04

2606 คำ
สองพี่น้องคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด พริบพรายร้องไห้ออกมาดั่งคนเสียสติ เธอคิดมาตลอดว่าพริ้มพราวเป็นคนสารเลวคนนึง แต่ที่ไหนได้เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น พริ้มพราวยังเป็นพี่สาวคนเดิมของเธอเสมอมา แต่ตอนนี้ต้องแบกรับเรื่องราวทั้งหมด พริบพรายเองก็กลัวว่าพี่สาวจะโกหก แต่การที่หลวงพ่อพูดแบบนั้น ทั้งที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยจะเป็นไปได้อย่างไร กล้วยนั่งอยู่กับลูกทั้งสอง เห็นพวกเขาทำความเข้าใจกันแล้วก็ดี พริบพรายส่งพริ้มพราวไปอยู่ในอีกประเทศหนึ่งเพื่อทำการคลอดลูก และหลบเลี่ยงผู้คน และเพชรภูมิ เขาได้รับเงินจากพริบพรายจำนวนสิบล้าน เพื่อให้ออกไปจากชีวิตพวกเธอทั้งสองคน เพชรภูมิรู้สึกเสียดายพริ้มพราวอยู่บ้าง แต่ก็อยากได้เงินมากกว่า เขากลับเมืองไทยพร้อมกับเงินสิบล้าน ชีวิตของเขาด่ำดิ่งและตกต่ำลงไปเรื่อย เนื่องจากสังคมรังเกียจ เขาใช้เงินเสพสุขกับทุกอย่าง พยายามขวนขวายซื้อสังคมทุกอย่าง แต่ก็เปล่าประโยชน์คนเข้าหาเขา เป็นพวกเพื่อนกินทั้งนั้น ไม่มีใครจริงใจกับเขา จนกระทั่งเขาหมดตัวลงไป กล้วยเองก็ได้แต่สงสารเขา ส่วนลูกสาวทั้งสองคน พริบพรายประสบความสำเร็จในด้านความรัก เธอและนาคิมมีลูกด้วยกันท้องเดียว มากถึงสามคน ด้านหน้าที่การงาน นาคิมก็เป็นเจ้าของสำนักทนายความแห่งหนึ่ง มีชื่อเสียงและเงินทอง ส่วนพริบพรายก็โดดเด่นในด้านการบริหาร การทำร้านอาหารของแม่ พริ้มพราวนั้นมีฝีมือในการทำอาหาร เธอกลับมาช่วยน้องสาวเป็นแม่ครัว เลี้ยงลูก และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย กล้วยมองทุกคนด้วยความสุข ก่อนประตูแห่งแสงสว่างจะมาถึง กล้วยที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เธอเดินเข้าไปในแสงสีขาว หวังว่านั้นคือปลายทางแห่งสัมปรายภพ แต่ทว่า… “ฮูหยิน ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” คำพูดอันแสนแปลกประหลาด เหมือนจะเป็นภาษาจีน แต่มันก็ไม่ใช่จีนกลาง กล้วยไม่ใช่คนพูดภาษาเก่ง แต่เธอก็เคยมีลูกค้าชาวจีนหลายคน คำพูดของเขา สำเนียงของเขามันไม่ใช่แบบนี้เท่าไหร่ แต่น่าแปลกที่เธอกลับฟังมันออก “ที่นี่ที่ไหนหรือ” กล้วยรู้สึกแปลกประหลาด เธอมองไปรอบห้องก็พบว่ามันเป็นห้องที่ทำจากไม้ ดูเหมือนเป็นห้องแบบโบราณ ผู้หญิงตรงหน้าแต่งชุดจีนโบราณตามที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์หรือซีรีย์ “ฮูหยินท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เสียงของสตรีนางนี้พูด กล้วยยิ่งสับสนไปหมด แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วง เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่มองสำรวจไปทั่ว ก่อนจะมองมือไม้ของตัวเอง ปกติเธอมือด้านจะตายไปเนื่องจากเป็นคนที่ทำงานหนักมาโดยตลอด แต่ไม่คิดว่าตอนนี้มือจะสวยขนาดนี้ “เจ้าชื่ออะไร” “ขะ ข้าหรือเจ้าคะ ท่านจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ” “จำไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าเป็นใคร และที่นี่ที่ไหน” กล้วยถามด้วยท่าทางจริงจัง แม้จะรู้สึกหวาดกลัว หากว่าที่นี่เป็นมิติวิญญาณร้ายอะไรกัน เธอก็คงจะแย่ แต่ดูแล้วเหมือนเป็นโลกของคนเป็นมากกว่า “ข้าน้อยชื่อจิงจิงเจ้าค่ะ ส่วนท่านชื่ออวี้ฟางเซียนเจ้าค่ะ” คนตรงหน้ากล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “เช่นนั้นทำไมเจ้าเรียกข้าฮูหยิน ข้าแต่งงานแล้วหรือ แล้วข้าอายุเท่าไหร่แล้ว” “ท่านแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า… แต่ว่า ท่านเพิ่งถูกขุนนางเกาลี่หยาง สามีท่านหย่ามาเจ้าค่ะ พวกเราตอนนี้ถูกขับออกจากจวนสกุลเกามาแล้วเจ้าค่ะ ฮึกก และท่านก็อายุสิบแปดปีเจ้าค่ะ” จิงจิงร้องไห้สะอึกสะอื้น กล้วยได้แต่อึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไร นางชื่ออวี้ฟางเซียนอย่างนั้นหรือ แล้วเพิ่งถูกหย่าร้าง เรื่องราวของโลกจีนโบราณมันคืออะไรกันแน่ “หยุดร้องไห้ก่อน เจ้าจะร้องไห้ทำไม การหย่าของข้ามันเลวร้ายนักหรือ” “ร้ายสิเจ้าคะ ท่านไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย พวกเขาเอาไปหมด อีกอย่างไม่มีบ้านเดิมให้หย่า แต่พวกเขากลับใช้เหตุผลที่ท่านทำร้ายอนุมาเป็นข้ออ้างในการหย่าขาดจากท่าน” จิงจิงเล่าพลางสะอึกสะอื้น กล้วยไม่รู้ธรรมเนียมอะไร แต่ก็รับฟังอย่างตั้งใจ “สามีข้าเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ” “สามีท่าน ขุนนางเกาไม่ได้เลวร้ายเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเหลียนซู นั้นร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ นางใส่ร้ายท่าน เพื่อเอาหลานสาวของตัวเองขึ้นมาแทนที่ท่าน ทรัพย์สินของท่านก็ถูกนางแย่งไปจนหมดสิ้น” “ของของข้า ทำไมผู้อื่นถึงแย่งเอาไปได้กัน ไม่มีรายการทรัพย์สินหรือ” “เพราะท่านตัวคนเดียวเจ้าค่ะ ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครเลย ท่านถึงได้ถูกเอาเปรียบเจ้าค่ะ” “งั้นหรือ ในสายตาของผู้อื่นล่ะ ข้าดูเลวร้ายมากหรือไม่” “มากนักเจ้าค่ะ" จิงจิงกล่าว กล้วยหันไปมองท้องฟ้าก็พบว่ามันเป็นสีมืด เธอเดินไปที่หน้าต่างก่อนจะมองออกไปด้านนอก ท้องฟ้ามืดมิดในเมืองมีไฟแสงสลัวของโคมไฟ ที่นี่เป็นอีกดินแดนจริงด้วย นี่คือการเกิดใหม่ของเธองั้นหรือ… เกิดใหม่ในร่างของผู้อื่น “จิงจิง พรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่ได้หรือไม่ เจ้านอนพักก่อนเถอะ” “ฮะ ฮูหยิน” “เจ้านอนพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดวิธีแก้ไขก่อนเถอะ” กล้วยกล่าว ทั้งสองจึงได้แยกย้ายกันไปนอนเตียงใครเตียงมัน กล้วยนอนเตียงของตัวเองก่อนจะหลับตาลงทั้งที่มีคำถามในใจมากมายที่ยังค้างคาใจไปหมด และหวังว่าหากตื่นขึ้นมาเธอจะได้พบกับหนทางที่จะทราบความจริง ในขณะที่กล้วยกำลังหลับใหลอยู่ เธอได้เห็นเรื่องราวของชีวิตสตรีที่มีนามว่าอวี้ฟางเซียน นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่บิดามารดาตกตายไป พวกเขาเติบโตมาจากชนชั้นธรรมดา ทำให้ไม่ได้มีญาติอะไรอื่นอีก นางแต่งงานให้กับขุนนางเกาลี่หยาง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในจวนสกุลเกา แม่สามีที่เป็นเพียงแม่เลี้ยงคอยกลั้นแกล้งรังแก ใช้ความไม่ฉลาดของนางแย่งชิงทรัพย์สินไปมากมาย อวี้ฟางเซียนนางก็ไม่มีปากพูด นางกลัวว่าจะต้องทะเลาะกับสามี ทำให้นางได้แต่อดทนมาโดยตลอด จนกระทั่งเขาแต่งอนุที่เป็นหลานสาวของแม่ เลี้ยงนามว่า สวี่หยุนหรงเข้ามาภายในจวน ความหึงหวงของอวี้ฟางเซียนจึงกลายเป็นเป้าหมายในการทำลายนาง และสุดท้ายแม่สามีผู้นี้ก็กำจัดนางสำเร็จ “พี่สาว ท่านช่วยข้าแก้ไขชะตากรรมของข้าได้หรือไม่” สตรีที่มีขื่อว่าอวี้ฟางเซียนกล่าว กล้วยหันไปมองอวี้ฟางเซียน ร่างโปร่งแสงเช่นนี้ย่อมไม่แคล้วเป็นวิญญาณ “เธอตายแล้วหรอ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น” “ข้าเพิ่งตาย ข้าไม่รู้เรื่องราวในโลกวิญญาณนักหรอก แต่ข้าเห็นท่านมาอยู่แทนที่ข้า” อวี้ฟางเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ท่าทางของเธอทั้งเสียใจ และเสียดาย กล้วยเข้าใจความรู้สึกดี ชีวิตของคนเรามีอะไรมากมายให้ทำอีกเยอะ แต่บางครั้งเราก็มุ่งหน้า ตั้งใจทำแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องจนพลาดอะไรไปอย่างน่าเสียดาย “ฉันขอโทษ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" “เรื่องราวในโลกยากจะสุดรู้ แต่ข้ารู้ว่าข้าหมดเวลาแล้วจริงๆ ฝากท่านด้วย” อวี้ฟางเซียนกล่าวก่อนนางจะหายเข้าไปในแสงสีขาว กล้วยพยายามเดินตาม เธอไม่ได้อยากอยู่ในโลกเช่นนี้เสียหน่อย เธออยู่ในยุคที่วิทยาการล้ำหน้า ทั้งยังรวมถึงความคิดทัศนคติเช่นนี้ จะทนอยู่ในยุคโบราณแบบนี้ได้ยังไงกัน รุ่งเช้าอากาศปลอดโปร่ง จิงจิงตื่นมาแต่เช้าเพื่อต้มน้ำสะอาดเตรียมล้างหน้าให้กับเจ้านายของตนเอง ยามนี้พวกนางทั้งสองคนอยู่ในโรงเตี๊ยมราคาถูก อวี้ฟางเซียนเหลือเงินติดตัวไม่มาก ทั้งยังต้องออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับใบหย่า กล้วยตื่นมาในร่างของอวี้ฟางเซียน นางได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ยามนี้ก็คงเป็นการกำเนิดใหม่ในรูปแบบที่แสนแปลกประหลาด แต่ถ้าหากว่านี่เป็นลิขิตชะตาฟ้าก็คงต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฮูหยินท่านจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าค่ะ” หลังจากล้างหน้าเสร็จ จิงจิงก็เริ่มถามเจ้านาย เพราะหากต้องอยู่กันอย่างนี้ต่อไป พวกนางสองคนนายบ่าวจะต้องลำบากเป็นแน่ อวี้ฟางเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยน หากว่าทรัพย์สินใดที่เป็นของนางมันย่อมสามารถระบุได้อยู่แล้ว ยิ่งโฉนดหรือตั๋วเงินทั้งหลาย แม้จะเป็นโลกโบราณ แต่กฎหมายบ้านเมืองย่อมมีแน่นอน “เจ้ารู้จักสถานที่ที่เราสามารถไปร้องทุกข์ได้หรือไม่” “มีเจ้าค่ะ ศาลต้าหลี่ กรมอาญา และกรมตรวจตรา” “แล้วข้าสามารถไปร้องเรียนที่ไหนได้” “ศาลต้าหลี่ กับกรมอาญาเจ้าค่ะ แต่ฮูหยิน ถ้าท่านไปที่นั่นล่ะก็…” จิงจิงกล่าวด้วยความเป็นห่วง “เจ้ากลัวข้าจะอับอายใช่หรือไม่” “เจ้าค่ะ” “เจ้ากับข้าลำบากกันถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องอับอาย สกุลเกาสิต้องอับอาย หย่าภรรยาที่ไม่มีบ้านเดิมให้กลับ ผิดธรรมเนียม ทั้งยังยึดทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นของตนเอง แค่นี้เส้นทางขุนนางของเกาลี่หยางย่อมต้องลำบากเป็นอย่างมาก” อวี้ฟางเซียนกล่าว แม้จะไม่รู้เรื่องอะไรมากมาย แต่ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนก็ไม่ต่างกันนักหรอก อีกทั้งเรื่องอับอาย นางคงไม่มีทางอับอายอะไรให้มันเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตไปแน่นอน “พวกเราจะสู้พวกเขาได้หรือเจ้าคะ” “ได้สิ แต่ก็ต้องใช้เล่ห์กลเล็กน้อย” อวี้ฟางเซียนกล่าว จิงจิงพยักหน้า แม้จะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ นางลงไปด้านล่างก่อนจะขอซื้อข้าวอาหารมาให้เจ้านายของตัวเอง “จิงจิง หากเจ้าลงไปให้บอกกับเถ้าแก่ด้วยว่า เอาอาหารที่ถูกที่สุดมาสองชุด” “เจ้าค่ะ” จิงจิงไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี อวี้ฟางเซียนถอนหายใจ พลางมองเหม่อไปที่นอกหน้าต่าง มาถึงก็มีเรื่องท้าทายนางเลยงั้นหรือ สามีชื่อเกาลี่หยาง นางชื่ออวี้ฟางเซียน ทรัพย์สินอะไรก็ไม่รู้ นางก็คงจะต้องศึกษาทุกอย่างก่อนจะไปร้องต่อศาล “นี่อาหารเจ้าค่ะฮูหยิน” จิงจิงนำอาหารมาให้ เป็นข้าวต้มอย่างง่ายกับกับไม่กี่อย่าง ดูแลก็ราคาถูกที่สุดจริงๆนั่นแหละ “จิงจิง เจ้าช่วยเล่าเรื่องราวโดยละเอียดได้หรือไม่ ว่าข้าถูกหย่าเพราะอะไร แล้วก็ข้ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง” อวี้ฟางเซียนกล่าว จิงจิงพยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อวี้ฟางเซียนถูกหย่า เพราะโดนกล่าวหาว่าผลักอนุตกน้ำจนบาดเจ็บ ทั้งยังโบยตีบ่าวจนตาย แต่หลายอย่างเพราะขุนนางเกาลี่หยางถูกเป่าหูจากแม่เลี้ยงที่มีฐานะเป็นเพียงอนุนางหนึ่ง อวี้ฟางเซียนไม่ได้เชื่อนัก เพราะคนที่เป็นระดับขุนนางจะโง่เชื่อได้อย่างไร “อายุของแม่เลี้ยงเกาลี่หยาง อายุเท่าไหร่” “ยี่สิบแปดเจ้าค่ะ” “เกาลี่หยางเล่า” “ยี่สิบห้าเจ้าค่ะ” “อนุสวีหยุนหรงเล่าอายุเท่าไหร่” “สิบเจ็ดปีเจ้าค่ะ” ทันทีที่จิงจิงพูดจบ อวี้ฟางเซียนก็พอจะเดาออก การที่เขายอมเชื่อฟังแม่เลี้ยงที่ต่ำต้อยขนาดนั้น ความสัมพันธ์คงไม่ใช่แค่แม่เลี้ยงหรอก คงจะเป็นมากกว่านั้น อายุของพวกเขาไล่เลี่ยกันเสียขนาดนั้น หากจะบอกว่านางระแวงเกินไป ก็คงเพราะผลกรรมจากเพชรภูมิ แต่ในเรื่องนี้จะบอกว่าเกาลี่หยางข่มขืนแม่เลี้ยงตัวเองก็คงจะไม่ได้ “แล้วทรัพย์สินข้าเล่า” “คุณหนูมีเงินทั้งหมดเจ็ดพันตำลึง ที่ดินอีกหนึ่งพันหมู่ที่เมืองสุ่ยหยวนเจ้าค่ะ รวมทั้งเครื่องประดับทองคำและหยกอีกสองหีบ กับร้านค้าที่เมืองสุ่ยหยวนอีกเจ็ดแห่งเจ้าค่ะ" “มากมายนัก” “ไม่มากเลยเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาท่านถูกคนพวกนั้นขอไปมาก จนเหลือเพียงเท่านี้ แต่ตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรเลย” จิงจิงกล่าวพลางสะอึกสะอื้น อวี้ฟางเซียนถอนหายใจ ชีวิตสตรีช่างยากลำบาก ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน การเกิดเป็นสตรีนั้นมักจะเสียมากกว่าบุรุษ แม้จะโลกอนาคตที่วิทยาการล้ำหน้า แต่สตรีก็มักจะถูกดูแคลนเสมอ ไม่ว่าจะจากชนชั้นไหนก็มีแนวคิดที่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน “อย่าคิดมากเลยจิงจิง ไม่มีอะไรจีรังยั้งยืนหรอก ข้าในตอนนั้นคงคิดไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เราจะไปร้องต่อกรมอาญา ข้าเชื่อว่าพวกเขาย่อมให้ความเป็นธรรม” อวี้ฟางเซียนถอนหายใจ “เจ้าค่ะ” “ว่าแต่ในวันพรุ่งนี้ เจ้าพอจะหาใครมาช่วยเราได้บ้างหรือไม่” “ไม่มีเลยเจ้าค่ะ” “ที่นี่มีพวกสำนักปล่อยข่าว ขายข่าว อะไรเช่นนี้หรือไม่” “ข้าน้อยไม่แน่ใจเจ้าค่ะ แต่ว่าสำนักนางโลมอาจจะมี” “แล้วเจ้าจะไปติดต่อสำนักนางโลมได้อย่างไร” “ฮูหยิน ท่านอาจจะจำไม่ได้ แต่ท่านเคยช่วยแม่นางจี้ไว้ครั้งนึง ยามนี้แม่นางจี้เป็นนางโลมอันดับต้นของหอเมิ่งเพิ่ง นางย่อมช่วยพวกเราได้ ว่าแต่ท่านต้องการขายข่าวอะไรหรือเจ้าคะ” “ข้าไม่แน่ใจว่าเกาลี่หยางเป็นขุนนางระดับใด และยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าหากปล่อยข่าวว่าเขากับแม่เลี้ยงมีสัมพันธ์สวาท โดยนำหลานสาวมาเป็นเหยื่อล่อเพื่อไล่ฮูหยินที่ล้วงรู้ความลับของพวกเขาได้ การที่เราไปร้องเรียนที่กรมอาญาคงจะเป็นเรื่องง่าย” อวี้ฟางเซียนเอ่ย จิงจิงมองเจ้านายของตนเองด้วยความตกใจ และแปลกใจ “ทะ ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” “หมายความว่าเช่นไร” “เรื่องลับของทั้งคู่มีข่าวลืออยู่บ้างเจ้าค่ะ แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะคนที่รู้เรื่องส่วนใหญ่จะไม่มีชีวิตเจ้าค่ะ” จิงจิงกล่าว เรื่องพวกนี้ไม่มีทางหลุดรอดพ้นสายตาของเหล่าบริวาร ข้ารับใช้อยู่แล้ว แต่คนที่ขายตัวเป็นทาสก็คือทาสรับใช้ พวกเขาย่อมไม่มีใครกล้าพูด “สิ่งที่ข้าคิดเป็นความจริงเสียด้วย เอาเถอะ หากว่าแม่นางจี้ผู้นั้นจะช่วยเผยแพร่เรื่องพวกนี้ได้ เจ้าก็วานให้นางทำให้พวกเราหน่อย หากจะคิดเงินอย่างไรก็ขอให้ไม่มากนัก เพราะข้าไม่มีเงินจะให้แก่นาง” อวี้ฟางเซียนกล่าว การจะไปฟ้องร้องขอเงินคืนนั้น นางแทบไม่รู้เลยว่าจะได้คืนมาครบไหม อย่างที่ดินก็คงได้เงินคืนไม่ยาก แต่กลับพวกเงินทอง หรือเครื่องประดับ ก็น่าจะสูญหายไปจำนวนมากแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม