หลังจากทริปวันเกิดจบลง นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วค่ะแต่เป็นสามวันที่พี่ภามเขาเงียบมากจนเหมือนไม่ใช่คนเดียวกัน ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรจะว่าตัวเองน่ารำคาญก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ
“พี่...”
“เลิกเรียกสักทีเหอะ น่ารำคาญว่ะ” เห็นไหมคะเขาหงุดหงิดทั้งที่ฉันยังไม่ทำอะไรให้เลย แค่อ้าปากก็ผิดแล้ว
“ขอโทษ หยาแค่จะถามว่าพี่กินมื้อเช้าไหมหยาจะเตรียมให้”
“ขอบใจแต่ไม่ต้อง เป็นไปได้ก็ช่วยไปให้พ้น ๆ หน้าด้วยโคตรรำคาญ”
“...”
จบประโยคเขาก็เข้าห้องไปเลยค่ะ ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรทำไมถึงอารมณ์ร้ายใส่ฉันขนาดนี้แถมยังแสดงออกชัดเจนอีกว่ารำคาญฉันทั้งที่ก่อนหน้านี้เราพูดคุยกันปกติจนเหมือนสนิทกันแล้วด้วยซ้ำ
คล้อยหลังเขาฉันก็พาตัวเองลงมาที่สวนสาธารณะของคอนโดเพราะหากยังอยู่ในห้องฉันคงอึดอัดมากกว่านี้สู้นั่งเล่นเกมส์คนเดียวเงียบ ๆ ยังรู้สึกดีกว่าซะอีก
เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ฉันนั่งอยู่กับที่แถมแบตมือถือก็ใกล้จะหมดแล้วด้วยแต่ยังไม่อยากกลับขึ้นห้องไงเลยต้องจำใจหงอยเหงาอยู่คนเดียว
“ทำไมมานั่งตรงนี้”
“...”
บุคคลตรงหน้าฉันคือพี่อาร์มพี่ชายของออมนั่นเอง หรือจะพูดให้ถูกเขาก็คือพี่ชายต่างแม่ของฉันนั่นแหละ
“ไอ้ภามล่ะ”
“อยู่บนห้องค่ะ”
“อ่อ”
“พี่มาหาเขาเหรอคะ หรือว่ามีธุระแถวนี้”
“มีธุระแถวนี้พอดีเลยแวะมาหามันด้วย”
“เชิญค่ะชั้นเก้าห้องซ้ายมือ”
“...” เขาเงียบไม่ตอบอะไรแค่มองหน้าฉันนิ่ง ๆ จากนั้นก็เดินเข้าลิฟท์ไป กับพี่อาร์มถึงเขาจะไม่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเกลียดฉันแต่ฉันก็รู้สึกได้อยู่ดีค่ะ เพราะสายตาเขาที่มองมามันเย็นชายิ่งกว่าอะไรซะอีก
พี่ภามบอกกับฉันว่าพี่อาร์มเป็นเพื่อนสมัยเรียน ฉันก็ไม่อะไรนะคะแค่ไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้ แล้วต่อไปจะทำตัวยังไงล่ะเวลาที่เขาเจอกัน
เวลายังคงหมุนไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว มากไปกว่านั้นคือตอนนี้ฉันหิว...
“ประชดชีวิตหรือไง?” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าฉัน
“เปล่านี่คะ ก็พี่บอกเองว่าไปให้พ้น ๆ” ฉันไม่ได้ประชดก็เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ
“...” เขาไม่ตอบอะไรและเลือกที่จะนั่งลงข้างฉันแทน
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่แค่ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายพูดก่อน “อาร์มพูดอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่คะ เขาไม่ได้มาหาหยาแต่เขามาหาพี่”
“เธอก็ใจดีบอกห้องบอกชั้นมันไปเนอะ”
“อ้าว! ก็พี่บอกเองว่าเป็นเพื่อนกันหยาจะไปรู้เหรอคะว่าพี่ไม่ให้ขึ้นไป” ฉันพูดไปตามความจริงตอนนั้นเขาสั่งห้ามแค่คนอื่นนี่
“พื้นที่ตรงนั้นควรมีแค่เราสองคน”
“...”
“กลับเข้าห้องได้แล้ว” ไม่พูดเปล่าเขายังรั้งแขนฉันให้ลุกขึ้นอีกด้วย
“อะไรของพี่เนี่ยเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย” ฉันโวยวายใส่เขาเมื่อปฏิกิริยาของเขาเปลี่ยนไป
“ต่อไปอย่าให้ใครเข้ามาในห้องอีก” เขาย้ำประโยคนี้กับฉันอีกแล้วค่ะแต่ก็ไม่ยอมอธิบายหรือบอกอะไรให้ฉันเข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว
กลับเข้ามาในห้องฉันก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นพี่อาร์มยังอยู่ เขากำลังเล่นเกมส์ค่ะ
“ตานี้จบกูกลับแล้วนะ” เขาหันไปพูดกับพี่ภามค่ะ
“เออ” หลังจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับฉัน “ไปอาบน้ำได้แล้ว”
“ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะพาตัวเองเข้าห้องทันที ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวแค่ไม่นานก็เสร็จแล้วค่ะ เปิดประตูออกมาด้านนอกพี่อาร์มก็ไม่อยู่แล้ว
“มองหาใคร?”
