บทที่ 5
ขาทองคำของนาง
“....”
“....” เขายืนเหม่อ..
ผู้เป็นตี้จวิน ขึ้นชื่อได้ว่าครั้นคร้ามที่สุดในแดนสวรรค์ ครู่หนึ่งมีแววตาเหม่อลอยขึ้นมา แล้วนำมือกุมขมับ ฟู่ซินเหรินที่มักใช้มารยาร้ายกาจแววตาเจ้าเล่ห์มากแผนการยังรับมือได้ง่ายกว่าฟู่ซินเหรินคนนี้มากนัก
นางในตอนนี้.. คล้ายว่าเป็นหนักกว่าฟู่ซินเหรินแต่ก่อนเสียอีก?
เซียวจื่อหยางสะบัดศีรษะหยุดมองถ้วยชา ครุ่นคิดสงสัยว่าฝีมือปรุงโอสถของเขาถึงขั้นย่ำแย่เพียงใด ผู้ที่ทานเข้าไปจึงกลายเป็นคนสติไม่ดีไปเสียได้ ปกติไม่เคยสงสัยในฝีมือตนเอง สุดท้ายจึงเอื้อมหยิบถ้วยชายกขึ้นดม พลางย่นคิ้วเมื่อพบว่าส่วนผสมตรงตามตำราทุกประการ
ยานี่ใช้ไม่ได้หรือนางสติไม่ดีอยู่แล้ว...แต่เขาเพิ่งรู้?
เซียวจื่อหยางคิดขณะเก็บกระบี่ในมือและวางถ้วยชาลง โบกมือหนึ่งทีเพื่อคลายฤทธิ์โอสถให้นาง
ฟู่ซินเหรินที่เห็นอาการยืนเหม่อเกิดเลิ่กลัก กลัวว่าเขาจะไม่ชอบใจลงมือสังหารนาง ได้แต่กระเถิบเข้าไปใกล้เขาอีกนิดส่งเสียงเล็กเพื่อเอาใจ
“ซ..เซียวจื่อหยาง ท่านมีทั้งรูปโฉมหล่อเหลาไม่เป็นรองใครในแดนสวรรค์ มีทั้งตบะวรยุทธเก่งกาจ รูปร่างสัดส่วนก็น่ามอง ไหล่กว้างดูองอาจพร้อมปกป้องผู้คน สตรีใดไม่ต้องตาต้องใจท่านบ้าง ไม่มีหรอก! ต่อให้อารมณ์ร้ายและเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่สิ่งเหล่านั้นก็สามารถกลบด้วยความหล่อเจ้าค่ะ ความในใจของข้าวันนี้คงเป็นความในใจของสตรีหลาย ๆ คนเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่ข้าหรอก!”
เซียวจื่อหยางหลุบสายตาลงมองคนที่ยิ้มจนตาปิด แค่นเสียงหึในลำคอกับคนที่กล่าววาจาเรื่อยเปื่อยเพื่อรักษาชีวิตน้อย ๆ ของตัวเอง
“ข้ารู้”
“ท่านรู้..” นางอึ้งไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้าตามรัว ๆ “รู้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ รู้ก็ดีแล้ว ยอดเยี่ยม เยี่ยมจริง ๆ”
ฟู่ซินเหรินยกนิ้วโป้งมอบให้ ส่วนนางพูดอะไรได้ตอนนี้ก็พูดตามน้ำไปก่อน แม้ลับตาจะแอบแยกเขี้ยวกรอกตามองบนใส่เขาก็ตาม!
ซึ่งเซียวจื่อหยางก็เห็นแต่เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะเมื่อสองวันก่อนเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ฟู่ซินเหรินอาละวาดที่ตำหนักกงเตี๋ยนของตงหลี่เทียนจวิน เนื่องจากไม่พอใจในผลลัพธ์และมั่นใจว่าสตรีนามหลิงเอ๋อร์ผู้นั้นใช้กลโกงจึงร้องให้มีการทดสอบใหม่อีกครั้ง
แต่ถูกซวนไป่เหอกับอวิ้นซีที่บังเอิญผ่านมาเข้ามาขวาง ทำให้ทะเลาะกัน ฟู่ซินเหรินดูเหมือนจะเก่งกาจกลับกลายเป็นคนบาดเจ็บหนัก ด้วยนางพลาดท่าศีรษะกระแทกหินสลบไป คาดว่าอุบัติเหตุคราวนั้นคงทำให้นางเริ่มกลายเป็นคนสติไม่ดีเอา
และสาเหตุที่เขารู้ได้ก็เป็นเพราะอวิ้นซีเล่าให้ฟังพร้อมกับเรื่องที่เห็นนางลักพาตัวหลิงเอ๋อร์ผ่านเขตแดนไม้หลูเค่อในวันเดียวกันนั่นแหละ
ด้านฟู่ซินเหรินจ้องหน้าเซียวจื่อหยางตาเป็นประกายเว้าวอน เห็นเหมือนลูกแมวหางตกตัวหนึ่ง เซียวจื่อหยางจึงถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ไม่คุ้นชินฟู่ซินเหรินในแบบนี้จริง ๆ
"ไว้จะตรวจสอบเจ้าอีกครั้ง" ก่อนกวาดสายตามองผ้าที่หมิ่นเหม่เปิดเผยไหล่ขาวมีร่องรอยเป็นสีแดงจ้ำบนตัวของนาง “สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด แล้วออกไปได้แล้ว”
เพราะองค์รักษ์ที่ตงอู่ฉางส่งมารออยู่ด้านนอกได้ราวหนึ่งชั่วยามแล้วนับตั้งแต่มีรับสั่งเรียกตัวฟู่ซินเหรินไปตำหนักกงเตี้ยนเพื่อรับสารภาพ แต่เพราะฟู่ซินเหรินยังไม่ตื่น เซียวจื่อหยางจึงบอกให้พวกเขารอรวมถึงสั่งให้พวกเขาเงียบปากเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรรู้ และพวกเขาก็ต้องรอเนื่องจากหวั่นเกรงอารมณ์ของผู้เป็นตี้จวิน
ครั้นกล่าวจบร่างสูงเตรียมหันหลังเดินจากไป ก็ถูกฟู่ซินเหรินรั้งแขนเสื้อเอาไว้ นางเงียบอยู่นานกว่าจะเอ่ยขึ้นมา
“เรื่องเมื่อคืน..”
เซียวจื่อหยางหางคิ้วกระตุก ร่างสูงหยุดเดิน รอว่านางจะยกเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาเพื่อการใด แม้ในใจจะคิดไม่ดีไปแล้ว ทว่าสิ่งที่เขาคิดกลับไม่เกิดขึ้น
“อย่างไรก็เป็นความผิดของข้า ร่างกายข้าบาดเจ็บหนัก ความทรงจำหายไปบางช่วง ไม่รู้ว่าหนอนไหมโลหิตนี้เกิดขึ้นเพราะข้าหรือไม่ แต่ตี้จวินไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่นำเรื่องนี้มาใช้ต่อรอง ตอนนี้ข้าคิดได้และเข้าใจแล้วว่าตัวข้าไร้วาสนา ตำแหน่งตี้โฮ่วไม่ใช่ของข้าแต่เป็นของนาง ที่ผ่านมา..ข้าขอโทษท่านจากใจจริง ต่อจากนี้จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจอีก”
“....” ดวงตาเรียวคมคู่นั้นหันกลับมาสบตากับนางโดยไม่พูดอะไร
นางจึงกล่าวต่อ “ข้าจะอยู่อย่างเงียบเชียบไร้ตัวตน แม้ว่าต้องพบกันบ้างบางครั้ง ก็ขอให้ท่านมองข้าเป็นอากาศว่างเปล่าอันหนึ่ง หากยังไม่พอและลำบากใจท่านอยู่ ก็ขอให้ท่านคิดเสียว่าฟู่ซินเหรินคนนั้นได้ตายไปแล้วแล้วกันเจ้าค่ะ”
ฟู่ซินเหรินยิ้มน้อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเพิ่งเข้ามาสวมร่างฟู่ซินเหรินหรือไม่ ความรู้สึกที่ควรถูกฝังไว้ในส่วนลึกกลับพรั่งพรูขึ้นมาราวกับว่ามันคือความรู้สึกของนางเอง
เซียวจื่อหยางมองฟู่ซินเหรินมีม่านน้ำเคลือบดวงตาเบาบาง มือเล็กยกขึ้นเช็ดก่อนน้ำใสหนึ่งหยดไหลลงมา นางสูดลมอากาศหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ไล่ความรู้สึกขมขื่น ฝืนยิ้มให้เขา
“ขอโทษเจ้าค่ะ”
“...”
เขากลับไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้ารับรู้แล้วหันหลังเดินหายไป ฟู่ซินเหรินมองตามกระทั่งแผ่นหลังกว้างลับสายตา นางจึงปล่อยตัวเองสะอื้นอยู่สักพักหนึ่ง แล้วค่อยเช็ดน้ำตาตัวเองด้วยความงุนงง
ฟู่ซินเหรินใช้เวลาแต่งตัวค่อนข้างนานเล็กน้อยเนื่องจากปวดขา ดีหน่อยที่ชุดที่ใส่ไม่ใช่ชุดเก่าและสวมใส่ยากเย็น ส่วนชุดใหม่นี้ นางคิดว่าคนจากตำหนักฮั่วเทียนนำมาให้เปลี่ยน
ระหว่างยังสับสนว่าเหตุใดนางจึงหลงเหลือความรู้สึกของร่างเดิมอยู่ ก็ส่ายหัว ไม่อยากเก็บมาคิดให้รบกวนจิตใจ ตอนนี้เซียวจื่อหยางดูไม่ข้องใจอะไรในตัวนางมากแล้ว เลยวางใจได้เปราะหนึ่ง ที่เหลือคือการอยู่อย่างสงบเสงี่ยมจนถึงฉากจบของนิยาย! นางก็รอดแล้ว!
ร่างบางเดินกะเผลก ๆ ไปเปิดประตู ถึงเห็นว่ามีสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งยืนรอนางอยู่ หญิงสาวพลันหน้าขึ้นสี ที่แท้ในตำหนักนี้ก็มิได้ร้างคน.. แล้วเมื่อคืนนี้
“จื่อหยางตี้จวินเพิ่งสั่งให้ข้ามาปรนนิบัติแม่นางฟู่เจ้าค่ะ เชิญแม่นางฟู่ตามข้ามา”
สาวใช้คนนั้นเอ่ยตอบเมื่อเห็นใบหน้าสงสัยของฟู่ซินเหริน ซึ่งฟู่ซินเหรินได้แต่พยักหน้า ไม่ได้ถามว่าทำไมไม่เข้าไปช่วยนางสวมเสื้อผ้า เพราะอาจเป็นการปฏิบัติของคนที่นี่ นางคิดดังนั้นแล้วจึงเดินตามหลังสาวใช้คนนั้นไป ครั้นเดินผ่านเฉลียงซึ่งด้านข้างตกแต่งด้วยดอกไม้ตามฤดูกาลออกไปยังหน้าตำหนัก ก็พบว่ามีองครักษ์มารอนางอยู่ก่อนแล้ว ที่สำคัญพระรองแสนดีของนางก็มากับเขาด้วย ปลื้มใจอ่ะ!!
ดวงตากลมโตมองร่างสูงโปร่งของบุรุษเดินเข้ามาหา ท่าทางแอบร้อนใจของตงอู่ฉางลอบทำให้หัวใจสาวน้อยเช่นนางกระชุ่มกระชวย วันนี้โดนอสนีผ่านางก็ตายตาหลับแล้ว กรี๊ด!
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตี้จวิน..” สายตาตงอู่ฉางหันไปทางด้านในตำหนักแล้วจึงหันกลับมาใช้สายตาสำรวจเนื้อตัวของนาง “ไม่ได้ทำร้ายให้บาดเจ็บใช่หรือไม่”
ฟู่ซินเหรินรู้ว่าตงอู่ฉางเป็นห่วงนางตามนิสัยแสนดีของเขา ไม่ได้มีใจคิดเป็นอื่น แต่มันก็แอบที่จะลอบยิ้มไม่ได้นี่นา! นางพยายามงุบปากที่จะยิ้มให้ได้มากที่สุด ก่อนส่ายหน้าแล้วตอบ
“เขาไม่ได้ทำร้ายหม่อมฉัน ตี้จวินมีคำถามบางอย่างเท่านั้น หม่อมฉันให้คำตอบเขาไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก”
ตงอู่ฉางพยักหน้าไม่ซักไซร้ถามต่อว่าคือเรื่องอะไร ผู้ใดต่างก็รู้ว่าฟู่ซินเหรินปันใจให้จื่อหยางตี้จวิน อาจเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเขาทั้งสอง
“เจ้าพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
“เพคะ” นางตอบกลับทันที คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยที่นางดูเชื่อฟัง ไม่โวยวายอาละวาดดั่งฟู่ซินเหรินคนเก่า
ฟู่ซินเหรินก้าวเท้าเดินเตาะแตะตามหลังตงอู่ฉางไป แต่ต้องตาเหลือกโตเพราะอีกฝ่ายเรียกกระบี่ขึ้นมาแล้วใช้มันสำหรับขี่ ซึ่งนางกำลังยืนงงอยู่ว่าแล้วตัวนางต้องเรียกอะไรมาขี่ด้วยเหมือนกันรึเปล่า..
“ไท่จื่อคือว่าข้า..ว้าย!” ฟู่ซินเหรินที่หาข้ออ้างในหัวได้แล้วจะเดินไปขอร่วมเดินทางไปกับเขาด้วยด้วยท่าทางกระยิ้มกระย่อง ขาเจ้ากรรมดันไม่รักดี ดันอ่อนปวกเปียกก่อนเดินถึงตัวตงอู่ฉางเสียได้!
นางขาสั่นพับ ๆ ตั้งแต่แรก เกิดขาอ่อนแรงจะล้มลง ตงอู่ฉางได้ยินเสียงจึงหันกลับมา มือเกือบจะคว้าถึงตัวนางอยู่แล้ว ซึ่งฟู่ซินเหรินมองตามมือตงอู่ฉางที่กำลังเอื้อมมาก็ยิ้มอ่อนอย่างมีจริต พร้อมกับยื่นมือออกไปหาเช่นเดียวกัน หวังไว้ว่าต้องได้สัมผัสมือบุรุษแน่ ๆ
แต่แล้ว..
กลับมีร่างสูงของบุรุษที่นางเพิ่งกล่าวอำลาไปหมาด ๆ ปรากฏตัวขึ้นข้างกายคนทั้งสอง คว้ามือเล็กที่หวังเอื้อมสัมผัสมือผู้เป็นไท่จื่อไว้ด้วยมือใหญ่ของตัวเอง ก่อนรวบคนตัวเตี้ยกว่าขึ้นไว้ในวงแขน!
“เมื่อคืนใช้แรงไปมาก ร่างกายถึงอ่อนแอเช่นนี้ ข้าช่วยเจ้าหน่อยดีหรือไม่” เขากระชับอ้อมแขน เหลือบมองคนตัวเล็กที่เหลือกตาโตเพราะตกใจ แขนเล็กคล้องคอหนาโดยไม่รู้ตัว
“จื่อหยางตี้จวิน” ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใดเข้ามา ตงอู่ฉางที่ลงจากกระบี่มาแล้วจึงหลีกทางให้แล้วยกมือประสานทำความเคารพ
ส่วนฟู่ซินเหรินก็เริ่มดิ้นขลุกขลักทันที และหงุดหงิดด้วยที่เขามาขวางวาสนาสัมผัสมือผู้ชายหล่อของนาง! “เซียวจื่อหยาง! ท่านจะทำอะไรอีก”
“ไปส่งเจ้า” เขาตอบนิ่ง ๆ แต่ฟู่ซินเหรินไม่เข้าใจ!
..นี่นางหูฝาดรึเปล่า?!
ไม่ใช่เพียงฟู่ซินเหรินเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ ทุกคนในเวลานี้ต่างหน้าเหวอมองผู้เป็นตี้จวินไปตาม ๆ กัน ต่างมีคำถามเกิดขึ้นในใจ เพียงข้ามคืน ทั้งสองคนกลับดูสนิทสนมกันมากขึ้นผิดหูผิดตา
...แปลก แล้วที่พูดว่าใช้แรงไปมาก ใช้แรงอะไร? ตี้จวินสั่งให้แม่นางฟู่ขัดถูเรือนงั้นเหรอ ก็ไม่น่าใช่ หรือลงโทษให้นางวิ่งรอบตำหนัก ก็ไม่น่าใช่อีก!?
เสียงในความคิดคนรอบตัวดังกระหึ่มจนฟู่ซินเหรินเห็นมันพุ่งออกมาเป็นตัวหนังสือแปะหน้าผากพวกเขาแล้ว! เช่นเดียวกับตงอู่ฉาง ดูอ้ำอึ้งคล้ายต้องการเอ่ยถามแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป
โถถถถ หมดกันขาทองคำธงเขียวของนาง!
“ข้าใช้แรงมันสมองไปมาก จะอ่อนแรงไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนตี้จวินมีเรื่องอื่นให้ทำมากมาย ผู้น้อยไม่ลำบากตี้จวินเจ้าค่ะ”
เพราะจะไปกับตงอู่ฉาง จะไปกับเขาง่ะ! ฟู่ซินเหรินหน้าหงอ มือเล็กกำเป็นหมัด หันขวับมาส่งสายตาเขียวปั้ดรีบแก้ต่างก่อนที่ทุกคนจะคิดไปไกล!
แต่ก็ถูกเขาตัดฝันดับฉับ! “ไม่มี ข้าว่าง”
“!!”
มุมปากกดลึกเบาบางจนยากสังเกตเห็น เมื่อเห็นฟู่ซินเหรินหน้าเหวอ อ้าปากพะงาบ ๆ ในขณะที่ร่างสูงยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพราะแมวตัวเล็กในอ้อมแขนเริ่มซุกซนดิ้นจนเกือบตก
“ระวัง อย่าซน” เซียวจื่อหยางออกเสียงตำหนิ
หากเป็นนางแต่ก่อนคงอ่อนระทวยม้วนลงดินในคำตำหนิแสนหวาน ทว่าไม่ใช่กับฟู่ซินเหรินคนใหม่แน่นอน.. อ..อาจจะนิดนึงแต่ก็ไม่อยู่ดี!
“ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับข้าเจ้าค่ะ” นางเกือบจะร้องออกมาเป็นเพลง เพราะมันเป็นคำพูดที่ตรงตัวที่สุดในเวลานี้แล้ว นางจึงรวบมันไว้ในประโยคเดียวให้รู้เรื่องกันไปเลย!
เซียวจื่อหยางชะงักเท้า ส่งสายตากลับมาให้นางประมาณว่า ‘ความคิดไร้สาระ’
เอ้า..?!! นางตะโกนในใจ แล้วคำตอบของเซียวจื่อหยางก็ทำให้หน้านางแตกดังเพล้ง! หมอไม่รับเย็บ
“พิษยังไม่คลาย ในระยะสามลี้ ห่างกายเจ้า มันทำให้ข้ารู้สึกทรมาน” เอ่ยเช่นนี้เป็นเพราะเขาได้ลองมากับตัวเองแล้ว
เซียวจื่อหยางคิดไปตำหนักโอสถเพื่อใช้หอตำราหาทางแก้พิษ เคลื่อนตัวทันทีในระยะพันลี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ทว่าทันทีที่ทำเช่นนั้นก็มีความรู้สึกเจ็บปวดเข้ากระดูกขึ้นมา เขาจึงรู้ว่าไม่สามารถห่างจากฟู่ซินเหรินได้ กระทั่งกลับมาอยู่ใกล้นางในระยะไม่เกินสามลี้อาการถึงทุเลาลง และหายเป็นปลิดทิ้งเมื่ออยู่ข้างกายนาง
“ช่างเป็นสตรีที่ยุ่งยากจริง ๆ”
เซียวจื่อหยางแค่นเสียงในลำคอสบถออกมาอย่างหัวเสีย เปรยสายตามาประมาณว่า หากเป็นไปได้ก็อยากฆ่านางทิ้ง ๆ ไปซะ!
ขอโทษได้ไหมล่ะ ไม่ได้ตั้งใจนี่!
สุดท้ายฟู่ซินเหรินต้องจำใจนั่งขดตัวเก็บไม้เก็บมือเรียบร้อยให้เขาเป็นผู้ไปส่งนาง ในสายตาคนอื่นอาจจะมองว่าพวกเขาทั้งคู่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่ หรือจื่อหยางตี้จวินเริ่มใจอ่อนให้แม่นางฟู่บ้างแล้ว
หยุดก่อน.. ก่อนทุกคนคิดแบบนั้นช่วยดูให้ดีอีกครั้งด้วยเถอะ ว่าระหว่างทางจากตำหนักฮั่วเทียนถึงตำหนักกงเตี๋ยนของตงหลี่เทียนจวิน เขาตั้งใจกลั่นแกล้งปล่อยนางทิ้งลงข้างล่างไปกี่รอบกัน!! ยังไม่นับสายตาไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ต้องกลับมารับตัวนางก่อนพ้นระยะสามลี้อีก!
..ใครก็ได้ช่วยนางด้วย นางกำหมัดแล้วนะ! TT
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงตำหนักกงเตี๋ยน ตำหนักก่อด้วยหินอ่อนสีขาวมุก ใหญ่โอ้อ้าแม้มองจากที่ไกล ๆ ทั้งผนังและเสาแกะสลักงดงามตระการตายิ่งกว่าตำหนักอื่นในดินแดนสวรรค์
อาณาเขตบริเวณกว้างขวางมากกว่าตำหนักฮั่วเทียนถึงสิบเท่า รอบด้านประดับด้วยสวนดอกไม้หลายชนิดแปลกตา ในนิยายว่าบรรยายได้งดงามแล้ว ได้มาเห็นกับตายิ่งงดงามกว่าเท่าตัว แต่ฟู่ซินเหรินไม่มีเวลามาชมเฉยความงามยามนี้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เท้าเซียวจื่อหยางแตะพื้นหินอ่อน ร่างบางก็กระโจนพรวดออกจากอ้อมอกแกร่งอย่างไม่นึกเสียดาย ฟู่ซินเหรินร่างกายโงนเงนเกือบจะล้มเพราะถูกกลั่นแกล้งจนมึนหัว โชคดีที่ใช้เท้ายันไว้ได้จึงไม่ล้ม
โกรธ! โกรธมากแต่ทำอะไรไม่ได้ ฮึ่ย!
เซียวจื่อหยางเปรยมองร่างกายเล็กที่เกือบหงายหลัง เอ่ยขึ้นให้ได้ยินแค่สองคน “ข้าจะพูดกับเจ้าครั้งเดียว อย่าอยู่ห่างจากข้าเกินสามลี้ หากข้าทรมานจะกลับมาเอาชีวิตเจ้า”
“หือ0.0! ต..ตี้จวิน กลับมาก๊อนนน!!” นางเค้นเสียงเล็กเบาหวิวกับอากาศว่างเปล่า
ทิ้งคำขู่ไว้ให้นางเสียวสันหลังเล่น แล้วก็เร้นกายหายไปต่อหน้าต่อตา ฟู่ซินเหรินแทบร้องไห้ เซียวจื่อหยางหายไปแบบนี้แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ห่างจากเขาเกินสามลี้หรือไม่!!
