2
-เลขากับเจ้านาย-
เอรินเตรียมตัวสำหรับการออกไปทำงานกับเจ้านายในวันหยุด ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาสี่ปีหญิงสาวยังไม่เคยทำงานวันหยุดสักครั้ง มีแค่ออกไปทำงานนอกสถานที่กับเจ้านาย ส่วนใหญ่ก็วันทำงานปกติ เอรินเลือกแต่งตัวแบบสบาย ๆ เสื้อยืดคอกลมสวมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวกางเกงยีนขายาว หยิบแว่นมาสวมพร้อมเดินทางออกไปทำงาน
“รินลูกไปทำงานวันเสาร์ด้วยเหรอ” นายเติมศักดิ์ถามลูกสาวอย่างแปลกใจ ในมือถือบัวรดน้ำต้นไม้ในกระถางไปด้วย
“ค่ะพ่อ เจ้านายคนใหม่ให้ไปทำงานค่ะ”
“นาน ๆ จะเห็นออกจากบ้านวันหยุดนะลูกสาวแม่” นางอิงอรเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับตะกร้าของสด ที่เพิ่งกลับจากการไปจ่ายตลาดมา
“อดกินขนมจีนแกงเขียวหวานไก่แม่เลยวันนี้” คนเป็นลูกสาวทำหน้าเสียดายเมนูสุดโปรดของตนเอง ซึ่งนัดแนะกับมารดาไว้ก่อนหน้าแล้วว่าจะทำด้วยกันในวันนี้
“กลับมาก็ได้กินแล้ว พ่อไม่กินหมดหรอกลูก” ผู้เป็นพ่อหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี เรื่องกินนั้นเรื่องใหญ่สำหรับสองพ่อลูก
“รินไปแล้วนะคะ พ่อกับแม่ก็อย่าทะเลาะกันล่ะ” เอรินเดินออกจากบ้านไปพร้อมเสียงหัวเราะสดใส
“อย่าลืมแมสนะริน” เสียงคนเป็นแม่ตะโกนตามหลังลูกสาวไป เพราะรู้ว่าการเดินทางในแต่ละวันเอรินจะขาดหน้ากากอนามัยไม่ได้
“เดี๋ยวนี้ลูกคนนี้นี่มันสั่งสอนพ่อแม่มันแล้วนะเนี่ย”
“ลูกก็พูดเล่นน่าพ่อคิดมากไป แม่ไปเตรียมทำขนมจีนดีกว่า” นางอิงอรส่ายหน้าใส่สามีก่อนเดินเข้าไปทำกับข้าวในห้องครัว
เอรินโบกวินหน้าบ้านแล้วไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอยต่อ เดินทางไม่สามสิบนาทีก็ถึงตึกที่ทำงาน หากเป็นวันธรรมดาเธอต้องออกจากบ้านก่อนเวลาเป็นชั่วโมง เป็นเช้าวันที่อากาศสดใสได้เห็นชีวิตผู้คนมากมายบนท้องถนน หญิงสาวเคยคิดว่าชีวิตนี้อยู่ไปเพื่ออะไร ตื่นเช้ามาแย่งกันขึ้นรถไปทำงาน แย่งกันกินข้าวเที่ยง และเลวร้ายที่สุดคือแย่งกันกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านได้สายตัวก็แทบขาด ไม่มีความตื่นเต้นเร้าใจหรือสิ่งแปลกใหม่ในแต่ละวัน ชีวิตน่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
หญิงสาวเดินเข้าที่ทำงาน ก็ถอดหน้ากากอนามัยออกเก็บใส่กระเป๋าไว้ วันนี้ที่แผนกไม่มีคนมาทำงานเลยจึงมืดสลัวพอสมควร มีแค่ห้องทำงานของคริสที่เปิดไฟไว้ เอรินเดินเข้าเคาะประตูห้องเขาเบา ๆ ได้รับเสียงอนุญาตก็เปิดเข้าไป
บรรยากาศภายในห้องทำงานนั้นผิดปกติอย่างรุนแรง เพราะมีผู้หญิงสวยคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกอยู่มุมห้อง ขณะที่เจ้านายของเธอยืนหันหลังออกไปทางกระจกหน้าต่าง
“มีนคงต้องกลับแล้วนะคะคริส คงไม่ได้เจอกันอีกนาน ลาก่อนค่ะ” สาวสวยผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดเดรสเรียบหรูเอ่ยพร้อมกับเดินออกจากห้องไป ส่วนคริสนั้นยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับมามองด้วยซ้ำ
เอรินยิ้มให้หญิงสาวที่เดินผ่านหน้าไป ซึ่งเจ้าตัวก็หันมายิ้มนิด ๆ ให้เธอเหมือนกัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนนี้ต้องเป็นคนพิเศษของเจ้านายเธอแน่ ทว่าทำไมคำว่าลาก่อนที่เอ่ยออกมานั้น มันถึงได้เศร้านักก็ไม่รู้
“คุณคริสติดธุระบอกรินก็ได้นะคะ รินกลับบ้านก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก นั่งลงก่อนสิคุณเอริน” คริสบอกพร้อมหันหน้ากลับมา สายตาของเขาเย็นชาจนเอรินใจหาย แต่ก็แอบซ่อนความเศร้าอยู่ลึก ๆ ข้างใน
“ผมอยากให้คุณช่วยบรีฟงานที่จำเป็นทั้งหมดให้หน่อย เอาที่สำคัญ ๆ ที่ผมต้องรู้” คริสเลื่อนแฟ้มเอกสารไปตรงหน้าของเลขาของตนเอง แววตาเขายังหม่นอยู่จากเหตุการณ์ก่อนหน้า
เอรินเอื้อมมือไปรับแฟ้มเอกสารมาจากเขา คริสมาในชุดลำลองดูสบายไม่ได้เซตผม ผมด้านหน้าเลยตกลงมาตรงหน้าผาก รองรับกับจมูกโด่ง ๆ กรอบหน้าคมเข้ม ตามฉบับผู้ชายไทยแท้ ทำให้วันนี้เขาดูอ่อนวัยกว่าเมื่อวานที่เจอกัน
“แว่นตาอันใหม่ใส่แล้วเป็นไงบ้าง” คริสถามคนที่กะพริบตาถี่ ๆ มือก็เปิดแฟ้มเอกสารงานตรงหน้าไปด้วย
“ยังไม่ชินเลยค่ะทำให้ปวดตานิด ๆ อยู่ แว่นพวกนี้ไม่พอดีกับสายตาเท่าไหร่ต้องรออันที่ตัดใหม่ค่ะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรใส่” เอรินยิ้มให้เขา
“คุณไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเหรอเอริน ผมขอเรียกคุณว่ารินเฉย ๆ นะ เรียกง่ายใช้คล่องดี”
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ” เอรินงงว่าเขาต้องการเรียกง่ายใช้คล่องจริงหรือ ก่อนจะทวนคำถามเขาใหม่
“เมื่อกี้คุณคริสถามว่ารินไม่แปลกใจ แปลกใจอะไรคะ”
“ก็วันนี้คุณไม่จามไม่น้ำมูกไหล”
“นั่นสิคะ แปลกจัง” เอรินทำจมูกฟุดฟิดไปใกล้เจ้านาย หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อหากลิ่น ใกล้จนจะถึงซอกคออยู่แล้ว
“ริน” คริสเตือนก่อนที่จะถูกหญิงสาวไซ้ซอกคอจริง ๆ
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ คุณคริสใส่น้ำหอมนี่คะ” หญิงสาวบอกเขาอย่างรู้ว่าใกล้เกินไปแล้ว
“ไม่มีแอลกอฮอล์” ชายหนุ่มเฉลยในที่สุด
“ลำบากคุณคริสเลยนะคะแบบนี้ รินขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรผมเพิ่งไปซื้อเมื่อวานหลังจากไปส่งคุณที่บ้าน คิดว่าต้องทำงานใกล้ชิดกันไปอีกนาน เลยเตรียมไว้ดีกว่าคุณจะได้ไม่ทำตัวเหมือนผมเป็นไอ้โรคจิต หาทางหนีไปไกล ๆ อยู่เรื่อย”