บทที่ 3
โดนพระเอกลักพาตัว
นัยน์ตาสีดำสนิทของตงอู่ฉางเหลือบมองฟู่ซินเหรินที่ตัวสั่นหงกครู่หนึ่งก่อนกลับมาสบดวงตาสีอำพันน่าเกรงขาม กระแสพลังที่ปะทะกันเมื่อสักครู่ หากเขาไม่ทุ่มสุดแรง เกรงว่าไม่อาจต้านทานกระบี่ของเซียวจื่อหยางไว้ได้
ส่วนตัวที่มาถึงที่นี่เพราะถูกไหว้วานมา ไม่ได้มีความยินดียินร้ายต่อฟู่ซินเหรินมากนัก นอกเสียจากคนเคยพานพบกัน ทว่าไม่ได้พบนางหลายปี นิสัยของนางกลับเปลี่ยนไปมาก ยามปกตินางมิใช่คนพึ่งพาคนอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าทางน่าเอ็นดูดั่งตอนนี้อีก..
ตงอู่ฉางดึงสายตากลับมา เรียกเก็บกระบี่ในมือ พลางซ่อนมือสั่นอันเกิดจากการปะทะกับเซียวจื่อหยางไว้ด้านหลัง ขยับตัวขึ้นขวางหน้าระหว่างฟู่ซินเหริน
“ล่วงเกินท่านแล้วจื่อหยางตี้จวิน แต่ในเวลานี้แดนสวรรค์ยังไม่อาจหาทางออกที่แน่ชัด คู่ผูกชะตาของท่านเป็นเพียงหนึ่งในทางแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุด ไม่อาจรับประกันสิ่งใดได้ การสังหารคนย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใดเช่นกัน ฉะนั้นข้าจึงขอร้อง โปรดหลีกเลี่ยงความสูญเสียไปก่อน” กระทั่งตงอู่ฉางไท่จื่อยังต้องออกหน้าขอร้อง ชี้ให้เห็นว่าเซียวจื่อหยางมีความสำคัญต่อแดนสวรรค์อย่างไร
“เจ้าหนูตงอู่ฉาง หลายพันปีก่อนยังไม่แม้แต่กล้าสู้หน้าข้า บัดนี้หนึ่งกระบี่เจ้าก็รับไว้ได้ หึ เติบโตขึ้นมากจริง ๆ” เซียวจื่อหยางสลายกระบี่ในมือ เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ขอบคุณสำหรับคำชมของท่าน”
“แต่” นัยน์ตาสีอำพันเปรยมองยังชายผ้าสีแดงโผล่ออกมาให้เห็นเพียงเล็กน้อยทางด้านหลังตงอู่ฉาง แอบเห็นไหล่ของนางสะดุ้งเมื่อเขาเอ่ยคำว่าแต่ออกมา
มุมปากเซียวจื่อหยางกดลึกเบาบางแทบยากสังเกตุเห็น ก่อนจะกล่าวต่อ
“เจ้าสำนึกผิดแล้วหรือไม่ จะโดนลงโทษเช่นไร เป็นข้าที่ตัดสิน เจ้าล่วงเกินข้าย่อมต้องรับผิดชอบกันหน่อยหรือไม่”
ไม่ ไม่!! รับผิดชอบบ้าบออะไรกัน อย่าพูดคำน่าขนลุกนั่นออกมา!! ฟู่ซินเหรินกรีดร้องในใจ ตงอู่ฉางรู้สึกถึงแรงกำแน่นบนชายเสื้อด้านหลังพลันถอนหายใจออกมา ส่วนตัวเขารู้จักจื่อหยางตี้จวินเพียงผิวเผิน แต่เคยได้ยินมาว่าเป็นคนที่ดื้อดึงพอสมควร วันนี้คิดลงโทษฟู่ซินเหรินให้ได้ เป็นเพราะตั้งใจมาแล้วตั้งแต่ต้นเป็นแน่
“เรื่องน่าปวดหัวนี้ไม่ควรถึงมือตี้จวิน ปล่อยฟู่ซินเหรินไว้ให้ข้า ข้าสาบานด้วยตำแหน่งไท่จื่อสวรรค์ ตัดสินอย่างยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมแก่ตี้จวินและแม่นางหลิงเอ๋อร์”
ตอนนี้ทหารส่วนหนึ่งที่ติดตามตงอู่ฉางมา ได้เข้าไปช่วยเหลือแม่นางหลิงเอ๋อร์เอาไว้แล้ว ซึ่งตรวจพบเบื้องต้นว่านางเพียงอ่อนล้าและสลบไป รอยบอบช้ำที่ข้อมือเกิดมาจากการที่นางขัดขืน ส่วนร่องรอยในที่ลับตาอื่นใดต้องให้เซียนโอสถตรวจทานอีกที
“อู่ฉางไท่จื่อ ช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ ข้ายินดีไปกับท่านมากกว่าอยู่ลำพังกับตี้จวิน” ฟู่ซินเหรินกระซิบเพราะเซียวจื่อหยางยังไม่ยอมตอบตกลงหรือแสดงท่าทีโอนอ่อนแต่อย่างใด หารู้ไม่ว่าประโยคเบาหวิวเหล่านั้นเซียวจื่อหยางได้ยินทุกถ้อยคำ
คิ้วหนาพลันกระตุกสองถึงสามครั้ง ก่อนเคลื่อนกายเพียงก้าวเดียว ในช่วงครึ่งลมหายใจก็หยุดอยู่ข้างกายฟู่ซินเหริน ความรวดเร็วนี้แม้แต่ตงอู่ฉางก็มองตามไม่ทัน ด้านคนตัวเล็กกว่าหันขวับมามองตาแทบถลน ไม่อาจคาดเดาว่าพ่อพระเอกผู้นี้ตั้งใจจะทำอะไร!
เซียวจื่อหยางที่ยืนตัวหยัดตรงยังคงแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามทุกครั้งที่พบเห็น กล่าวน้ำเสียงนิ่งขรึมไม่อาจคาดเดาอารมณ์
“ไท่จื่อขอร้องข้าเช่นนี้ ตัวข้าย่อมเปิดทางให้ เพียงแต่นางผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมมาก เจ้าตามมารยาของนางไม่ทัน ข้ารับมือกับนางมาหลายปี ย่อมไม่มีผลอะไร แล้วอีกอย่างคุกสวรรค์จะรัดกุมเท่าข้าได้อย่างไร หากกำหนดตัดสินโทษนางมาถึงเมื่อใด ข้าจะนำนางไปส่งอย่างไร้รอยขีดข่วน”
พูดเองเออเองเสร็จสิ้น เซียวจื่อหยางกระดิกนิ้วเล็กน้อย ร่างเล็กที่เกาะหนึบแน่นอยู่ด้านหลังตงอู่ฉางพลันถูกอะไรบางอย่างดึงออกมาทันที
“เอ้ะ!!” ฟู่ซินเหรินสะดุ้ง เล็บเผลอจิกหลังตงอู่ฉางไปหนึ่งทีเพราะพยายามอย่างมากที่จะรั้งตัวเองเอาไว้
“ฟู่ซินเหริน!” ตงอู่ฉางตกใจเช่นกัน กับการกระทำเหนือความคาดหมายของเซียวจื่อหยาง
“ไม่ ไม่ ม้ายยยยยย ไม่อาววว ไท่จื่อช่วยข้าด้วย!!”
นางร้องเสียงโหยหวนได้อย่างน่าสงสารยิ่ง ในขณะที่ตงอู่ฉางกำลังจะหันมาคว้าตัวฟู่ซินเหรินเอาไว้ ทว่าไม่ทันการเสียแล้ว ร่างเล็กได้ลอยลิ้วตกลงสู่วงแขนแกร่งของผู้เป็นตี้จวินเป็นที่เรียบร้อย
ฟู่ซินเหรินถูกหิ้วในท่าหิ้วท้อง ห้อยต่องแต่งหันหน้าออกไปหาตงอู่ฉาง ซึ่งก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีตื่นตกใจเพียงใด ระหว่างที่เซียวจื่อหยางขยับกายขึ้นเหนือฟ้า คนตัวเล็กพลางดิ้นขลุกขลัก ใช้เรี่ยวแรงราวกับมดปลวกทุบตีที่แขนแกร่ง แน่นอนว่าเซียวจื่อหยางไม่รู้สึกสิ่งใดทั้งนั้น
“ปล่อยข้านะ! ท่านจะพาข้าไปที่ไหน ท่านจะทำอะไรข้า ตี้จวิน!”
