ตอนที่ 5 ฮ่องเต้แห่งแคว้นหวง

1441 คำ
แคว้นหวง ตั้งขนาบด้วยเขาน้อยใหญ่บนชัยภูมิที่เป็นต่อทางการรบ พื้นดินอุดมสมบูรณ์ด้วยแม่น้ำสายใหญ่คอยหล่อเลี้ยงราษฎร แม้มิได้ติดทางออกทะเลอันเป็นหัวใจของการค้าแต่ยังคงเป็นแคว้นขนาดใหญ่ที่ตั้งตัวได้ด้วยทรัพย์สินเกินประเมินค่า พวกเขาร่ำรวยมั่นคั่งด้วยการขายอัญมณีและใบชาไม่ว่ามองไปทางใดล้วนเห็นภาพของความมั่งมีไม่ขัดสน ‘เหมืองหลวง’ ซึ่งสร้างเงินถุงเงินถังให้แคว้นอยู่ในการครอบครองของฮ่องเต้ นับเป็นโชคของพวกเขาที่ไม่ว่าจะขุดลงส่วนใดของแผ่นดินก็มีแต่จะงอกเงย ถึงอย่างนั้นอำนาจและเงินตราตามมาด้วยความโลภเสมอ บัลลังก์มังกรที่ส่งต่อกันมาจึงอาบย้อมด้วยเลือดของเหล่าบรรพชนแซ่หวงมานับไม่ถ้วน หวงลู่จื้อ ครองราชมานานกว่า 30 ปี ไร้กบฏต่อกร มิใช่เพราะเปี่ยมเมตตา หากแต่แม้เสียงเห่าใดเข้าหูเขาก็สามารถสั่งตัดหัวสุนัขตัวนั้นได้ง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ การเลี้ยงคนด้วยความกดขี่ช่วยสอนให้คนเหล่านั้นรู้ซึ้งว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควร ‘เจ้าจะบงการได้แค่ศพของข้าเท่านั้น’ เขาประกาศเมื่อได้นั่งยังบัลลังก์ในฐานะฮ่องเต้คนใหม่ ทำให้เสียงจอแจของเหล่าขุนนางเงียบสนิทไปในทันที ไม่ว่ารัชสมัยใดผู้นั่งบนเก้าอี้ร้อนสีทองอร่ามล้วนถูกชักใยยึดโยงโดยขุมอำนาจของบรรดาขุนนางเจ้าเล่ห์ทั้งสิ้น ซึ่งเขาไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ชีวิตในวังหลวงนั้นมิได้สุขสบาย ด้วยการแก่งแย่งอำนาจกันในราชสำนักหวงลู่จื้อในวัยเยาว์ถูกบงการไม่ต่างกับสิ่งของดังเช่นองค์ชายพระองค์ก่อนๆ ขุนนางน้อยใหญ่ไว้ชีวิตเขาเพียงเพราะยังพอมีประโยชน์จึงไม่จัดการไปตั้งแต่เล็กและนั่นเป็นทางเลือกที่กลายเป็นดาบซึ่งหันกลับมาบั่นคอพวกมันเอง ตั้งแต่เกิดมาทุกสิ่งของเขาถูกเตรียมไว้เสร็จสรรพตั้งแต่ชื่อ การศึกษา รวมถึงภรรยา พระชายาแซ่ฟางถูกหมั้นหมายทางการเมืองกันตั้งแต่เล็ก ฟางไฉ่หง นางเป็นหญิงสาวที่ไม่ต่างกับตุ๊กตาแก้วงดงามล้ำค่าแต่ไร้ชีวิตจิตใจเพราะเกิดในตระกูลใหญ่ที่เรื่องผลประโยชน์มาก่อนความรู้สึกไม่ต่างกับตระกูลอื่น บิดาของนางนามฟางไห่ฉิน มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเสนาบดีมีอำนาจควบคุมคนกว่าครึ่งราชสำนัก ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดต่อให้ผิดพลาดมากแค่ไหนก็ยังมีคนออกหน้ารับแทนทำให้จิ้งจอกหนุ่มตนนี้กำแหงหนักข้อขึ้นทุกวัน ไม่กี่ปีหลังจากส่งบุตรสาวให้สมรสกับองค์ชายรัชทายาทลู่จื้อ ฮ่องเต้มีอาการประชวรอย่างหนักจนต้องจากไปก่อนวัยอันควร หมอหลวงที่ทำการรักษาก็ถูกโจรบุกชิงทรัพย์สังหารสิ้นทั้งตระกูล