“เปล่าค่ะ”
“มากินข้าวสิ” เพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะมีอาหารมากมายจัดจานไว้อยู่ก่อนแล้ว “กับไอ้อาร์มน่ะ สนิทกับมันแค่ไหน?”
“หยาไม่เคยสนิทกับใคร แม้แต่พี่...ก็ยังไม่สนิทเลย”
“...”
“พี่อาร์มไม่เคยด่า ไม่เคยว่าหรือพูดจาไม่ดีกับหยาสักครั้งเดียวแต่ในแววตาของเขากลับแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจ” ฉันไม่ได้คิดไปเองหรอกค่ะมันคือสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ต่างหากและเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น
เป็นอีกครั้งที่ได้รับความรู้สึกโดดเดี่ยว อาหารมื้อนี้ไม่ได้ต่างไปจากครั้งแรกที่เราอยู่ร่วมกันเลยสักนิด
“เป็นอะไร?” พี่ภามเอ่ยถามขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน
“เปล่าค่ะ”
“ปันหยา!”
“แล้วพี่ล่ะคะเป็นอะไร? เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหยาตามอารมณ์พี่ไม่ทันแล้ว พี่ไม่พอใจอะไรพี่บอกได้นะคะ หรือว่า...”
“ขอโทษ” ประโยคที่เอ่ยออกมาทำเอาฉันนิ่งไป ปกติเขาจะไม่เป็นแบบนี้และฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่
“พี่... พี่เป็นอะไรคะ”
“แค่หงุดหงิดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ฉันควรจัดการอารมณ์ตัวเองและไม่ควรพูดกับเธอแบบนั้น” ฉันเข้าใจนะคะเขาอาจจะเคยชินกับการอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับฉัน “มื้อนี้แทนคำขอโทษแล้วกันนะ”
“ไม่เอาค่ะ หยาอยากได้อย่างอื่น”
“...” ฉันรู้ว่าเขาเข้าใจเพราะมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ฉันขอเขามาตลอด นั่นก็คือสรรพนามแทนตัวเอง
“พี่กับพี่อาร์มดูสนิทกันมากเลยนะคะไหนว่าเพิ่งมีเพื่อนไม่นานมานี้ไงแถมยังเป็นผู้หญิงอีกไม่เห็นพูดถึงพี่อาร์มเลย” ฉันจำได้เพื่อนเขามีสองคนค่ะชื่อพี่แนนกับพี่น้ำตาลนอกจากนี้ก็ไม่ได้เอ่ยถึงใครเลย
“รู้จักกันตอนเรียนวิศวน่ะ พอย้ายมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ติดต่อมันอีกเลยไม่ได้พูดถึง”
“พี่เคยเรียนวิศวด้วยเหรอคะ?”
“อืม หาประสบการณ์เฉย ๆ พอรู้ว่าไปไม่รอดก็ย้าย”
“รู้ตัวเร็วดีแฮะ”
“เร็วอะไรเสียเวลาไปตั้งหนึ่งปี ไม่งั้นคงอยู่ปีสามแล้ว”
ระหว่างมื้อเรามีเรื่องราวมากมายพูดคุยกันจนทำให้ฉันลืมไปเลยว่างอนเขาอยู่ ไม่สิ! น้อยใจต่างหากฉันมันเป็นพวกอ่อนไหวง่ายค่ะ แค่ขึ้นเสียงก็เสียความรู้สึกแล้ว
“คืนนี้ออกไปกับพี่นะ”
“คะ?”
“ถ้าไม่ไปก็อยู่คนเดียวแล้วกัน” จบประโยคเขาก็เข้าห้องไปทันที ฉันไม่ได้หูฝาดแน่นอน เมื่อกี้เขาแทนตัวเองว่าพี่ด้วยนะคะ คิกคิก
เวลาต่อมา
สองทุ่มตรงฉันออกมากับพี่ภามค่ะไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนแต่ทิศทางของรถมันออกจากตัวเมืองมานิดหน่อย แค่เพียงไม่นานก็จอดที่ร้านนั่งชิวแห่งหนึ่ง
“คืนนี้อากาศเย็นจัง” ฉันพึมพำออกมาเมื่อลงจากรถแล้วสัมผัสกับบรรยากาศรอบตัว
“ใส่สั้นเองไม่ต้องบ่น” เขาว่าก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้าน
“ไอ้ภามมึงมาช้าสุดมึงเลี้ยงเลย” ใครคนหนึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ได้ดิ”
“แฟนมึงเหรอ?” เขายังคงถามต่อแต่เบี่ยงสายตาทางฉัน
“น้องอ่ะ”
“งั้นแปลว่าจีบได้?”
“ห้ามยุ่ง”
“ฮ่า ๆ กูว่าแล้ว”
“...”