เช้าอีกวันตื่นขึ้นมาวันนี้อวี้ฟางเซียนนำตลับแป้งมาทาผิวให้มีความขาว ก่อนจะใช้น้ำซับหน้าแล้วเช็ดอีกทีให้แป้งติดผิวดีกว่าเดิม ทั้งยังทาที่ปากให้ดูซีดป่วย เสื้อผ้าก็เลือกชุดที่พอดีกับตัวทั้งยังเป็นชุดเก่าที่สุดในทุกชุด จิงจิงได้แต่มองเจ้านายด้วยความแปลกประหลาดใจ
“ฮูหยินทำอะไรเจ้าคะ”
“ก็ทำตัวเองให้ดูน่าสงสารอย่างไรเล่า” อวี้ฟางเซียนกล่าว นางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปพร้อมจิงจิง ทุกคนมองดูนางด้วยสายตาอันแสนแปลกประหลาด
“เมื่อเช้าข้าเดินลงมา ก็พอทราบแล้วว่าแม่นางจี้กระจายเรื่องราวที่ท่านต้องการหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“นางทำได้รวดเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ฮูหยินเรื่องของท่านเป็นที่สนใจของคนในเมืองมากนักเจ้าค่ะ เดิมท่านถูกผู้คนติฉินนินทาว่าเป็นสตรีร้ายกาจ พอท่านถูกหย่าขาดจากสามีผู้คนก็พากันเย้ยหยันท่าน แต่พอพวกเขาได้ฟังเรื่องในมุมอีกด้านที่แม่นางจี้ปล่อยออกมา ทำให้ทุกคนเริ่มพูดถึงเรื่องของท่านเจ้าค่ะ” จิงจิงกล่าวออกมา อวี้ฟางเซียนขมวดคิ้วมองจิงจิง นางเป็นคนฉลาดไม่น้อย
“เจ้าฉลาดขนาดนี้ ที่ผ่านมาข้าไม่ได้อะไรจากเจ้าบ้างเลยหรือ”
“ฮูหยินไม่เคยฟังข้าเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเองหรือ ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้เจ้ามีอะไรก็บอกข้าได้เลยนะ ข้าจะรับฟังเจ้า” อวี้ฟางเซียนบอก จิงจิงยิ้มให้กับเจ้านายของตนเองที่ยอมรับฟังนางเสียที
“แม่นางท่านมาที่กรมอาญา มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” ชายผู้หนึ่งกล่าว เขามองสตรีตรงหน้าที่มีรูปลักษณ์งดงาม แต่ใบหน้ากลับซีดขาวเหมือนคนกำลังป่วย ทั้งท่าทางยังดูอ่อนแรง แต่พอพินิจดูให้ดี สตรีนางนี้ก็คืออวี้ฟางเซียน อดีตฮูหยินของขุนนางเกาลี่หยางที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในวันนี้ คิดดูแล้วก็น่าสงสารนางนัก ไม่มีบ้านเดิมให้กลับห้ามหย่า แต่ยังกล้าหย่า ผิดธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรงนัก
“ข้าอยากมาขอความเมตตาจากเจ้ากรมอาญาเจ้าค่ะ” น้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพ และท่าทางที่ไม่ได้อวดดีตามประสาลูกผู้ดี แต่กลับมีท่าทีอ่อนน้อม แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงขุนนางอาลักษณ์ซ่างซู แต่นางยังแสดงถึงความเคารพให้เกียรติเขา
“แม่นางต้องการมาร้องเรียนเรื่องอะไรหรือขอรับ”
“ข้าต้องการให้ท่านเจ้ากรมอาญาช่วยเหลือข้า ข้าถูกครอบครัวสามียึดทรัพย์สินไว้จนหมด ฮึก… ข้าไม่ได้อยากจะได้คืนทั้งหมด แต่ข้าอยากได้ของต่างหน้าของมารดาข้า กับที่ดินสักผืนคืนเท่านั้น ข้าน้อยไม่มีที่ไป เงินก็เหลือเพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น หากต้องใช้ชีวิตกันเองสองคนนายบ่าว ข้าน้อยก็ไม่รู้จะทำยังไงเจ้าค่ะ” อวี้ฟางเซียนเอ่ยหน้าเศร้า ซ่างซูตรงหน้าได้มองด้วยความสงสาร
“เช่นนั้นเชิญแม่นางนั่งรอก่อนเถิดขอรับ ข้าจะไปรายงานเจ้ากรมอาญาให้ท่าน” ซ่างซูคนนั้นกล่าว ภายในใจของเขาตำหนิเกาลี่หยางยิ่งนัก ฮูหยินที่ดีอ่อนหวานเช่นนี้กลับไปได้เสียกับแม่เลี้ยงที่เป็นอนุชั้นต่ำผู้หนึ่ง ทอดทิ้งฮูหยินเอกของตนเอง ทั้งยังใช้สิทธิ์อันใดไปยึดทรัพย์สินนางกัน
“ท่านเจ้ากรมขอรับ” ซ่างซูที่ขออนุญาตเข้ามาพบฉินอี้กง เขาเป็นเจ้ากรมอาญาคนปัจจุบัน ลำดับตำแหน่งขุนนางขั้นสอง ถือว่าตำแหน่งระดับสูง และซ่างซูเช่นเขาแทบไม่มีสิทธิ์ขอพบ แต่เพราะแจ้งว่าเป็นเหตุสำคัญ เจ้ากรมฉินอี้กงจึงยอมให้ซ่างซู อาลักษณ์ธรรมดาเข้าพบ
“รู้ใช่หรือไม่ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริง เจ้าจะมีโทษอย่างไร” เจ้ากรมอาญากล่าว เขาเป็นคนเที่ยงธรรม มีเหตุมีผล และการที่ซ่างซูผู้นี้ขอเข้าพบเขา หากไม่สำคัญก็ต้องลงโทษให้หลาบจำ
“ขอรับ แม่นางอวี้ฟางเซียนมาขอร้องเรียนต่อท่าน”
“เจ้าอยากโดนลงโทษหรือ นางมาร้องเรียนก็ให้นางเขียนขอมา ไม่ใช่มาบอกข้าโดยตรง” ฉินอี้กงไม่รู้จักอวี้ฟางเซียน เขาตำหนิซ่างซูตรงหน้าทันทีด้วยความโมโห แต่ซ่างซูตรงหน้ากลับไม่ได้ทำท่าหวาดกลัวอะไร
“ท่านได้ยินเรื่องของสกุลเกาหรือไม่ขอรับ”
“เรื่องอันใด”
“เรื่องที่เขาหย่าฮูหยินของตนเองขอรับ”
“เรื่องอันใด ทำไมเจ้าถึงมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ”
“ขุนนางเกาลี่หยางหย่าฮูหยินเอกของตนเองด้วยข้อหาทำร้ายอนุ หย่าทั้งที่นางไม่มีบ้านเดิมให้กลับ และยังมีข่าวลือว่าเขาและอนุสวีแม่เลี้ยงมีสัมพันธ์พิเศษต่อกันขอรับ วันนี้ที่อวี้ฟางเซียนอดีตฮูหยินมาร้องเรียน เพราะสกุลเกายึดทรัพย์สินเดิมของนางขอรับ นางเหลือเงินติดตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากข้าน้อยไม่มารายงานท่านเจ้ากรมโดยตรง ก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมของแม่นางอวี้จะเป็นเช่นไรขอรับ” ซ่างซูกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ความจริงเรื่องนี้เขาเองก็ได้ยินจากฮูหยินมาบ้าง อนุสวีอนุคนโปรดของบิดาขุนนางเกาลี่หยางที่จากไป นางมีหน้าตางดงามเป็นที่เลื่องลือในหมู่ขุนนางรุ่นเดียวกับเขาไม่น้อย หลายคนพากันอิจฉาทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วเรื่องที่บุตรชายจะใช้เมียต่อจากพ่อ มันก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่มันผิดธรรมเนียมปฎิบัติ เรื่องนี้หากเขานำความก็จะเป็นเรื่องราวบาดหมางกับคนแซ่เกา แต่หากว่าเขาให้ความเป็นธรรมต่อแม่นางอวี้ เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่สร้างเสริมคุณธรรมให้แก่เขา
“งั้นเจ้าไปตามแม่นางอวี้มาพบข้า”
“ขอรับท่านเจ้ากรม” ซ่างซูรับคำก่อนจะออกไปด้านนอกเพื่อตามแม่นางอวี้ให้เข้ามาพบท่านเจ้ากรมอาญา อวี้ฟางเซียนรับคำก่อนจะตามมาด้วยความตื่นเต้น โลกภายนอกในยุคโบราณเป็นอะไรที่เธอไม่เคยเห็น ทุกอย่างเป็นโบราณหมด แจกันธรรมดาในยุคนี้อาจจะมีค่าหลักแสนหลักล้านในยุคปัจจุบันที่เธอจากมา
“แม่นางอวี้เชิญด้านในขอรับ”
“ขอบคุณท่านมากเลยเจ้าค่ะ” อวี้ฟางเซียนกล่าวก่อนจะค้อมศรีษะอย่างสุภาพก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน นางเห็นขุนนางวัยกลางคนที่กำลังนั่งรอนาง เขาคือเจ้ากรมอาญา จิงจิงบอกว่าตำแหน่งขุนนางระดับนี้ถือว่าสูงไม่น้อย เพราะเกาลี่หยางเป็นขุนนางระดับขั้นห้า แม้จะไม่อาจเทียบกับขุนนางระดับสูงได้ แต่ถ้าเทียบกับระดับฐานะทางสังคมถือว่าสูงมากทีเดียว
“ข้าน้อยคารวะท่านเจ้ากรมเจ้าค่ะ” อวี้ฟางเซียนเอ่ยอย่างสุภาพ ฉินอี้กงมองสตรีตรงหน้า รูปโฉมแม้ไม่งดงามล่มเมือง แต่ก็ถือว่าเป็นสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่ง เขาจำได้ว่านางเป็นบุตรสาวอดีตเจ้าเมืองสุ่ยหยวน น่าเสียดายบิดามารดาด่วนจากไปเร็ว ทำให้นางต้องกำพร้าตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ชีวิตของนางต้องมาแต่งให้กับขุนนางที่ต่ำต้อยเช่นนี้
“แม่นางอวี้เจ้านั่งลงเถอะ เจ้าช่วยเล่าเรื่องราวความจริงให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“นี่หนังสือหย่าของข้าเจ้าค่ะ ความจริงที่ข้ามาในวันนี้ไม่ได้ต้องการร้องเรียน หรือเอาผิดใครทั้งนั้น แต่ข้าเพียงอยากได้ทรัพย์สินที่เป็นสินเดิมของข้าคืนเจ้าค่ะ ข้าไม่มีอะไรติดตัว จึงได้มาขอร้องให้เจ้ากรมอาญาช่วยเหลือข้าเรื่องนี้เจ้าค่ะ” อวี้ฟางเซียนกล่าว ฉินอี้กงพยักหน้า เรื่องเช่นนี้สกุลเกานับว่าหยาบช้ายิ่งนัก หย่าขาดนาง ทั้งยังยึดสินเดิมของนางจนสิ้น
“ข้าจะรับเรื่องของเจ้าไว้ และเรียกขุนนางเกาลี่หยางมาในวันพรุ่งนี้เพื่อทำการไต่สวน แล้วเรื่องที่เขากับอนุผู้เป็นแม่เลี้ยง เจ้ารู้เรื่องด้วยหรือไม่”
“เรื่องนี้ข้า… ขะ ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ”
“บอกข้ามาเถอะ”
“เรื่องนี้ใครที่ยุ่งมักจะหายสาปสูญ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นกับตา แต่ที่ผ่านมาข้าไม่อาจแตะต้องแม่เลี้ยงผู้นี้ได้เลยเจ้าค่ะ” อวี้ฟางเซียนกล่าว ฉินอี้กงพยักหน้าเขาเชิญอวี้ฟางเซียนกลับไปก่อน แล้วค่อยมาในวันไต่สวนพรุ่งนี้ ความจริงคดีนี้จะผลักให้ศาลเมืองเป็นผู้ดูแลก็ได้ แต่หากเขารับทำคดีนี้ไว้ ก็จะสร้างชื่อเสียงไม่น้อย นางก็นับว่ามาได้ถูกที่ยิ่งนัก เพราะกรมอาญา เมื่อทำการไต่สวน สามารถส่งทหารไปค้นจวนได้ทันที มีอำนาจมากกว่าศาลยิ่งนัก
“ฮูหยินท่านว่าเจ้ากรมอาญาจะเข้าข้างพวกเราไหมเจ้าคะ” จิงจิงถามด้วยความเป็นกังวล ยามนี้อวี้ฟางเซียนไม่ได้เดินกลับไปที่โรงเตี๊ยมราคาถูกทันที แต่นางกลับตรงไปยังวัดด้วยการเดินระยะทางไกล ผู้คนต่างก็เมียงมอง เพราะยามนี้เรื่องนี้ในเมืองหลวงค่อนข้างโด่งดังยิ่งนัก
“ช่วยสิ เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เพียงยึดสินเดิมของฮูหยิน ไม่เพียงแค่เรื่องหย่า แต่ผู้คนสนใจเรื่องในมุ้งของเกาลี่หยางกับอนุสวีแม่เลี้ยงมากกว่า” อวี้ฟางเซียนกล่าว ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนเรื่องคดีความยุติธรรมอะไรพวกนี้ ผู้คนสนใจประเดี๋ยวเดียวก็ต่างพากันลืมทั้งนั้น ไม่มีใครจดจำได้หรอก แต่ถ้าหากเป็นเรื่องสามีภรรยา เรื่องในมุ้ง ผู้คนย่อมให้ความสนใจ
“แต่เรื่องที่เกาลี่หยางทำเช่นนี้ จะทำให้ท่านมัวหมองนะเจ้าคะ”
“แล้วทุกวันนี้ไม่มัวหมองหรือ เป็นสตรีหม้ายสามีหย่าเพราะทำร้ายอนุ จะมีชื่อเสียงดีใดเหลืออยู่” อวี้ฟางเซียนกล่าว นางเคยอ่านหนังสือในอดีตสตรีหม้ายไม่ต่างจากความชั่วร้าย ไม่ว่าจะความผิดอะไรก็ล้วนนำมาลงที่สตรีเสมอ นางเชื่อว่าที่นี่ก็คงไม่แตกต่างกัน
“แล้วท่านจะไปวัดทำไมหรือเจ้าค่ะ”
“วันพรุ่งนี้จะมีการไต่สวน ข้าเองก็อยากให้ข่าวที่ถูกปล่อยออกไปเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง”
“ท่านอยากให้ผู้คนสงสารท่านหรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ ข้าอยากเป็นสตรีที่ใครก็ต่างพากันสงสาร ยิ่งคนสงสารยิ่งดี ให้ข้าเหมือนถูกผู้อื่นรังแกนี่จะดียิ่งนัก" อวี้ฟางเซียนกล่าว จิงจิงยกยิ้มอย่างพอใจที่เจ้านายของตนเองดูเหมือนจะคิดได้มากขึ้นไปทุกที จนนางเองก็แทบจะตามความคิดของเจ้านายไม่ทัน
“ท่านอดทนนะเจ้าคะ เดินไปวัดนั้นไกลยิ่งนัก”
“ได้ ไม่เป็นอะไรหรอก เดินไปช้าแบบนี้เนี่ยแหละ ให้คนเห็นกันทั่ว” อวี้ฟางเซียนกล่าว ทั้งคู่เดินกันไปจนถึงวัด ซึ่งวัดในเมืองหลวงนั้นไกลมากจากที่พวกนางอยู่กันจริงๆ อวี้ฟางเซียนเดินเข้าไปในอารามเพื่อทำการสักการะพระพุทธองค์ นางมองสถาปัตยกรรมภายใน และตัวองค์พระด้วยความสนใจ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม อารยธรรม ทั้งหลายจะมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ละพื้นที่ประเทศ พระพุทธรูปก็มักจะแตกต่างกัน ซึ่งจะอยู่กับบริบท และศิลปะในช่วงเวลาเหล่านั้น นางไม่ได้มีความรู้ด้านนี้นัก ชาติก่อนก็ได้แต่ทำอาหารเท่านั้น
“แม่นาง เจ้ามาไหว้พระขอพรหรือ” หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเข้าหา จิงจิงทำท่าจะขับไล่หญิงนางนั้น แต่อวี้ฟางเซียนกลับจับมือเชิงห้ามปราม
“พี่สาวมีอะไรหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานท่าทางสุภาพ และคำพูดที่น่าฟังทำให้หญิงวัยกลางคนอดยิ้มออกมาด้วยความชอบใจไม่ได้ เพราะคนตรงหน้าอ่อนเยาว์พอกับบุตรสาวของนาง แต่กลับเรียกขานนางว่าพี่สาว ใครบ้างเล่าจะไม่ชมชอบ
“แหม… เจ้าก็ช่างปากหวาน พี่สาวอะไรกันเล่า ข้าน่ะแก่มากแล้ว”
“พี่สาว ท่านจะแก่สักเท่าไหร่กันเชียว อย่างมากก็คงอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี”
“เจ้านี่นะ ว่าแต่เจ้าใช่อดีตฮูหยินขุนนางแซ่เกาหรือไม่” สตรีวัยกลางคนตรงหน้ากล่าว เพราะเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าดูเป็นคนเข้าถึงง่าย ทั้งที่นางเป็นชนชั้นสูง แต่ท่าทางกลับไม่ได้ถือตัว โดยไม่รู้เลยว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่การสร้างภาพ คนในอดีตจะติดกับคำว่าคนละชนชั้น หรือฐานะที่สูงกว่า
“เจ้าค่ะ พี่สาวมีสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“เห้อ… ข้าล่ะเห็นใจเจ้านัก ได้ข่าวว่าเจ้าไม่มีบ้านเดิมให้กลับ เช่นนี้เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” สตรีวัยกลางคนกล่าว อวี้ฟางเซียนยิ้มท่าทางอ่อนใจ ที่เข้ามาคุยกับนางก็คงต้องการถามเรื่องราวพวกนี้ นางเองก็ชอบนัก สตรีที่ทางเช่นนี้ ย่อมเป็นศูนย์กลางการกระจายข่าวสารของเมืองทีเดียว
“ข้าไม่เหลืออะไรติดตัวเลย ข้าคงต้องรอให้เจ้ากรมอาญาช่วยจัดการให้ขุนนางเกายอมคืนสินเดิมของข้ามาเจ้าค่ะ ถึงจะสามารถมีเงิน มีโฉนดที่ดินกลับเมืองสุ่ยหยวน บ้านเกิดได้” อวี้ฟางเซียนกล่าวเหมือนกำลังคุยปลดทุกข์กับคนตรงหน้า สตรีวัยกลางคนไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้กับปากของอวี้ฟางเซียนก็นึกสงสาร สตรีที่มาจากตระกูลใหญ่ นางเหลือเพียงตัวคนเดียว ถูกครอบครัวสามีกลั่นแกล้ง สินเดิมของนางแท้ๆยังริบไปได้อย่างไร
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือที่สกุลเกาทำเช่นนี้กับเจ้า”
“ข้าไม่คิดจะพูดปดต่อหน้าพระพุทธองค์หรอกเจ้าค่ะ ตัวข้าไม่เหลือใครเลย มีเพียงข้ากับจิงจิงสองคน ทรัพย์สินก็ไม่มี ข้าจึงต้องไปร้องเรียนหวังให้ท่านเจ้ากรมอาญาช่วยเหลือ ชีวิตของข้าย่ำแย่ยิ่งนักเจ้าค่ะ” อวี้ฟางเซียนเอ่ยออกมา จิงจิงได้แต่นั่งเศร้า เพราะทุกเรื่องที่เจ้านายของนางพูดล้วนเป็นความจริง เรื่องราวการหึงหวงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากทุกคนได้เห็นถึงการกระทำอันโฉดชั่วของเกาลี่หยาง ก็คงไม่แปลกใจว่าเจ้านายของนาง เหตุใดจึงหึงหวง เกาลี่หยางไม่เพียงไม่ให้เกียรตินาง แต่อำนาจในจวนกลับยกให้แม่เลี้ยงที่ต่ำต้อยเป็นเพียงอนุชั้นต่ำนางหนึ่งเท่านั้น