แม้จะยินดีแต่ก็คิดไม่ตกว่าทำไมมันราบรื่นถึงเพียงนี้ ผ่านมาทั้งคืนนางเตรียมคำพูดและแผนการต่างๆ นานาตั้งมากมายเพื่อหว่านล้อมเขา นี่พูดไปเพียงไม่กี่ประโยคก็จับเสือได้แล้ว…อะไรจะง่ายดายปานนั้น
“ไม่พอใจรึ” อีกฝ่ายถามเมื่อเห็นว่าคู่สัญญาของเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“หม่อมฉันเพียงแปลกใจที่พระองค์ทรงรับข้อเสนอโดยไม่ถามไถ่และมิได้เรียกร้องสิ่งใดเพิ่ม” กระต่ายน้อยที่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเอ่ยถามพยัคฆ์หนุ่ม
“เราต่างได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอยู่แล้ว เจ้าได้ข้าเป็นไม้กันหมาส่วนข้าก็ได้เจ้ามา ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่ตกลง” คำว่า ‘ไม้กันหมา’ ที่องค์รัชทายาทเอ่ยถึงแสดงว่าเขาคงรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นอันใกล้นี้อยู่แล้ว
“เข้าใจแล้วเพคะ” อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนปล่อยให้นางได้แต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว
“เรื่องที่เหลือข้าจะจัดการเอง…ดื่มสิ ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษหรอก ใครมันจะไปสังหารว่าที่พระชายาได้ หยุดทำตัวเกร็งเสียที” แก้วเล็กถูกส่งมาให้ตรงหน้า นางรับมาดื่มอย่างมีมารยาทในใจคิดเพียง
‘ดุขนาดนี้จะไม่ให้ข้าเกร็งได้เช่นไร’
แต่พอสุราร้อนลงคอไปก็ช่วยให้บรรยากาศมันดีขึ้นบ้าง อีกฝ่ายเป็นชายรูปงามแม้ไม่ได้มีศักดิ์เป็นถึงรัชทายาทก็ไม่มีวันเดือดร้อนเรื่องสตรีหรอก ผู้หญิงต่างหากที่จะเสียหายหากตบแต่งไปแล้วครั้งหนึ่ง การจะมีหญิงสาวเช่นนางเพิ่มเข้าไปอีกคนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“มือ” ฝ่ามือใหญ่แบออก เขาออกคำสั่งให้ส่งมือให้ คนงามทำตามอย่างไม่คิดอะไรมาก มือข้างน้อยของเย่เซียวถูกจับไว้หลวมๆ ฝ่ามือของเขาอุ่นร้อนมากกว่าที่คิดต่อให้เย็นชาหรือหยาบกระด้างไปบ้างอย่างไรเสียก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจ
“มีอะไรหรือเพคะ” แม้จะดื่มสุราไปแต่ก็ไม่ได้บั่นทอนสติสัมปชัญญะของหญิงสาวลงถึงขนาดที่สามารถมองข้ามความผิดปกติของว่าที่พระสวามี
“ข้าแค่อยากมั่นใจว่าเจ้าไม่ได้โกหก ผู้คุมมักจะสอบสวนนักโทษของเขาด้วยการจับมือไว้เช่นนี้ คนส่วนมากแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแต่ร่างกายของพวกเขามักมีการตอบสนองทางกายภาพด้วย” สิ้นคำนางอยากจะดึงมือออกทันทีถ้าหากไม่ติดว่าอีกฝ่ายจับเอาไว้แน่นขึ้น