“ไง... คิดถึงแม่เหรอถึงมาหาได้น่ะ” แม่เอ่ยทักทายเมื่อเห็นหน้าผม
“คงงั้นมั้งครับ”
“แล้วน้องล่ะมาด้วยหรือเปล่า”
“เปล่า”
“อยู่คนเดียวเหงาแย่เลย ทำไมไม่พาน้องมาด้วย”
“ไม่จำเป็น”
“ภาม!”
“ผมอยากรู้เรื่องของปันหยา”
“...”
“วันก่อนผมไปที่โรงเรียนมาแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งหาเรื่องปันหยา”
แม่นิ่งไปเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ผมมั่นใจว่าแม่ต้องรู้ทุกอย่างแต่จะบอกผมมากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
“ถ้าไม่บอกอะไรให้ผมรู้บ้างเลยงั้นแม่ก็เอาปันหยากลับไปเถอะครับ ข้อแลกเปลี่ยนของพ่อปันหยาบอกผมหมดแล้วและผมก็อยากบอกพ่อกับแม่เหมือนกันว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันผิดทั้งหมด ที่ผมเป็นแบบนี้เพราะทุกคนเอาแต่บังคับให้เป็นแบบนั้นให้เป็นแบบนี้ ทุกคนคาดหวังโดยที่ไม่สนว่าผมกำลังทำอะไรอยู่หรือว่าอยากทำอะไร” ตอนนี้เหมือนผมมากกว่าที่เป็นฝ่ายทำให้ปันหยาดีขึ้น
“ขอโทษนะ แม่ไม่รู้ว่าลูกจะอึดอัดขนาดนี้”
“ผมไม่ได้โกรธหรอกนะผมแค่อยากแสดงความคิดเห็นในมุมของผมบ้างเท่านั้นเอง” เข้าใจครับว่าพ่อแม่หวังดีกับเราแต่บางอย่างมันมากไปไง “กับปันหยาก็เหมือนกัน ผมถามจริง ๆ แม่คาดหวังอะไรอยู่เหรอ หวังให้เรารักกันหรือหวังให้ปันหยาหลุดพ้นจากวังวนความคิดตัวเอง”
“พูดขนาดนี้ก็คงรู้เรื่องราวมาพอสมควรสินะ”
“...”
“แม่จะบอกให้ก็ได้... พวกเราเป็นเพื่อนรักกันและรู้มาตลอดว่าเขาทั้งคู่มีความสัมพันธ์ต่อกัน พ่อของปันหยามีครอบครัวอยู่ก่อนแล้วซึ่งแม่ของเธอเองก็รู้แต่ก็ยังยืนยันที่จะอยู่ตรงนั้น ความสัมพันธ์ผิด ๆ มันดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งนานก็ยิ่งผูกพัน ทั้งที่เราเป็นเพื่อนกันแต่แม่กลับไม่เคยเตือนเขาเลยแถมยังช่วยปิดบังอีกต่างหาก”
“คำว่าเพื่อนมันสำคัญนะครับ ทำไมแม่ถึงทำแบบนั้น” สำหรับผมขึ้นชื่อว่าเพื่อนต้องเตือนกันได้ครับ ฟังหรือไม่ฟังก็อีกเรื่องหนึ่ง
“เพราะแบบนี้ไงเราสองคนถึงอยากพยุงปันหยาให้ได้มากที่สุด เพราะความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ในวันนั้นที่ทำให้เด็กคนหนึ่งมีปมมาจนถึงทุกวันนี้! รู้แบบนี้แล้วแม่หวังว่าภามจะใจดีกับปันหยาบ้างนะ”
“...” นี่สินะเหตุผลที่แท้จริง
“ตอนแรกพ่อกับแม่ตั้งใจรับปันหยามาเป็นลูกบุญธรรมเองด้วยซ้ำ แต่พอคิด ๆ ดูแล้วอยู่ในความดูแลของภามน่าจะดีกว่า”
“ทำไมถึงเป็นผม?”
“เพราะน้องเลือกภาม และแม่ก็เชื่อว่าลูกจะดูแลน้องได้” ผมไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงมั่นใจว่าผมจะดูแลปันหยาได้ แต่เอาเถอะเห็นแก่ความรู้สึกผิดของพวกเขาผมจะยอมดูแลให้ก็ได้ “ส่วนเรื่องหมั้นอันนี้แม่ไม่รู้ ลูกคงต้องไปหาคำตอบจากพ่อเอาเอง” เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิดพ่อน่ะเหรอจะเลิกบังคับผม เหอะ!
“ครับ งั้นผมกลับก่อนนะ ป่านนี้สาวน้อยของแม่หิวข้าวตายแล้วมั้งอะไรก็ทำไม่เป็นสักอย่าง”
“อย่าดุน้องนักเลยค่อย ๆ สอนกัน” เห็นไหมครับเข้าข้างกันไปหมด
อยู่คุยกับแม่ต่ออีกนิดหน่อยก็กลับครับ ก่อนเข้าห้องก็ได้ของกินติดไม้ติดมือมาด้วยวันนี้ขี้เกียจทำไง
แกรก!
“ปันหยา!!”
“อื้อ... อย่าเพิ่งด่านะคะเดี๋ยวหยาจะรีบเก็บให้”
ใบงานเกลื่อนห้องเลยครับแทบไม่มีที่ให้เดินอ่ะคิดดูเถอะ จะไม่เยอะได้ยังไงก็เธอเล่นค้นพื้นฐานใหม่ทั้งหมดตั้งแต่มัธยมต้นเลยครับ
“อันนี้เป็นพื้นฐานมอต้นหยาทำความเข้าใจใหม่หมดแล้ว ส่วนอันนี้เป็นปรับพื้นฐานมอปลายค่ะ” เธอว่าพลางชี้ให้ดู “หยาจำแต่สูตรเอาไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า พี่ช่วยดูให้หน่อยสิคะ” โน้ตแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าผม จากกระดาษเป็นร้อยแผ่นเธอมีความสามารถสรุปออกมาได้ในแผ่นเดียวคิดดูเถอะครับแถมยังสรุปแต่ใจความสำคัญอีกด้วยนะ
“อืม ใช้ได้ทั้งหมด”
“เหลือเวลาอีกหนึ่งเทอมหยาน่าจะรั้งอันดับตัวเองขึ้นมาได้นิดหน่อย”
“ความจริงเธอเป็นที่หนึ่งด้วยซ้ำ”
“...”
“ช่างเถอะ! ปรับตอนนี้ก็ยังทันอยู่”
“ค่ะ”
หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มเก็บเศษซากกระดาษที่รื้อออกมาครับ ไม่ต้องเดาเลยว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่...
หลายวันผ่านไป
ปันหยาเข้าสู่ฤดูกาลสอบปลายภาคแล้วครับ ถึงจะแค่เทอมแรกแต่มันก็สำคัญครับ หลายวันมานี้เจ้าตัวอ่านหนังสือหนักมาก วันนี้ก็เหมือนกัน
“จะตีสองแล้วนะ”
“พี่ไปนอนก่อนเลยเดี๋ยวหยาปิดไฟให้เอง” ปากพูดกับผมก็จริงแต่สายตาก็ยังคงจ้องมองตัวหนังสืออยู่
“นอนอะไรงานยังไม่เสร็จเหมือนกัน”
“...”
“พอแล้ว ไปนอนได้แล้ว” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปปิดหนังสือ “ต้องไปสอบแต่เช้านะไม่นอนหรือไง”
“อีกสองหน้าจะจบแล้วค่ะ” มีการต่อรองด้วยนะครับ ผมไม่ได้ขัดอะไรแต่นั่งมองเงียบ ๆ แทนจนกระทั่งอ่านจบ
“พี่...”
“ว่า?”
“ฝันดีนะคะ” เป็นประโยคน่าเบื่อที่ผมได้ยินทุกคืนก็ว่าได้ครับ
“ไปนอนได้แล้ว”
“พี่ก็เหมือนกันนะ”
“อืม”
ถามว่าผมเลิกรำคาญเธอแล้วเหรอ? คำตอบก็คือยังครับ เพราะบางครั้งปันหยาก็จุกจิกน่ารำคาญเกินไป
เช้าอีกวันผมมาส่งเธอที่โรงเรียนแต่ตัวผมเองไม่มีเรียนหรอกตั้งใจว่าจะกลับไปนอนต่อนั่นแหละ
“สอบเสร็จแล้วโทรมานะ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะลงจากรถและเข้าโรงเรียนไป
ครืด... ครืด...
พ่อสุดที่รักของผมเองครับ
“คิดถึงผมหรือไง?”
(ขนลุกฉิบหายใครเขาคิดถึงแก)
“อ้าว แล้วพ่อโทรมาหาผมทำไมล่ะ”
(หนูปันหยาอยู่ข้าง ๆ ไหม)
“ไปโรงเรียนแล้วครับ ผมเพิ่งไปส่งเมื่อกี้เอง”
(อ่อ... เข้ามาที่บ้านหน่อยสิ)
“เป็นประโยคคำสั่งสินะ”
(เออ! ให้ไว) แล้วก็วางสายไปเลยครับ
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะมาถึงเพราะรถค่อนข้างติดครับ แต่ดูเหมือนบ้านผมจะมีแขกนะ
“...”
“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ทุกคนตามมารยาท
“นั่งก่อนสิลูก วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ” แม่เอ่ย
“ไม่มีครับ”
“...” ทุกคนเงียบเหมือนกับว่าไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง
“พ่อกับแม่อยากพูดอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“นี่อาปัญญา พ่อของหนูปันหยา” พ่อเอ่ยแนะนำคนข้าง ๆ ให้รู้จัก
“ครับ”
“ปันหยาเป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามผมครับ
“ดีกว่าตอนแรกนิดหน่อยครับ ก็ยิ้มบ่อยขึ้น” ผมพูดไปตามความจริง อยู่ด้วยกันแรก ๆ ปันหยาพูดเก่งก็จริงแต่เธอไม่ยิ้มเลยครับ ที่ขยันถามขยันเซ้าซี้เพราะอยากชวนคุยมากกว่าผิดกับตอนนี้ที่ดูจะร่าเริงขึ้นมาหน่อย
“อาฝากปันหยาด้วยนะ”
“ฝากน่ะได้ครับ ผมดูแลเหมือนน้องสาวคนหนึ่งด้วยซ้ำแต่นั่นมันก็แค่ภายนอกเพราะบาดแผลในใจผมรักษาแทนใครไม่ได้หรอก” ผมไม่ได้ก้าวร้าวหรือเจตนาพูดเสียดสีคุณอานะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าเขารู้สึกผิดต่อปันหยาบ้างไหม เจ็บได้สักเสี้ยวหนึ่งของปันหยาหรือเปล่า...
“เขาคงเกลียดอาไปแล้ว”
“ผมไม่...”
ครืด... ครืด...
ยังพูดไม่ทันจบครับมือถือก็มีสายเข้าซะก่อน
“ว่าไง” ผมรับสายแล้วเปิดลำโพงให้พ่อเธอได้ฟังน้ำเสียงลูกสาวตัวเอง
(หยาลืมบัตรประจำตัวนักเรียนไว้ในรถค่ะ)
“ปันหยา!”
(ค่อยด่าตอนถึงห้องนะคะ ตอนนี้เอามาให้หยาก่อนอีกสิบห้านาทีจะเข้าห้องสอบแล้ว)
“ไม่ต้องสอบแล้วมั้งศูนย์คะแนนไปเลย”
(ไม่ได้นะคะงั้นที่อ่านหนังสือจนตาเหลือกก็ไม่มีประโยชน์สิ)
“เฮ้อ...”
(รอหน้าโรงเรียนนะคะ) แล้วก็วางสายไป
“สนใจคำพูดผมบ้างก็ดีสิ”
“ดูปันหยาเขาเชื่อใจนายนะ”
“...”
“รีบไปเถอะภามเดี๋ยงน้องเข้าห้องสอบไม่ทัน” แม่เอ่ย
“ดี! ติดศูนย์ไปเลย”
“ภาม!”
ผมพูดไปอย่างนั้นแหละครับจะแกล้งอะไรเธอได้ก็ในเมื่อทุกคนพร้อมใจกันปกป้องขนาดนี้