“มาคัสไม่มาด้วยเหรอลูก”
เสียงแม่เล็กเอ่ยถามหลังจากเราเตรียมของรอใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว
“เฮียมาคส์ติดประชุมด่วนค่ะ”
ที่จริงฉันลืมชวนเขาต่างหากแต่ไม่อยากบอกแม่เล็กน่ะ
“เดี๋ยวพระคงใกล้ถึงแล้ว ยกของไปเตรียมไว้หน้าบ้านกันเถอะ”
“ค่ะ”
ฉันช่วยแม่เล็กยกถาดกับข้าวที่ตักใส่ถุงไว้รวมถึงผลไม้ต่าง ๆ ที่จัดเป็นชุด ๆ ไปไว้โต๊ะหน้าบ้านที่กางเตรียมไว้รอพระ
วันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของพ่อและแม่ของฉัน
อา...เดี๋ยวจะงงว่าแม่ฉันจากไปแล้ว แล้วใครที่ฉันเรียกแม่เล็กอยู่ในตอนนี้
แม่เล็กคือภรรยาใหม่ของคุณพ่อที่ได้ตบแต่งเข้าบ้านหลังจากที่แม่ฉันเสียไปตั้งแต่ฉันอายุสี่ขวบ แม้ว่าพ่อจะมีภรรยาใหม่แต่ท่านไม่เคยลืมรักครั้งแรกซึ่งคือแม่ฉันไปเลยสักวินาทีเดียว
ทุก ๆ วันครบรอบการจากไปของแม่ฉัน พ่อและแม่เล็กจะร่วมกันตักบาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ฉันตลอด
จวบจนเมื่อหนึ่งปีก่อน พ่อฉันป่วยเป็นโรคร้ายด่วนจากไปอีกคน ทำให้ตอนนี้ฉันเหลือเพียงแม่เล็กคนเดียวเป็นที่พึ่ง
“อายุ วันโน สุขขัง พลัง”
หลังจากตักบาตรรับพรเรียบร้อย เราก็ช่วยกันเก็บข้าวของกลับเข้าที่
“ถึงจะผ่านไปนานแค่ไหน แม่ก็รู้สึกว่าพวกเขายังอยู่กับเราตรงนี้”
แม่เล็กชอบพร่ำเพ้อถึงคุณพ่อและแม่ของฉันทุกครั้งที่ถึงวันครบรอบการจากไป
“ค่ะ น้ำก็รู้สึกว่าพวกท่านกำลังมองดูพวกเราและคอยคุ้มครองเราอยู่”
สองกายกอดกันกลมนั่งมองรูปพ่อกับแม่ฉันที่ถ่ายคู่กันและแขวนไว้ตรงผนังห้องรับแขก
แม่เล็กเป็นคนดีมาก แม้ท่านจะแต่งเข้ามาทีหลังแม่ฉันที่ล่วงลับไปแล้วแต่แม่เล็กยังคงให้เกียรติคนจากไปราวกับแม่ฉันมีชีวิตอยู่
ท่านไม่เคยยกตัวเองขึ้นเหนือแม่ฉัน แม้แต่รูปแต่งงานของแม่เล็กกับพ่อฉันท่านยังไม่ยอมตั้งไว้ในห้องรับแขกอวดสายตาแขกเหรื่อเวลามาเยี่ยมเยียนเลย
จะมีก็แค่อยู่ในห้องนอนพวกท่านหนึ่งกรอบรูปเล็ก ๆ และในอัลบั้มเก็บภาพความทรงจำเท่านั้น
“วันนี้น้ำดูซีด ๆ นะลูก”
อา...ก็แหงละเมื่อคืนโดนน้ำค้างไปซะขนาดนั้น เช้ามาเลยรู้สึกหนักอึ้งศีรษะนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นไข้กิน
“คงโหมงานหนักมั้งคะ”
พอพูดแบบนี้ก็ถูกสายตาห่วงใยมองอย่างดุ ๆ
“พักผ่อนบ้างนะลูก ตอนนี้เราเหลือกันแค่นี้แล้วนะ”
แววตาแม่เล็กสั่นไหว ทำเอาหัวใจฉันวูบไปชั่วขณะก่อนจะรีบสวมกอดท่าน
“น้ำไม่ทิ้งแม่เล็กไปไหนหรอกค่ะ แม่เล็กเองก็ต้องดูแลสุขภาพให้มาก ๆ นะคะ น้ำไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน บอกให้แม่เล็กหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่ยอม”