“ยินดีไปกับเขา หรือยินดีไปกับข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งนั้น” ผู้เป็นถึงตี้จวินเปรยหางตาลงมองสตรีในอ้อมแขน แววตาดูแคลนอย่างยิ่ง
อะไรอ่ะ! นางกำลังถูกลักพาตัวรึไง!
ฟู่ซินเหรินกำลังจะทักท้วง ยังไม่ทันได้อ้าถึงครึ่งปาก กลับต้องกลืนคำลงคอเปลี่ยนเป็นกรีดร้องแทน เมื่อเซียวจื่อหยางก้าวเท้าผ่านอากาศก็สามารถเคลื่อนออกไปถึงหลายพันลี้
“กรี๊ดดด!!” ร่างทั้งสองหายไปจากสายตาพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาของฟู่ซินเหริน
ตงอู่ฉางมองยังท้องฟ้าว่างเปล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาต้องเร่งส่งเรื่องถึงตงหลี่เทียนจวินเพื่อกำหนดวันตัดสินโทษฟู่ซินเหริน ช้าที่สุดคือในเช้าวันรุ่งขึ้น หวังว่าคืนนี้นางจะปลอดภัย
ก่อนเขาจะหันไปออกคำสั่งกับผู้ที่คุกเข่าอยู่ข้างกาย “เจ้าส่งคนไปที่ตำหนักหยงซาน เฝ้าระวังว่าฟู่ซินเหรินจะไม่ถูกสังหารก่อนได้รับโทษอย่างเหมาะสม”
*
ฟู่ซินเหรินถูกหอบหิ้วเป็นตุ๊กตาไม้ล้มลุกคลุกคลานบนวงแขนเซียวจื่อหยาง บุรุษผู้นี้ไม่มีใจรักหยกถนอมบุปผา คิดจะเลี้ยวซ้ายก็เลี้ยวชนิดหักศอก คิดดิ่งลงต่ำก็ดิ่งลงชนิดกระชากวิญญาณหลุดจากร่าง ดีที่นางดึงคอกลับมาได้ทันมิเช่นนั้นคงหักไปตามแรงลมกลายเป็นศพไร้ที่ฝัง!
ขณะยามหลับตาแน่นเพราะกลัวความสูง ความเร็วกำลังชะลอตัวลง ฟู่ซินเหรินสงสัยจึงหรี่ตาขึ้นช้า ๆ ถึงเห็นว่านางกำลังอยู่บริเวณใจกลางหินผาเขียวขจีสูงชันล้อมรอบ หินเหล่านั้นทับถมขึ้นเป็นชั้นขยายอาณาเขตออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ลึกลงไปเบื้องล่างราวร้อยจั้ง (300เมตร) ปรากฏเรือนไม้คล้ายโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ สิ่งที่สะดุดตาคือแสงสีฟ้าอ่อนประดับรอบ ๆ และเหนือตัวเรือน เมื่อมองหาที่มาจึงพบว่าแสงริบหรี่เหล่านั้นมาจากละอองเกศรของดอกไม้ชนิดหนึ่งภายในหุบเขา
ยามแสงเหล่านั้นซึมซับเข้าสู่ร่างกายจะมอบความรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด ความอัศจรรย์สะท้อนเป็นภาพในดวงตาหญิงสาว ทำให้นางลืมเรื่องเซียวจื่อหยางไปชั่วขณะ
“อู้หูว โอ้ว ว้าว” เสียงประหลาดจนเซียวจื่อหยางต้องเหลือบมอง
ในดวงตาดอกซิ่นที่มักไม่น่ามองเกิดประกายชีวิตชีวาอย่างหาได้ยาก คนตัวเล็กหันซ้ายทีขวาทีราวกับสิ่งนี้เป็นเรื่องตื่นตาตื่นใจ ยิ่งค่ำคืนนี้ท้องฟ้าเปิดให้เห็นดวงจันทร์เด่นชัด ส่งผลให้ผิวพรรณขาวกระจ่างดั่งหยกอันล้ำค่าเมื่อต้องแสงจันทร์ยิ่งดูผุดผ่องภายใต้อาภรณ์สีแดงสด ขลับให้ภาพลักษณ์นางดั่งปีศาจจิ้งจอกจำแลงกายล่อลวงจิตใจผู้คน
บรรดาหญิงงามในใต้หล้า ฟู่ซินเหรินนับเป็นหนึ่งในนั้น ทว่ามารยาการล่อลวงของนางใช้ไม่ได้ผลกับเขา
เซียวจื่อหยางดึงสายตากลับมาครุ่นคิด ช่วงเวลาหลายร้อยปีการพบหน้านางในตำหนักพร้อมท่าทางวางอำนาจเป็นเรื่องชินตาของเซียนหลายคน วีรกรรมชั่วร้ายของนางเข้าสู่หูเซียวจื่อหยางไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งทำให้ความรู้สึกด้านลบต่อสตรีผู้นี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด
ภายหลังจบงานคัดเลือกคู่ผูกชะตา พฤติกรรมไร้ยางอายของนางนับวันยิ่งควบคุมได้ยาก วันนี้เกิดเรื่องขึ้น ทำให้เขาตัดสินใจไม่ไว้หน้าฟู่กู่เหยาอีกต่อไป ทว่า..ได้พบนางครั้งแรกหลังผ่านไปเพียงสองคืน นางกลับแปลกตาไปมาก การกระทำของนางขัดกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันทำให้เขาสนใจมิใช่น้อย
ครั้นมือเล็กเอื้อมออกไปหมายคว้าละอองแสงสีฟ้าลูกหนึ่ง ร่างทั้งร่างพลันถูกฉุดลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“อ้าก!” นางกรีดร้องครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจทราบ แต่คอจวนเจียนจะแหกอยู่รอมร่อ!
กระทั่งเท้าเซียวจื่อหยางแตะลงบนพื้นเรือน สภาพฟู่ซินเหรินสะบักสะบอมจนยากจะแยกว่านี่คือมนุษย์หรือก้อนผ้าขี้ริ้วก้อนหนึ่ง และทันทีที่คนผู้นี้เท้าแตะถึงพื้นก็ปล่อยมือจากเอวของนางทันที
“โอ้ย!!”
ส่งผลให้นางหล่นตุ้บก้นจ้ำเบ้า น้ำตาเล็ดขอบตา ลูบบั้นท้ายตัวเองปอย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจวางสายตาหวาดระแวงลงจากคนตัวสูงกว่าที่เดินไปนั่งยังโต๊ะริมหน้าต่าง ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ
“ระแวงสิ่งใด กลัวข้าสังหารเจ้าหรือ” คนถามถามเสียงนิ่ง แต่คนฟังขนนี่ลุกพรึบจนถึงหัว
ก็ใช่หน่ะสิถามได้!! “...” แต่ฟู่ซินเหรินไม่ได้ตอบ ลอบมองซ้ายขวาก็พบว่าตำหนักนี้เงียบเหงาราวกับตำหนักร้าง ไร้ผู้คน แม้กระทั่งสาวใช้ที่ควรมีปรนนิบัติอย่างเช่นตำหนักอื่นก็ไม่มี
แบบนี้นางตายไปก็ไม่มีใครเป็นพยานหน่ะสิ แงTOT!
เซียวจื่อหยางเห็นท่าทางเช่นนั้น พลันกระตุกยิ้มชั่วร้าย กล่าวตอบเสียงเรียบราวกับได้ยินความคิดของนาง “เพราะเจ้าไร้ตะเพิดพวกนางไปหมดแล้วนี่ จำไม่ได้หรือ”
ฟู่ซินเหรินลมหายใจสะดุด แค่นางกรอกตาไปมาก็ทำให้เขารู้ทันความคิดนางเลยหรือ?! ร้ายกาจเกินไปแล้ว น่ากลัวที่สุด!
หญิงสาวเม้มริมฝีปาก กะพริบตาปริบ ๆ ไม่ทันรู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยเพียงใด ขณะไม่รู้ว่าควรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาเป็นคำพูดเช่นไร เซียวจื่อหยางได้พูดประโยคหนึ่งที่ทำให้นางหายใจไม่ทั่วท้อง
“คนหนึ่งรากวิญญาณเสียหาย คนหนึ่งบาดเจ็บหนักยังคงต้องรักษา อีกคนหนึ่งถึงขั้นเสียดวงตาและแขนไป เจ้าจำไม่ได้จริง ๆ หรือ”
ฟู่ซินเหรินฝืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือเล็กสั่นเทาบีบเข้าหากันวางไว้ระหว่างช่วงท้อง คาดไม่ถึงว่าร่างเดิมจะชั่วร้ายถึงขนาดนี้ แล้วต้องเป็นนางหรือที่ต้องรับกรรมเหล่านั้นแทน ยุติธรรมตรงไหน!!
ด้านเซียวจื่อหยางเลิกคิ้วขึ้นสูง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่น่าแปลกที่นางทำราวกับจดจำไม่ได้
“เจ้าทำราวกับว่าเจ้ามิใช่ฟู่ซินเหรินอย่างไรอย่างนั้น”
คำพูดนี้ส่งผลให้ร่างเล็กนิ่งค้าง นานหลายชั่วอึดใจ เสียงหวานจึงเอ่ยออกมา “...หากข้าบอกตี้จวินว่าข้ามิใช่ฟู่ซินเหริน ท่านจะเชื่อคำพูดข้าหรือไม่”
นางตัดสินใจเดิมพัน แต่กลับต้องรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดเมื่อเซียวจื่อหยางพ่นหัวเราะออกมาพร้อมแก้วในมือที่แตกละเอียด
“เหอะ”
หญิงสาวถึงกับผงะไหล่สะดุ้ง เมื่อนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นถอนสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกกลับมาจดจ้องที่ตนราวกับอยากจะฆ่ากันให้ตาย
อะไรอี๊ก! นางร่ำร้อง
“เพียงเจ้าบอกว่าเจ้ามิใช่ฟู่ซินเหริน ก็สามารถลบล้างสิ่งที่เจ้าทำไว้กับเหลียนอวี้เฟยได้งั้นหรือ”
เหลียนอวี้เฟย.. ใครอีกฟ่ะ ชื่อเพราะกว่านางอีก TOT!!
ฟู่ซินเหรินพยายามเค้นสมองคิดในหัว พลันนึกออกในวินาทีถัดมา ว่าครั้งหนึ่งเซียวจื่อหยางเคยเปิดใจพูดกับหลิงเอ๋อร์ว่าเขามีสัตว์เลี้ยงที่เขาเอ็นดูอยู่ตัวหนึ่ง แต่ถูกใครบางคนเฉือดทิ้งอย่างเลือดเย็น
ฉับพลันความทรงจำสายหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวอย่างไม่คาดคิด ถึงสัตว์ตัวสีน้ำตาลเข้มออกดำ มีปีกแข็งและขาแหลมยั้วเยี้ย ในความทรงจำ จู่ ๆ มันดันบินมาเกาะอยู่ตรงหน้าขณะนางกำลังตรงไปหาเซียวจื่อหยาง ส่งผลให้นางตกใจพลันเตะเจ้าตัวดำ ๆ นั่นกระเด็นหายวิ้งขึ้นบนฟ้า
และใช่จ้ะ อีคนที่เตะหนะตัวตูเอง บิดามันเถอะ!!! และถึงไม่ใช่เจ้าของร่างเก่าเป็นคนทำ นางที่กลัวแมลงก็คงเตะมันปลิวไปเหมือนกัน ขอโทษคนที่รักสัตว์ด้วยแต่นางกลัวจริง ๆ!!