นางกำนัลในตำหนักที่ถวายการดูแลก็หายไปจนไม่มีใครได้พบพวกนางอีก เหตุการณ์บังเอิญเหล่านี้เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันจนคิดไปได้ต่างๆ นานา น่าแปลกที่ไม่มีผู้ใดเข้าไปสืบถึงการเสียชีวิตอันเป็นปริศนาเหล่านั้นเลย หวงลู่จื้อขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเพียง 18 ปี ข้างกันคือพระชายาแซ่ฟางที่กลายมาเป็นฮองเฮาด้วยวัยเพียง 16 ปี ว่ากันว่าชีวิตรักของฮ่องเต้หนุ่มและฮองเฮาเต็มไปด้วยความเย็นชาแม้อาหารสักมื้อก็ไม่เคยได้เสวยร่วมกันจนนางกำนัล บ่าวไพร่ ต่างเรียกขานตำหนักฮองเฮาว่าเป็นตำหนักเย็น หญิงสาวจำนวนไม่น้อยถูกถวายตัวเข้ามาเป็นสนมต่างไม่เคยถูกเรียกปรนนิบัติ ยกเว้นเพียงพระสนมเสียนเฟย นามสวีเลี่ยงเฟิ่ง หญิงสาวที่สนิมสนมกับฝ่าบาทมาตั้งแต่ทรงเยาว์วัยซึ่งถูกตระกูลของนางถวายตัวเข้ามาในฐานะพระสนมเช่นเดียวกับตระกูลอื่น นางเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกพระองค์ไปมาหาสู่แต่ก็มิเคยสักครั้งที่พวกเขาจะร่วมเตียงกัน ผ่านไปหลายปีฮ่องเต้ยังคงไร้วี่แววมีพระราชโอรส จนเมื่อหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏกาย นางมีนามว่า หม่าเหมยลี่ บุตรีของเจ้ากรมพิธีการ ทั้งที่มาจากบ้านเคร่งครัดเรื่องมารยาทแต่หญิงสาวแตกต่างจากพระสนมองค์อื่น นางสดใสเป็นธรรมชาติแม้จะซุกซนจนขัดกับขนบธรรมเนียมมากมาย สร้างชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงเรียกได้ว่าใต้เท้าหม่าฝากตัวป่วนเข้าวังมาให้เสียมากกว่าจะเป็นพระสนมผู้เพียบพร้อมคำสั่งแรกที่นางสมควรจะได้รับคงมิพ้นการขับออกจากวัง ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางกลับทำลายกำแพงน้ำแข็งของฮ่องเต้หนุ่มลงไปได้… ความรักของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นชายหนุ่มทะนุถนอมและใช้ค่ำคืนแรกร่วมไปกับนาง ไม่ถึงปีหม่าเหมยลี่ก็ขึ้นมาเป็นหนึ่งในพระสนมขั้นเฟย หากไม่ติดว่ามีฮองเฮาอยู่แล้วนางก็คงได้ยืนเคียงข้างฝ่าบาทในฐานะสตรีอันดับหนึ่งของแผ่นดิน คืนหนึ่งในยามวสันต์ที่หยาดฝนสาดเทลงมาไม่หยุด สองสามีภรรยานั่งตรงกันข้ามจ้องมองด้วยสายตาเฉยชา ตำหนักฮองเฮาที่ชายหนุ่มไม่ได้มานานดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ จะมีก็แต่เพียงตัวเจ้าของซึ่งดูจะเปลี่ยนแปลงไป นางเข้าสู่วัยสาวมีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น แต่กลับเศร้าหมองลงยิ่งกว่าเก่า “ฝ่าบาทเสด็จมาหาหม่อมฉันถึงตำหนักมีเรื่องอันใดหรือเพคะ” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย “ข้ามาด้วยเรื่องของเหมยลี่” แก้วชาที่ถูกยกขึ้นมาจรดริมฝีปากหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนชาอุ่นจะถูกวางยังที่เก่า “ฝ่าบาทมีอะไรก็ว่ามาเถิดเพคะ” แม้จะไม่ได้แสดงวาจาชิงชังแต่สีหน้าของนางตอบแล้วทุกสิ่ง หากมาพบนางเพียงเพราะเรื่องของสตรีนางอื่นก็ไม่จำเป็นต้องมากความ ฟางไฉ่หงอยากรีบให้เขากลับไปเสียเดี๋ยวนี้ “นางตั้งครรภ์” ประโยคนั้นทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง “หม่อมฉันต้องแสดงความยินดีด้วยหรือเพคะ” เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ หญิงสาวไม่อาจทนเข็มแข็งเหมือนดังเช่นทุกวันได้อีก นางมาก่อน...พบเขาก่อน...ตั้งแต่เกิดมาร่างกายและจิตใจของนางเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ไฉ่หงเกิดมาเพื่อเป็นฮองเฮาเป็นคนที่จะเคียงข้างบุรุษตรงหน้านาง เหตุใดทุกสิ่งถึงเป็นเช่นนี้ในใจของนางร้อนรุ่มไปด้วยโทสะและความเสียใจทั้งคับแน่นอยู่เต็มอกรอวันแตกออก “ข้ามาเพื่อบอกเจ้าด้วยตัวเอง มันคงจะดีกว่าการที่ปล่อยให้เจ้าได้ยินจากคนอื่น” บุรุษสูงศักดิ์เอ่ยต่อแม้จะเห็นท่าทางของสตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเอก “ฝ่าบาทรู้สึกผิดหรือเพคะคิดว่าเรื่องนี้การได้ยินจากพระสวามีของตนทำให้หม่อมฉันรู้สึกเสียใจน้อยลงรึ” มือบางกำชายอาภรณ์แน่นด้วยความคับข้องใจ “…” ไร้การตอบรับจากฮ่องเต้หนุ่ม มันก็คงจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด “ถ้าไม่ได้รักหม่อมฉัน ทำไมไม่ปฎิเสธการสมรสไป ฝ่าบาทเห็นแก่ตัวยิ่งนัก…การมีหม่อมฉันข้างกายเพื่อไม่ให้ถูกใครทำร้าย ใช้หม่อมฉันเป็นทั้งเกราะและโล่คอยปกป้องให้พระองค์มีชีวิตดั่งใจต้องการ ทั้งที่ไม่เคยสนใจดูแลมอบความสำคัญให้หม่อนฉันเลยสักนิด” ทุกวันนี้การมีชีวิตอยู่ในวังที่สุขกายแต่ไม่เคยสุขใจไม่ว่าเดินไปทางไหนมีเพียงเสียงนินทา คำเยาะเย้ย ถูกตราหน้าเป็นสตรีหุ่นเชิดก็ยังไม่เจ็บใจเท่าถูกสามีทำเหมือนเป็นเพียงเครื่องประดับ หน้าที่ของนางหมดลงตั้งแต่ตอนฮ่องเต้ได้ขึ้นครองราชย์ ในวันที่หญิงสาวกลายเป็นสตรีอันดับหนึ่งของแผ่นดินเคียงข้างชายที่นางเฝ้าฝันถึงมาตลอดกลับกลายเป็นวันได้รับรู้ว่าเขาไม่เคยคิดอยากจะจับมือของนางเลยสักครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าได้มีชีวิตตามที่ต้องการทุกอย่างรึ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม “เช่นนั้นที่เราเป็นแบบนี้ก็ถือเป็นเวรกรรมที่หม่อมฉันเลี่ยงไม่ได้เลยหรือเพคะ” ฟางไฉ่หงเป็นสตรีเข้มแข็งมากนางหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางเสียน้ำตา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม