“ก็บอกว่าไม่ได้รังเกียจไงคะ แต่ได้กลิ่นแล้วมันคลื่นไส้อยากอ้วก แล้วก็จามน้ำมูกไหลอยู่แบบนี้” เอรินดึงทิชชูมาเช็ดน้ำมูกตัวเองไปพลาง ๆ
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะคุณเอริน ปล่อยให้ผมจิตตกมาได้ตลอดทั้งวัน”
“ก็มันไม่ใช่ความผิดคุณนี่คะ รินจะกล้าไปบอกได้ยังไงว่ารินแพ้กลิ่นน้ำหอมของคุณ รินต้องจัดการที่ตัวเองค่ะ”
“กรรมจริง ๆ แล้วแพ้ทุกชนิดเลยไหมไอ้น้ำหอมนี่ คนอื่นในแผนกรู้ไหมทำไมคุณทำงานกับเขาได้ปกติ”
“ทุกคนรู้ค่ะ พวกเขาพยายามใส่น้ำหอมกลิ่นที่รินไม่แพ้ พวกที่ไม่มีแอลกอฮอล์ก็พอช่วยได้ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้เขาก็จะไม่มาใกล้รินค่ะ” หญิงสาวอธิบายให้เขาเข้าใจ
“หมายความว่ายังไง” คริสไม่เข้าใจในสิ่งที่เอรินกำลังบอกเขาอยู่
“คือส่วนใหญ่รินจะแพ้น้ำหอมที่ใส่แอลกอฮอล์ค่ะ อันไหนไม่ใส่บางทีก็ไม่แพ้ ฮัดชิ้ว !” เอรินพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ยิ่งอยู่ใกล้กันแบบนี้เธอยิ่งจามไม่ยอมหยุด
“คุณคริสเปิดกระจกได้ไหมคะ” คนถามน้ำมูกใส ๆ ไหลย้อยออกมา เจ้าตัวรีบดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ด
คริสกุมขมับรู้สึกปวดหัวตามหญิงสาวขึ้นมา เขายอมเปิดกระจกแง้ม ๆ ให้ลมพัดผ่าน ขับรถพาหญิงสาวไปหาร้านตัดแว่นตา ระหว่างทางอาการของเอรินดูแย่จริง ๆ หญิงสาวเหมือนคนเหนื่อยล้าเต็มทน ไม่คิดว่ากลิ่นน้ำหอมที่เขาภูมิใจใช้หนักหนา จะส่งผลรุนแรงต่อหญิงสาวได้ขนาดนี้
“ร้านนี้ดีไหม” คริสถามหลังขับรถมาจอดอยู่หน้าร้านตัดแว่นตาแห่งหนึ่ง
“ร้านไหนก็ได้ค่ะตอนนี้ ขอแค่รินมีแว่นตาใส่ให้มองเห็นทางกลับบ้านก็พอ” เอรินพูดแล้วทำหน้าละห้อย พยายามปรือตามองไปรอบ ๆ แต่ก็เจอแต่ภาพขมุกขมัวเต็มไปหมด
“ลงดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวรถชนเอา อย่าเพิ่งลงดีกว่าเดี๋ยวผมเปิดประตูให้อันตราย” คริสรีบดับเครื่องเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เอรินอีกฝั่ง เขาจับมือหญิงสาวพาเข้าร้านแว่นตาไป
เอรินใช้เวลาเลือกแว่นตาสำเร็จรูป ขนาดใกล้เคียงกับสายตามาสวมใส่ก่อน จากนั้นค่อยสั่งตัดแว่นแบบที่เธอต้องใช้จริงในชีวิตประจำวัน คริสเลือกที่จะยืนอยู่แบบห่าง ๆ ไม่อยากให้หญิงสาวต้องมีอาการจามน้ำมูกไหลในตอนนี้
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมกำหนดวันนัดหมายมารับแว่นตา โดยคริสเป็นคนจ่ายค่าแว่นตาทั้งหมดของหญิงสาวเอง
“คุณคริสไม่ต้องไปส่งรินแล้วก็ได้ค่ะ รินมีแว่นตาแล้วนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองได้ค่ะ” เอรินบอกเขาอย่างอารมณ์ดี หลังจากสามารถมองเห็นได้ตามปกติแล้ว แม้ไม่ชัดเท่าแว่นตาอันเก่า แต่ยังดีกว่าเบลอไปหมดเหมือนตอนแรก
“ได้สมใจก็ถีบหัวส่งเลยนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะคุณคริส รินเกรงใจน่ะค่ะ อีกอย่างคุณคริสจะได้ไม่ต้องเปิดกระจกขับรถด้วยไงคะ ฝุ่นละอองเต็มไปหมด” เอรินให้เหตุผลเขา
“ถ้าเจอแท็กซี่ใช้น้ำหอมที่แพ้ล่ะ”
“เอ่อ ก็ทน ๆ นั่งไปก่อนค่ะ”
“งั้นจะต่างอะไรกับนั่งรถผมกลับล่ะเอริน ไปอย่าเรื่องมาก ไหน ๆ ก็ต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน ทำความรู้จักเรื่องบ้านกันสักหน่อยคงไม่เป็นไร” คริสไม่ต้องรอคำตอบ เขาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งรอ
“เอาแต่ใจชะมัด” เอรินจำต้องขึ้นรถเขากลับบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างทางทั้งคู่แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเป็นเรื่องราว เพราะเอรินเอาแต่หันหน้าออกทางหน้าต่างเพื่อรับลม คริสแอบดมกลิ่นน้ำหอมตัวเองดูอีกรอบ ก็ยังพบว่ากลิ่นหอมใช้ได้สาว ๆ หลงใหลได้ปลื้มกับกลิ่นนี้อยู่ไม่น้อย ทำไมแม่เลขาหน้าตาจืด ๆ คนนี้ถึงได้แพ้กลิ่นนี้ได้ พิลึกคนจริง
“ที่บ้านคุณอยู่กับใคร” ระหว่างรถเลี้ยวเข้าซอยแคบ ๆ ตามที่เอรินบอก คริสก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“อยู่กับพ่อแม่ค่ะ”
“พ่อแม่”
“ใช่ค่ะ”
“พวกท่านทำอาชีพอะไร”
“นี่ซักประวัติกันเหรอคะคุณคริส ไม่เห็นจะเกี่ยวกับงานตรงไหน” เอรินไม่อยากตอบคำถามของครอบครัวตนเอง กับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่วันแรก
“ไม่ได้ซักแค่อยากทำความรู้จักกับเลขาตัวเองเอาไว้ ผมผิดตรงไหน พรุ่งนี้คุณต้องมาบรีฟงานให้ผมด้วยนะ”
“พรุ่งนี้วันหยุดนะคะ”
“ผมจ้างโอทีคุณเอง วันนี้คุณทำผมเสียอารมณ์แทบไม่อยากดูงานต่อเลย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้คุณมาแก้ตัวก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ” คนอยากหยุดหน้างอขึ้นทันตา ทว่าแก้มป่อง ๆ นั่นกลับทำให้คนขับอมยิ้มนิด ๆ ขึ้นมาได้
บ้านไม้สองชั้นมีรั้วเหล็กปิดมิดชิด ด้านหน้ามีต้นไม้ร่มรื่นไม่น้อย เอรินไม่ได้เชิญเจ้านายเข้าบ้าน
“เอาไว้วันหลังค่อยเข้าบ้านนะคะวันนี้มืดแล้ว ขืนเข้าไปตอนนี้ไม่ได้กลับง่ายแน่ ๆ พ่อกับแม่คุยเก่งค่ะ” เอรินบอกอย่างเกรงใจ หรืออีกทางเขาอาจถูกซักจนแทบอยากหนีกลับก็ว่าได้
“ตามใจอย่าลืมนัดพรุ่งนี้นะ”
“ค่ะไม่ลืมแน่นอน แล้วก็ขอบคุณคุณคริสที่มาส่งรินนะคะ ขอบคุณเรื่องแว่นตาด้วยค่ะ” เอรินยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณเขา หญิงสาวยืนส่งเขาจนรถของคริสแล่นลับสายตา จึงได้ไขกุญแจเข้าบ้านตัวเองไป