ฟู่ซินเหรินราวกับคนตาสว่างจ้าดั่งระลึกชาติได้ว่าเหลียนอวี้เฟยหน่ะมิใช่คน แต่เป็นแมลงแสนรักของเซียวจื่อหยาง นางปัดตกเรื่องพระเอกบ้านี่ชื่นชอบแมลงไปก่อน พลางกุลีกุจอแก้ต่างให้ตนเอง
“ข..ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ แต่ข้ามิได้สังหารนาง ข้าเพียง ข้าเพียงตกใจจนเผลอทำให้นางลอยหายไป ว่ากันว่าสัตว์ควรอยู่ในธรรมชาติมากกว่าถูกกักขัง เหลียนอวี้เฟยอาจจะกลับคืนสู่ธรรมชาติ มีครอบครัวที่รักมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วก็เป็นได้นะเจ้าคะ!”
อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นจอนวิคไล่สังหารนางเลยหนา กราบล่ะ...
นางภวานา แต่ทว่า.. “เหลียนอวี้เฟยเป็นบุรุษ และเขาเป็นหมัน”
“....” ฟู่ซินเหรินนั่งเหม่อ เยี่ยม แมลงเป็นหมันด้วยล่ะเว้ยยยย TOT!!!
หากเซียวจื่อหยางจงใจปั่นหัวนางเล่น ถือว่าได้ผลชะงัด ฟู่ซินเหรินจิตใจห่อเหี่ยวนั่งตัวยอง ๆ คอตกนำแขนกอดเข่าตัวเอง แววตาไร้ชีวิตยกนิ้วขึ้นนับวีรกรรมอันเลวร้ายของฟู่ซินเหรินทั้งที่รู้จากนิยายและจากปากเซียวจื่อหยาง
“ฮึก..” นางน้ำตาล่วง หลังค้นพบว่าใช้นิ้วมือนับยังไม่พอต้องใช้นิ้วเท้านับเพิ่มด้วย หญิงสาวเบะปาก หน้ายู้ยี่จนแก้มอมลม เหลือบไปมองเจ้าของสายตาเย็นชา น้ำตาคลอเบ้าทว่าแววตายังคงมีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิต
“ตี้จวินไม่ชอบหน้าข้า มีเรื่องบาดหมางกับข้า ขอให้ไปร้องเรียนเทียนจวินและผู้คุมกฏสวรรค์ หลังได้รับโทษแล้ว ข้าจะไม่ตอแย ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าตี้จวินให้รำคาญใจอีก”
คนฟังกระตุกยิ้ม นิ้วยาวคลึงบนปากถ้วยชาท่าทางไม่แยแสน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของนาง “..คำพูดไร้แก่นสารของเจ้า สามารถเชื่อได้สักกี่มากน้อย ไม่คิดบ้างหรือว่าข้าได้ยินคำนี้จากปากเจ้าจนเบื่อแล้ว”
เผ้ย! นี่กะไม่ให้นางมีทางรอดเลยใช่หรือไม่ ฟู่ซินเหรินถูกดักทุกทางก่อเกิดเป็นความรู้สึกหนักอึ้งก้อนหนึ่ง ก่อนความรู้สึกผิดความรู้สึกกลัวตายจะกลายเป็นความหัวร้อนแทน
นางหมดความอดทนแล้ว!
ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นทันทีทันใด เช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลเปรอะเปื้อน มองตาเฒ่าตรงหน้าตาเขียวปั๊ด
“ท่านจะเอาอย่างไรกับข้ากันแน่ พูดให้ข้าสำนึกผิด ข้าก็สำนึกผิดแล้ว พูดให้ข้าขอโทษ ข้าก็ขอโทษท่านแล้ว ข้าจะไปรับโทษพร้อมไท่จื่อท่านก็ขัดขวางข้า ท่านกลายเป็นตาเฒ่าเอาแต่ใจ อยู่ในวัยทองรึไง!!”
“นี่เจ้า!!” คนถูกด่าว่าเข้าวัยทองหน้าเหวออย่างที่ไม่เคยทำ เป็นครั้งแรกที่ในหัวเซียวจื่อหยางคิดเป็นคำพูดออกมาไม่ถูก!
“ที่ผ่านมาข้าเคยพูดโกหกอะไรไว้ท่านจะไม่เชื่อก็ได้ แต่วันนี้ข้าไม่ได้พูดล้อเล่น ไม่ได้พูดไร้สาระด้วย ที่บอกว่าจะไม่รบกวน ไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีกข้าพูดจริง ๆ นั่นเพราะข้า! ไม่! รัก! ท่าน! แล้ว!”
