ผมมองคนในอ้อมกอดที่ตอนนี้เธอหลับไปแล้วครับแต่กลายเป็นผมซะเองที่นอนไม่หลับแทน ปันหยาทำให้ความรู้สึกของผมหลากหลายมากไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ความรักเหรอ? ไม่ใช่หรอก...
เช้าวันใหม่
“ไหนว่ามีธุระด่วนไงคะ?” น้ำเสียงหาเรื่องเอ่ยเมื่อถูกปลุกขึ้นมาแต่เช้าแล้วรู้ว่าผมไม่ได้มีธุระอะไร
“ก็ธุระไง ไม่ได้บอกนี่ว่าที่ไหน”
“หยาเพิ่งรู้ว่าพี่ก็มีมุมแบบนี้กับเขาด้วย”
“ทำไม?”
“เปล๊า!”
ผมไม่ได้กวนอารมณ์สักหน่อยแค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง ที่ให้ตื่นแต่เช้าเพราะว่าจะพามาใส่บาตรครับ
“แล้วไม่บอกว่าจะพามาใส่บาตร” ยังครับ ยังคงพูดมากต่อ
“พูดมาก!”
“พูดมากอะไร” บ่นอุบอิบเบา ๆ แต่ผมหูดีไงเลยได้ยิน
หลังจากใส่บาตรเสร็จก็ปล่อยให้เจ้าตัวเดินเล่นไปตามประสาครับ ส่วนผมแยกตัวออกมาคุยโทรศัพท์กับแม่
(สุขสันต์วันเกิดนะลูก แม่ขอให้ภามมีความสุขมาก ๆ)
“แค่เลิกบังคับผมก็มีความสุขแล้ว”
(เจ้านี่!)
“ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่”
(แล้วน้องล่ะ)
“อยู่ตรง...” เบือนหน้าไปมองไม่มีแล้วครับ
(ภาม)
“แป๊บนะครับเดี๋ยวผมโทรกลับ”
(มีอะไรหรือเปล่า)
“ไม่มีครับ” แล้วก็กดวางสายเลย
กวาดสายตาไปรอบบริเวณอีกครั้งก็ไม่เจอครับ มั่นใจว่าไม่ได้อยู่ไกลกันแต่ทำไมปันหยาถึงหายตัวเร็วแบบนี้แถมยังไม่บอกอีกว่าจะไปไหน
“พี่!! ทางนี้ค่ะ” เสียงตะโกนดังมาไกล ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะโบกไม้โบกมือใส่ผมเธอกำลังซื้อของกินอยู่ครับ
“บอกว่าไง?”
“ห้ามดุนะคะ วันนี้วันเดียว” เหมือนจะรู้ตัวนะครับว่าผิดอะไร “หยาเห็นพี่คุยโทรศัพท์อยู่ก็เลยไม่ได้บอก”
“แล้วซื้ออะไรเยอะแยะกินหมดหรือไง” เธอกำลังซื้อไอศกรีมอยู่ครับ
“ของพี่หนึ่งถ้วยไง อ๊ะ! ถ้วยนี้ไม่ใส่นมนะคะ” ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับแม่ค้าครับ หลังจากนั้นก็จ่ายเงินและยื่นไอศกรีมให้ผม “นี่ของพี่ค่ะ”
“...” นอกจากแม่แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร
“แม่พี่บอกหยามาคร่าว ๆ ค่ะว่าพี่ไม่ชอบอะไรหยาเลยจำมา”
“แสดงว่าก่อนหน้านี้เจอแม่ประจำเลยสินะ”
“เจอค่ะ ก่อนที่พี่จะมาเจอหยาซะอีก แต่สาบานได้ไม่ได้ละลาบละล้วงอะไรมากกว่านี้เลยนะคะแค่ถามพอเป็นพิธีเท่านั้นเอง” ยังมีหน้ามาฉีกยิ้มให้อีกครับ
“รู้ดี!”
“หลอกด่าเก่ง”
ตลอดทั้งวันก็เถียงกันอยู่แบบนี้แหละครับจนกระทั่งถึงช่วงเย็นเธอขอออกไปเดินเล่นด้านนอกซึ่งผมก็โอเคให้ไปแต่แค่ไม่นานเจ้าตัวก็เดินคอตกกลับมา
“เป็นอะไร?”
“...” ไม่ตอบครับแต่ส่ายหน้าให้แทน
“โกหกไม่เนียน”
“หรือว่าความจริงแล้วหยาไม่ควรมาที่นี่เหมือนที่พี่บอกแต่แรกนะ”
“ใครว่าอะไรมาอีกล่ะ” เดาไม่ยากเลยครับว่าปันหยาเจออะไรมา
“อยากกินหมูกระทะ”
“ปันหยา!!” แทนที่จะตอบคำถามผมกลับเลี่ยงคำตอบไปโน่นเฉยเลย
“คิกคิก ช่างมันเถอะค่ะหยาไม่เป็นอะไรแล้ว”
“กับคนอื่นเธอไม่สู้นะ แต่กับฉันทำไมเธอถึงกวนประสาทขนาดนี้”
รู้สึกได้เลยครับว่าย้อนแย้ง เหมือนจะกลัวผมนะแต่ก็นั่นแหละก็แค่เหมือน กับคนอื่นสู้ไม่ได้เถียงไม่ได้ทำหน้าหงอยคอตกใส่แต่ถ้ากับผมนี่ต่างกันเห็น ๆ เลยหรือว่าผมควรจะมองปันหยาใหม่ทั้งหมด?