แอบบ่นตบท้ายนิดหน่อยที่อีกคนดื้อรั้น
เพราะงานของฉันเวลาไม่ตายตัวว่าต้องเข้างานกี่โมงเลิกกี่โมง ทำให้ส่วนมากขลุกอยู่แต่ที่คอนโดมากกว่าการกลับมาบ้านที่อยู่ไกลจากแหล่งชุมชนที่ฉันทำงานอยู่
พอเสนอให้แม่เล็กหาคนใช้มาช่วยดูแลบ้าน คอยพูดคุยด้วยให้คลายเหงาท่านก็เอาแต่ปฏิเสธว่าเปลืองเงินเปลืองทอง แค่มีน้องหมาอยู่เป็นเพื่อนตัวเดียวก็คลายเหงาได้แล้ว
อีกอย่าง แม่เล็กชอบทำบุญท่านเลยมีเพื่อน ๆ สายบุญมาชวนไปวัดนู้นวัดนี้บ่อย จนวัน ๆ หมดไปกับการเข้าวัดฟังธรรม
“อ้ะ! น้ำลืมว่าจะมาเอาของ เดี๋ยวขอตัวขึ้นไปหยิบก่อนนะคะ”
อีกสามวันจะเป็นวันเกิดของฉันแล้ว นึกขึ้นได้ว่าลืมสร้อยไว้ที่ห้องนอนเลยว่าจะมาเอา
ห้องนอนสีชมพูฟรุ้งฟริ้งยังคงสะอาดสะอ้านด้วยฝีมือทำความสะอาดของแม่เล็ก
ฉันเดินเข้าไปหยิบเจ้ากาตุ่ยเน่าที่ชอบกอดตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่จำความได้ว่าพ่อกับแม่ซื้อให้ก่อนแม่ฉันจะเสียในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาขึ้นมาหอมมาจูบ
“เอาแกไปคอนโดด้วยดีไหมนะ”
นั่งคุยคลายเหงากับเจ้ากาตุ่ยเน่าที่ลักษณะเหมือนตุ๊กตากระต่าย หูยาว ๆ ข้างหนึ่งสีฟ้า ข้างหนึ่งสีครีม บนหน้ามีรอยปะเย็บคล้ายโรงงานผลิตทำผิดพลาดจนหน้าตาขี้เหร่ ทว่าฉันกลับมองว่ามันน่ารักแปลกดี
“ไม่ไปเหรอ ก็ได้ งั้นก็เฝ้าห้องนี้ดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวพี่น้ำแข็งจะกลับมานอนกอดบ่อย ๆ นะ”
จุ๊บแก้มแดง ๆ ของเจ้ากาตุ่ยเน่าก่อนจะวางมันลงบนเตียงนุ่ม ห่มผ้าผืนเล็ก ๆ ของมันให้เรียบร้อยแล้วเดินมาหยิบเอาสร้อยคอทองคำขาวของขวัญวันเกิดอีกชิ้นของคนสำคัญที่ฉันรักมากซื้อให้เป็นของขวัญเมื่อปีที่แล้ว
“บนนั้นเป็นยังไงบ้างคะ ว่าง ๆ มาหาน้ำบ้างสิ”
ยืนคุยกับรูปถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอใบหน้าสวยใส หน้าตาเราคล้ายกันราวฝาแฝด เธอเป็นคนมารยาทเรียบร้อยกง่าฉันหลายเท่าตัว และที่สำคัญเป็นคนที่ฉันรักอันดับสามในบ้านหลังนี้
ก๊อก ๆ
เสียงประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันเลยรีบวางกรอบรูปนั้นไว้ที่เดิมแล้วเดินออกมา
“แม่เห็นโทร. มาหลายสายแล้วคิดว่าน่าจะมีเรื่องด่วน”
ฉันมองโทรศัพท์มือถือที่แม่เล็กยื่นมาให้พลางเบิกตาโต
ลืมไปได้ไงว่าวันนี้มีนัดถ่ายแบบตอนเก้าโมงครึ่ง นี่ก็เกือบจะถึงเวลานัดแล้วถึงว่าเจ๊สุ่มโทร. ตามยิก ๆ ขนาดนี้
“น้ำลืมไปว่ามีงานด่วน ขอตัวก่อนนะคะแม่เล็ก ไว้ว่าง ๆ เดี๋ยวน้ำมารับไปทานข้าวนอกบ้านนะคะ”
รีบกระโดดหอมแก้มคนตรงหน้าแล้ววิ่งลงบันไดดังตึงตังจนถูกดุไล่หลัง
“ช้า ๆ ลูก เดี๋ยวหัวร้างข้างแตกเอา”
“ค่าาาา” ตะโกนตอบอีกคน ทว่าก็ยังไม่หยุดวิ่งลงบันไดอยู่ดี
ก็นะ นาทีรีบเร่งนี่นา
สตูดิโอถ่ายแบบ
“เดี๋ยวทั้งคู่ช่วยทำท่าส่งจูบเล่นกับกล้องด้วยนะครับ”
เสียงตากล้องประจำวันนี้บอกฉันกับมินตรา
“สวยครับ ต่อไปหันหลังชนกัน ทำสายตายั่ว ๆ ให้กับกล้องหน่อย”
พวกเรามืออาชีพ แค่ตากล้องสั่งอะไรมาเทกเดียวเราก็ผ่านหมด
“รูปสุดท้าย พอยต์เท้าตามอัธยาศัยเลยครับ”
เป็นท่าจบที่สวยเลิศและเบสิกสุด ๆ
ฉันยื่นเท้าขวาออกไปเล็กน้อยก่อนจะจิกปลายเท้าเชิดหน้าขึ้นอย่างสาวมั่น
เสียงปรบมือให้กำลังใจจากทีมงานดังรัว ๆ เมื่อพวกเราถ่ายแบบชุดว่ายน้ำเสร็จแล้ว
“เหนื่อยไหมแก”
มินตราถามหลังจากเราเดินมานั่งเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
“นิดหน่อยแก สงสัยเพราะเมื่อคืนนอนน้อย”
“ทำไมอะ แกแอบไปทำอะไรมาทำไมถึงบอกนอนน้อย”
ยัยมินตราอมยิ้มแถมยังสีหน้าแกมจับผิดฉันอีก
“เฮียมาคส์พาขับรถเที่ยวนอกเมืองน่ะ”
“แค่นั้น?”
ฉันมองหน้าเพื่อนแวบหนึ่งก่อนจะหลบสายตาที่เหมือนรู้แกวกัน
“ถึงว่าคอนซีลเลอร์เต็มตัวเชียว”
ยัยนี่ก็ว่าไป...
“เสียงดังทำไมเดี๋ยวใครได้ยินเข้า”
ไม่ปฏิเสธเธอเพราะตอนเปลี่ยนชุดเราเปลื้องผ้าอยู่ในห้องกันสองคน
คิดเอาแล้วกันว่าฉันกับมินตราสนิทกันแค่ไหน ก็นะ เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยมต้นแล้วนี่
“สาว ๆ เหนื่อยไหมคะ”
เสียงเจ๊สุ่มดังขึ้น
“นิดหน่อยค่ะ”
เธอยื่นน้ำมาให้พวกเราคนละแก้ว
ของฉันเป็นน้ำแตงโมปั่นราดวิปครีม ส่วนของมินตราเป็นเมล่อนปั่นราดคาราเมล
ยัยนี่ชอบคาราเมลสุด ๆ เลยละ ทุกอย่างที่เป็นของหวานนางต้องราดด้วยคาราเมลถึงจะฟิน
“จบงานแล้วว่างกันไหม”
จู่ ๆ เจ๊สุ่มถามเหมือนมีอะไรจะพูด
“ก็วางนะคะ” ฉันตอบพลางมองมินตราไปด้วยว่าเธอน่าจะว่างเหมือนกัน
“มินก็ว่างค่ะ”
“งั้นดีเลย เดี๋ยวเจ๊จะพาไปดูดวงกัน”
“ดูดวง!?”
ฉันกับเพื่อนรักโพล่งออกมาอย่างประสานเสียง
“แม่หมอคนนี้แม่นมากเลยนะ เดี๋ยวบอลลูนมาเราก็ไปกันเลย”
ฉันกับยัยมินมองหน้ากันเล็กน้อย
จริง ๆ ไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่
คนที่ดูแม่นก็มี คนที่มีดีแค่คำพูดให้หลงเชื่อก็แยะ ฉันเลยไม่ค่อยพึ่งดวงเท่ากับแสวงหาทุกอย่างด้วยกำลังของตัวเอง
“จะไปดูเรื่องผู้ชายกันอีกใช่ไหมคะ”
มินตราแอบแซว และเหมือนจะตรงจุดนะเจ๊สุ่มทำท่าเขินใหญ่เลย
“รู้ทัน”
เสียงขำเบา ๆ ดังขึ้น ทำเอาฉันกับยัยมินขำตาม
“อ๊ะ แป๊บนะคะ”
โทรศัพท์ฉันสั่น พอเห็นว่าใครโทร. มาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“หลัวโทร. มาล่ะสิ” เจ๊สุ่มแอบรู้ทัน
“ค่ะ ขอตัวแป๊บนะคะ”
รีบเดินออกไปคุยที่ระเบียงของสตูดิโอ