หนึ่งเดือนผ่านไป
วันเวลายังคงผ่านไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าผลสอบของปันหยาออกแล้วครับ
“กรี๊ด...!!” หูแทบแตกครับ
“อะไร?”
“ขยับขึ้นมาแล้วค่ะจากรองท้ายตอนนี้อยู่ตรงกลางแล้วนะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับดูใบคะแนนของตัวเอง
“คะแนนเก็บอันน้อยนิดรวมกับคะแนนสอบมันทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?” นอกจากเจ้าตัวจะสอบได้คะแนนเต็มครับเกรดเฉลี่ยถึงจะดีขึ้น
“น้อยนิดอะไร ตอนนั้นที่ครูเอาให้พี่ดูมันเป็นของปีที่แล้วค่ะ ส่วนคะแนนเก็บมอหกหยาได้เยอะอยู่”
“จริง?”
“จริงสิ! เผื่อวันข้างหน้านึกอยากเรียนไงเลยเปลี่ยนใจทำเกรดเฉลี่ยให้ดีหน่อย”
“ก็ดีที่คิดได้แบบนี้”
“แต่พี่รับปากหยาแล้วนะถ้าคะแนนออกมาดีจะพาไปเที่ยว” เสียรู้ให้เด็กแล้วครับ ก่อนหน้านี้ดันพลั้งปากพูดไปไง
“อยากไปไหนว่ามา”
“น้ำตกค่ะ จังหวัดกาญจนบุรี” ตอบโคตรไวครับ คงคิดไว้นานแล้ว
“อืม”
“หืม... พี่ไม่คัดค้านหน่อยเหรอคะ”
“คัดค้านอะไร?”
“ปกติของพี่ต้องมีข้อโต้แย้งค่ะไม่ใช่ตกลงกันง่าย ๆ แบบนี้”
“เปลี่ยนใจไม่พาไปซะดีมั้ง”
“ไม่ดีมั้ง”
“อย่ามัวเล่นอยู่ตากผ้าหรือยัง?”
“อ๊ะ! ลืมเลยขอบคุณนะคะที่เตือน” ถึงกับส่ายหน้าให้ครับ ปันหยาก็คือปันหยาอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ
หนึ่งอาทิตย์ถัดมาผมก็พาเธอไปเที่ยวตามที่รับปากไว้ครับ เราไปกันแค่สองคนและไม่มีใครรู้
“ลืมอะไรไหม?” ผมเอ่ยถามปันหยาที่ตอนนี้ถือสัมภาระตัวเองอยู่
“ขอหยาเปิดดูอีกครั้งนะคะ” ผมไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนใจเย็นตั้งแต่ตอนไหน ทั้งนั่งรอนอนรอทั้งที่ไม่ใช่นิสัยตัวเองเลยสักนิดแต่พอเป็นปันหยาเหมือนสมองมันได้รับคำสั่งว่าต้องรอนะ ต้องเตือนนะ “ครบค่ะ”
“งั้นก็ไปกัน”
ออกจากห้องตั้งแต่หกโมงเช้าเลยครับ ระหว่างทางไม่ต้องกลัวว่าผมจะเหงาหรือง่วงเลยเพราะคนข้าง ๆ เล่นเกมส์เสียงดังมากแถมยังหัวร้อนอีกด้วยนะ
“อะไรวะ! เดินเข้าไปให้เขาฆ่าเฉย โง่!!” คนที่ถูกด่ารู้สึกยังไงผมไม่รู้หรอก แต่ปฏิกิริยาแบบนี้ไม่ใช่จะเห็นกันบ่อย ๆ หรอกครับ
“หัวร้อนเฉย”
“เฮ้อ...” ถึงกับถอนหายใจเลยทีเดียว “ไม่เล่นละ” จบประโยคก็เก็บมือถือทันทีเลยครับ “ตอนนี้เราถึงไหนกันแล้วคะ”
“กำลังจะเข้าจังหวัดกาญจนบุรี”
“แปลว่าใกล้จะถึงแล้ว?”
“อืม”
ไม่นานก็แวะพักรถครับ ปันหยาไปเข้าห้องน้ำส่วนตัวผมเองเข้ามาในร้านสะดวกซื้อ ระหว่างที่กำลังเลือกของอยู่ก็ได้ยินผู้หญิงกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน ผมไม่ได้เสียมารยาทแอบฟังนะมันลอยเข้ามาในหูเอง จะไม่อะไรเลยถ้าในบทสนทนานั้นไม่มีชื่อปันหยา
“กูว่ากูเห็นอีปันนะ”
“ปันหยามันจะมาโผล่ถึงนี่ได้ยังไง พวกเราไม่ได้ชวนมันสักหน่อย”
“ความจริงก็น่าจะชวนนะยังไงก็เป็นทริปยกห้องอยู่แล้ว”
“ช่างแม่งดิ”
“ว่าแต่มันมากับใคร”
“ผู้ชายคนหนึ่งกูเห็นแวบ ๆ โคตรหล่อ”
“พี่มันหรือเปล่า”
“พี่ห่าไรมันไม่มีพี่ เผลอ ๆ ก็เหมือนแม่มันอ่ะ ฮ่า ๆ” ทุกคนพูดคุยกันสนุกปาก ตอนแรกผมคิดว่าคงไม่ใช่หรอกแต่พอฟังไปเรื่อย ๆ แล้วมันใช่ครับ
หลังจากนั้นพวกเธอก็จ่ายเงินแล้วพากันออกไป ผมมองออกไปด้านนอกปันหยารออยู่ที่รถครับซึ่งมันคนละทางกับที่คนกลุ่มนั้นอยู่ ค่อยยังชั่วหน่อยถ้าเผชิญหน้ากันและปันหยาได้ยินประโยคเมื่อกี้คงหงอยเลยแหละ
“นี่ของกิน” ผมว่าพลางยื่นให้ปันหยาเมื่อมาถึงรถ
“ขอบคุณค่ะ”
“ทำไมถึงอยากมาที่นี่เหรอ”
“คะ?”
“ไม่พูดซ้ำ”
“มันสวยดี”
“...” ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกก็ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันมาแบบนั้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถึงที่พักแล้วครับ ผมเลือกจองในอุทยานเลยเพราะในนี้จะได้บรรยากาศกว่า
“บรรยากาศดีมากเลยแต่หนาวไปหน่อย”
“ปกตินะ”
“ค่ะ ปกติก็ปกติ แต่ว่า...หิวแล้ว” ไม่พูดเปล่ายังฉีกยิ้มกว้างมาให้ผมอีกด้วย
“เอาของไปเก็บก่อนแล้วกัน”
“โอเค แต่มีห้องเดียวเหรอคะ?”
“ใช่ ถ้าจะเอาสองห้องต้องจองหลังใหญ่และแพงขึ้นอีก”
“อ๋อ งั้นแบบนี้ดีกว่า”
หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จผมก็พาปันหยามาหาอะไรกินครับ ไม่รู้เรียกว่าบังเอิญหรือโลกกลมที่ทำให้มาเจอคนกลุ่มนั้นอีกครั้ง
“...”
“มานะดีแฮะ ถึงขนาดให้ผู้ชายพามาเองเลยอ่ะ” น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ย ถ้าจำไม่ผิดคนนี้แหละที่ด่าทอปันหยาในโรงเรียน
“ไม่ได้มานะหรอก น่าจะเป็นวันซวยของฉันมากกว่าที่มาเจอเธอที่นี่”
“อีปันหยา!”
“เอออีออม!! ทำไม? นี่มันที่สาธารณะไปโหยหวนที่อื่น” ถ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ผมคงไม่เชื่อว่าปันหยาจะมีมุมแบบนี้ด้วย
“อีลูกเมียน้อย!!”
“...”
“เงียบเลยอ่ะ ไม่ปากเก่งอีกล่ะ”
“พอดีไม่อยากเสวนากับสัตว์น่ะมันเหนื่อย”
“นี่!!” น้ำเสียงไม่พอใจเอ่ยก่อนจะพุ่งตัวมาหาปันหยา
หมับ!
“ถ้ากล้า... ก็ลองดู!” ผมไม่ได้ขู่ครับผมพูดจริง “ถ้ามีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นเรื่องนี้ถึงหูพ่อเธอแน่” เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น
“พี่รู้จักพ่อออมด้วยเหรอคะ? งั้นก็ต้องรู้สิว่าปันหยาเป็นใคร”
“รู้ แล้วทำไมเหรอ?”
“ดูหวังดีเหลือเกินนะคะ เอ๊ะ! หรือว่าที่บอกว่าเป็นพี่ชายนี่พี่ชายแบบไหนเหรอ แบบพี่น้องท้องชนกันหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนะ แต่เรื่องของเราสองคนช่างมันเถอะ ฉันรู้ตัวดีว่าฉันเป็นใครและเธอเป็นใคร ต้องขอโทษด้วยฉันเลือกเกิดไม่ได้ตอนแรกฉันก็น้อยใจชีวิตตัวเองเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว...”
“...”
“เพราะคนที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นเธอ ดูขาดความอบอุ่นดีนะ” ทุกประโยคไม่มีคำหยาบนะครับแต่ทำไมฟังแล้วเจ็บแทน
“อีปันหยา!!”
“อีออม!!”
“เฮ้ย! พอ... อย่าทะเลาะกัน” ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาห้ามไว้ น่าจะมาด้วยกันนะครับ “เรื่องส่วนตัวเอาไว้ที่บ้าน นี่มันวันรวมเพื่อนนะ”
“มึงไม่เห็นเหรอว่ามันด่ากูอ่ะ”
“เห็น! และก็เห็นด้วยว่าทุกครั้งมึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนออม เรื่องนี้มึงต้องโทษพ่อมึงเว้ย กูไม่ได้เข้าข้างใครกูพูดตามความจริง”
“ไปกันเถอะค่ะ ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียบรรยากาศ” หงอยเชียวครับน้ำเสียงไม่เหมือนตอนเถียงกันเมื่อกี้เลย
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
“...”