“นะคะ... ข้างนอกอุทยานมีร้านหมูกระทะหยาไปสำรวจมาแล้ว เดี๋ยวมื้อนี้หยาเลี้ยงพี่เองก็ได้”
“...” ถามว่าปฏิเสธอะไรได้ไหม? ไม่ครับ
ผมถูกปันหยาลากมาจนสำเร็จจากนั้นเจ้าตัวก็สั่งนั่นสั่งนี่และถ่ายรูปลงโซเชียลเสมือนว่าตัวเองมาคนเดียว
“เอ่อ... มีรูปหนึ่งติดพี่มาด้วยหยาเอาลงได้ไหมคะ?”
“ติดหรือตั้งใจถ่าย?”
“ตั้งใจถ่ายให้ติดค่ะ” นอกจากจะไม่แก้ตัวแล้วยังสารภาพแบบตาใสอีกด้วย
“อย่าให้มันเกินพอดีแล้วกัน” ไม่รู้หรอกว่าปันหยาลงอะไรแต่ด้วยอุปนิสัยของเธอคงไม่ทำอะไรห่าม ๆ หรอกครับ
ระหว่างมื้อปันหยามองออกไปนอกร้านเป็นระยะ ๆ เห็นแบบนั้นผมจึงหันมองตามบ้าง...
“มีอะไรหรือเปล่า”
“...” ไม่ตอบครับแต่กลับแสดงสีหน้ากังวลออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“ว่ายังไง?”
“คุณน้าคนนั้น แม่ของออมน่ะค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาเชียวครับ
“แล้ว?”
“...”
“ต่างคนต่างอยู่สิ เขาไม่ทำอะไรเธอหรอก กลัวหรือไง”
“เปล่าค่ะ หยาแค่ไม่อยากเจอพวกเขา”
ผมเข้าใจความรู้สึกของปันหยานะ แต่ก็นั่นแหละจะเรียกว่าโลกกลมก็คงได้มั้งครับ
“ไอ้ภาม!” ใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกชื่อผม
“...”
“พี่รู้จักเขาด้วยเหรอคะ?” ปันหยาเอ่ยถามแทบจะทันที
“อืม”
บุคคลที่มาใหม่คือไอ้อาร์ม อดีตเพื่อนของผมนั่นเอง เป็นการเจอกันในรอบสองปีก็ว่าได้
“หายหน้าหายตาเลยนะมึง เป็นเหี้ยไรประชดชีวิตเหรอ?” น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยทักทายเมื่อเห็นหน้าผมและฟังดูเหมือนมันจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้ก็ดีครับ มันดีกับตัวผมมากเลย
“มึงลืมเหรอว่ากูรักความสันโดษ”
“มึงนี่ยังเหมือนเดิมเลยเนอะ” มันว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปที่ปันหยาซึ่งเธอเองก็กำลังมองอยู่เหมือนกันครับ เป็นใบหน้าเรียบเฉยที่ผมไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ “แฟนมึงเหรอ?”
“น้อง”
“อ่อ... ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะ” ประโยคหลังอาร์มมันหันไปพูดกับปันหยาครับ ผมหวังนะอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
“ค่ะ แล้วพี่ล่ะคะสบายดีไหม?”
“ดีมั่งไม่ดีมั่งแล้วแต่อารมณ์” บทสนทนาตรงหน้าถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติก็จริงแต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง... “นี่เบอร์กู ว่าง ๆ เจอกันหน่อยนะกูขอไปหาแม่กับน้องก่อน” อาร์มมันว่าพร้อมกับจดเบอร์มือถือวางลงตรงหน้าผม
“เออ”
“เออ เจอกัน”
คล้อยหลังมันทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ คนหนึ่งคือคนที่ผมจำเป็นต้องอยู่ด้วยและอีกคนก็เป็นคนที่ผมเคยอยู่ด้วย ... ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรทำไมอยู่ ๆ ถึงมีความคิดเปรียบเทียบแบบนี้ทั้งที่ความจริงพวกเราทุกคนไม่ได้เป็นอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
“ดูพวกพี่สนิทกันดีนะคะ” ปันหยาพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ฉันมากกว่าที่ต้องพูดคำนี้ เธอไปรู้จักมันตอนไหน?”
“เขาเป็นลูกชายของพ่อไงคะ เป็นพี่ชายของออม” ผมไม่เคยเชื่อเรื่องความบังเอิญเลย ไม่เคยเชื่อว่ามันจะมีอยู่จริง แต่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วครับ “แล้วพี่ล่ะคะ เป็นอะไรกับเขา”
“...”