ฟู่ซินเหรินยืนหายใจหอบแฮก ๆ เพราะหลับหูหลับตาพูดน้ำไหลไฟดับ กลับต้องแปลกใจกับความเงียบที่เกิดขึ้น ครั้นสังเกตสีหน้าบุรุษตรงกันข้าม ก็พบว่าอีกฝ่ายนิ่งงันไม่ไหวติงคล้ายตกอกตกใจ นั่นทำให้นางเผลอฉุกคิด รึว่าแท้จริงแล้วเซียวจื่อหยางอาจมีใจให้ฟู่ซินเหรินไม่มากก็น้อย มีคนสวยมาหยอดคำหวานทุกวี่ทุกวันต้องหลงกันบ้างแหละ ! เพียงแต่พระเอกผู้นี้ครองตัวเป็นโสดอยู่นาน จะรู้จักความรักได้อย่างไร มิเช่นนั้นคงไม่รู้สึกผิดที่เผลอสังหารนางร้ายไปหรอก
มันต้องใช่แน่ ๆ... “อึก!”
ทว่าฟู่ซินเหรินกลับคิดผิด ฉับพลันที่ละสายตาจากร่างสูง เซียวจื่อหยางได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาดุจเลือดพร้อมกระชากลำคอของนางยกขึ้นอย่างแรง
ร่างบางดิ้นบนอากาศ เท้าไม่แตะพื้น เสียงอึกอักผ่านลำคอติดขัดเกิดจากเริ่มขาดอากาศหายใจ ขณะใช้ความพยายามในการแกะมือของเซียวจื่อหยางออก
“แค่ก แค่ก!”
ดวงตาปราดคมมองร่างเล็กกำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างเย็นชา “น่าขัน ว่าเจ้าเรียกการกระทำต่ำช้าเหล่านั้นว่าความรัก”
“อึก!!”
ฟู่ซินเหรินกำลังไร้หนทางสู้ แสงในดวงตาริบหรี่เช่นเดียวกับลมหายใจ เล็บนางเกี่ยวสะเปะสะปะข่วนโดนหลังมือเซียวจื่อหยางจนทำให้เลือดไหลซิบ โดยที่เซียวจื่อหยางไม่ทันสังเกตเห็นเลือดสีแดงสดหยดลงบนข้อมือขาว จะถูกบางอย่างในตัวนางดูดซับ
ทันทีทันใดรอบกายนางเริ่มปรากฏกลิ่นหอมรัญจวนชักชวนให้ลุ่มหลง
“บัดซบ!” เซียวจื่อหยางเห็นดังนั้นได้สบถขึ้นอย่างหัวเสีย ปล่อยตัวฟู่ซินเหรินทิ้งลงพื้น ถอยร่นกลับไปตั้งหลักขับไอพิษออกจากร่างกาย
เขามิใช่ผู้ศึกษาด้านปรุงโอสถแต่มีความรู้เพียงพอที่จะคาดเดาได้ว่า สิ่งนี้คือหนอนไหมโลหิต มีฤทธิ์ไม่ต่างจากยาปลุกกำหนัดรุนแรง เพียงแต่หนอนไหมโลหิตนั้นไม่ต่างจากสมบัติสวรรค์ซึ่งหาได้ยากยิ่ง และมีความพิเศษตรงที่ ผู้ที่ถือครองสามารถเลือกผู้ที่ต้องการใช้ได้เพียงคนเดียวโดยการใส่ของเหลวลงไป
จนกว่าฤทธิ์ของหนอนไหมโลหิตจะจางลง ผู้ที่ถูกควบคุมต้องแลกเปลี่ยนของเหลวกับผู้ถือครองนับร้อยนับพันครั้ง มิเช่นนั้นมันจะกัดกินรากวิญญาณกระทั่งเทพเซียนที่ได้รับมันเข้าไปก็ไม่อาจขัดขืนได้ เป็นสมบัติสวรรค์ที่ผิดต่อกฏสวรรค์และเคยถูกทำลายทิ้งจนสิ้นซากไปนานแล้ว
นางไปนำสิ่งนี้มาจากไหน?
หนอนไหมโลหิตอันนี้ดูเหมือนฤทธิ์ไม่รุนแรงเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่แน่ว่าอาจเป็นของเลียนแบบที่ทำขึ้นใหม่ ไม่เช่นนั้นตัวของเขาอาจไม่สามารถคงสติไว้ได้แล้วเผลอร่วมรักกับนางตั้งแต่แรกเลยก็ได้
“สตรีน่าตาย!”
เซียวจื่อหยางขบสันกรามแน่น เหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าคมคาย ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น เขาต้องเพ่งสมาธิไม่ให้กลิ่นหอมที่ยังคงติดจมูกและไอพิษซึ่งแผ่จากร่างเล็กที่นอนสลบยังคงซึบซับผ่านร่างกายอย่างต่อเนื่องเข้าทำลายจิตสำนึก
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป
ร่างเล็กที่นอนสลบไม่ได้สติเริ่มขยับตัวไปมา ฟู่ซินเหรินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ สิ่งแรกคือความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณลำคอ ภาพของนางถูกกำลำคอแทบหักผุดขึ้นในความทรงจำ ดวงตากลมโตพลันขยายขึ้นกว้างรีบดันตัวเองลุกขึ้นอย่างรีบร้อน คลำใบหน้ากับร่างกายตัวเองไปมา
“ข้าตายรึยัง?! ละ..แล้วทำไมยังไม่ตายล่ะ?!”
นางพูดออกมาอย่างสงสัย ขณะกรอกตามองรอบตัวก็พบว่าตัวเองยังคงอยู่ที่ตำหนักหยงซานเช่นเดิม จวบจนสายตาบรรจบเข้ากับร่างกายกำยำ เซียวจื่อหยางที่หายใจหอบ เหงื่อกายไหลชุ่มอาบเสื้อผ้า คิ้วหนาของบุรุษขมวดม้วนเป็นปม สีหน้าหล่อเหลานั่นดูทรมานอย่างยิ่ง
ฟู่ซินเหรินเห็นเข้าจึงผงะถอยหลัง ยังคงงุนงงว่าปีศาจเฒ่านี่ละเว้นชีวิตนางได้อย่างไร แล้วมานั่งสมาธิอะไรตอนนี้?!
แต่ช่างมันสิ! นี่เป็นโอกาสดีให้นางหนี!
ไม่รีรออะไรทั้งนั้น ฟู่ซินเหรินค่อย ๆ ก้าวเท้าย่องแผ่วเบา เดิน ๆ หยุด ๆ กระทั่งถึงประตูเรือน หญิงสาวมองออกไปด้านนอกด้วยแววตาเป็นประกาย อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มจนตาหยี นางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ คิดเอาไว้ว่าค่อยไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน ตอนนี้หนีให้รอดก่อน!
และก้าวเท้าออกไปแต่มันกลับ ปั้ก!!
หัวนางโขกกับความว่างเปล่าพลางโซเซถอยหลังไปสองก้าว “อูยยยย” ฟู่ซินเหรินซีดปากกุมหน้าผากตัวเองร้องออกมาแผ่วเบาเพราะกลัวเซียวจื่อหยางจะได้ยิน
ทว่ากลับไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเข้ามาประชิดตัวด้านหลัง กว่าจะรู้ตัวเอวคอดก็ถูกแขนหนาของบุรุษรวบเข้าหาอกแกร่ง ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจื่อหยางที่โน้มลงมาก่อนแล้ว
อึก!! ตึกตัก! ตึกตัก! แล้วเหตุการณ์ตอนนี้คืออะไร แล้วทำไมเขาต้องหน้าแดงด้วยล่ะนั่น โกรธเหรอ?!
เซียวจื่อหยางลำคอแดงก่ำลามถึงใบหูจดจ้องยังใบหน้างาม เคลื่อนสายตายังริมฝีปากที่ถูกเม้มเป็นเส้นตรง จวบจนเสียงนุ่มทุ้มอันแหบพร่าจะเอ่ยขึ้นทำให้นางแดดิ้นตาย!!
“เจ้า..น่ากิน”
แอร๊ย อะไรน่ากิน บ้าบอที่สุด!!