ตงอู่ฉางเพิ่งมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ย่นคิ้วเพราะเห็นฟู่ซินเหรินยืนห่อไหล่คอตก ข้างกายว่างเปล่า แผ่นหลังเล็กสั่นดูน่าสงสาร เขาจึงเดินเข้าไปหานาง เพราะอย่างไรต้องพาตัวนางไปเข้าพบตงหลี่เทียนจวินอยู่แล้ว และการปล่อยนางเดินเหินอิสระเป็นเพราะยังให้เกียรตินางในฐานะบุตรสาวผู้นำเผ่าเฟิ่งหวงอยู่ อีกอย่างฟู่ซินเหรินไม่มีท่าทีขัดขืนอะไร จึงสั่งให้องครักษ์เว้นระยะห่างจากนางเล็กน้อยเพื่อไม่ให้นางรู้สึกอึดอัดจนเกินไป
“แม่นางฟู่ ตงหลี่เทียนจวินรอเจ้าอยู่”
จากด้านหลังเขาเห็นนางชะงักไป จวบจนฟู่ซินเหรินช้อนสายตาขึ้นมา ตงอู่ฉางพลันนิ่งค้างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นดวงหน้างามมีน้ำตาประดับหน่วยตาบางเบา นางเบะปากจนแก้มพองลม ดวงตาแดงช้ำดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก
“ไท่จื่อ หากตี้จวินเผลอสังหารหม่อมฉันเข้า เขาจะถูกโทษอะไรหรือไม่”
หากนางถูกเขาสังหารขึ้นมา อย่างน้อยนางก็หวังว่าไอลูกหมานั่นจะโดนโทษให้หนักที่สุด!!
ตงอู่ฉางอึ้งกับคำถามของนาง ภาพจื่อหยางตี้จวินยื่นไมตรีนำนางมาส่ง ฟู่ซินเหรินสมควรมีสีหน้าดีใจสิถึงจะถูก ไฉนนางถึงร้องไห้ ?
“คำถามนี้ข้าไม่รู้จะหาคำตอบอะไรให้เจ้าเหมือนกัน ตี้จวินสังหารคนจริง แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้กระทำผิดที่สมควรถูกลงโทษ”
ฮือออ ฟู่ซินเหรินโอดครวญในใจ นางมีความผิดชนักติดหลังมากมาย ถูกสังหารไปเซียวจื่อหยางก็ไม่มีความผิดอะไรสินะ บัดซบ!!
คนตัวเล็กเปลี่ยนท่าทีฉับพลัน เขม่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองจุดที่เซียวจื่อหยางเพิ่งหายตัวไป ก่นด่าเขาในใจสารพัดคำ! เรียกสายตาแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูเจือจางจากตงอู่ฉางไม่ยากเย็น
“หากทำเกินกว่าเหตุ ต่อให้คนผู้นั้นเป็นตี้จวิน ข้าต้องให้เขามารับความผิดให้ได้ ส่วนเจ้า..”
เขาให้คนตรวจสอบพบว่าฟู่ซินเหรินใช้คนลักพาตัวแม่นางหลิงเอ๋อร์มาจริง ๆ ทว่านอกจากแผลช้ำบนข้อมือก็ไม่พบร่องรอยทำร้ายอื่นบนร่างกายนางหรือรากวิญญาณอันสำคัญ สาเหตุที่นางสลบไปเป็นเพราะแม่นางหลิงเอ๋อร์เป็นเซียนตบะไม่มาก ยังต้องใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป การที่นางถูกขังแล้วไม่มีอาหารตกถึงท้อง ประกอบกับหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอจึงเกิดเป็นลมสลบไป
หากแต่ฟู่ซินเหรินออกคำสั่งส่งนางลงเตาหลอม ซึ่งเตาหลอมนั้นเซี่ยเซียนระดับหลิงเอ๋อร์ไม่มีทางทนรับได้ รากวิญญาณอาจสลายได้เลย เป็นเรื่องร้ายแรงมากเพียงพอให้โดนอสนีสวรรค์ห้าสาย แต่องครักษ์และสาวใช้ของนาง ยืนกรานหนักแน่นว่าแม่นางของพวกเขาเปลี่ยนคำสั่งแล้ว ถึงอย่างนั้นโทษก็อาจลดลงไม่มาก..
ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ได้ยินเรื่องร้ายกาจของนางมามากเช่นเดียวกัน แต่ฟู่ซินเหรินตรงหน้าเขากลับให้ความรู้สึกคล้ายเด็กสาวธรรมดาทั่วไป มันทำให้ตงอู่ฉางสงสัย เพราะเขาสัมผัสความคิดชั่วร้ายจากนางไม่ได้สักนิด
“เอาเถอะ ด้วยหน้าที่ของข้า ย่อมไม่ปล่อยให้ตี้จวินสังหารเจ้าได้”
ฟู่ซินเหรินได้ยินเข้าก็หูผึ่งหางกระดิก แววตาเศร้าหมองเปลี่ยนเป็นประกายซึ้งใจกราย ๆ
“ฮึก พระรองแสนดีมันดีกว่าพระเอกจริงด้วย หม่อมฉันกลับมาติ่งพระองค์แทนแล้วนับจากนี้ ขอโทษที่เผลอนอกใจนะเพคะ” เนี่ยแหละ ขาทองคำของนางล่ะ! พระเอกอะไรนั่นก็โยนให้นางเอกไปเถอะ!
ตงอู่ฉางไม่เข้าใจความหมายของนาง ทำเพียงยิ้มบาง ๆ ส่งให้คนที่ยิ้มกว้างจนแก้มปริ ครั้นเห็นคนเริ่มมองกันมากขึ้นและสมควรแก่เวลา จึงพาฟู่ซินเหรินเข้าไปด้านใน
ระหว่างสายตารอบข้างมองคนทั้งคู่เดินผ่านไปด้วยอาการตื่นตะลึงจนหน้าเหวอ นับตั้งแต่สตรีร้ายกาจคนนั้นมาพร้อมกับจื่อหยางเทียนจวินแล้ว ไม่พอนางยังยืนเสวนาส่งยิ้มกับตงอู่ฉางไท่จื่ออย่างน่าไม่อาย!
บุรุษทั้งสองที่สตรีในแดนสวรรค์หมายปองมากที่สุดเหตุใดถึงมาข้องแวะกับสตรีชั่วร้ายอย่างฟู่ซินเหรินได้?! โดยเฉพาะผู้เป็นตี้จวิน ที่ใครต่างก็รู้ว่าเขาไม่ชอบนางเพียงใด แม้แต่ใบหน้านางยังชิงชังไม่อยากจะมองกลับอุ้มนางมาส่งถึงหน้าตำหนักกงเตี๋ยน สร้างความอิจฉาตาร้อนให้กับเซียนหญิงคนอื่น ๆ
“หรือเรื่องที่ตี้จวินใจอ่อนให้ฟู่ซินเหรินแล้วจะเป็นเรื่องจริง!?” เซียนหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา ข่าวลือนี้เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งช่วงสางวันรุ่งขึ้นยังไม่ซา
สหายสองคนข้างกายนางชักสีหน้าคล้ายไม่อยากปักใจเชื่อ แล้วหนึ่งในนั้นส่ายหน้า มองแผ่นหลังฟู่ซินเหรินตาขวาง
“เป็นไปไม่ได้ ตี้จวินถูกนางทำให้เสียหาย เขาต้องมีโทสะมากกว่าใจอ่อนให้นางสิถึงจะถูก!”
“นั่นหน่ะสิ แต่ไท่จื่อก็ทำดีกับนาง ทั้งที่ประวัตินางร้ายกาจปานนั้น”
“พวกเขาทั้งสอง ถูกนางใช้เล่ห์กลอันใดแน่ ๆ”
เสียงพูดคุยบนลานกว้างส่วนใหญ่เน้นไปเรื่องระหว่างฟู่ซินเหรินและจื่อหยางตี้จวิน สีหน้าเปี่ยมสุขของผู้คนในวันนี้ที่ตั้งใจมารอชมความอัปยศของสตรีชั่วร้ายอย่างฟู่ซินเหรินก็กลายเป็นฉุนเฉียว ไม่ยิ้มแย้มดั่งเช่นขามา บ้างส่งเสียงขัดใจในลำคอ บ้างจงเกลียดจงชังฟู่ซินเหรินมากกว่าเดิม คนเหล่านี้ล้วนถูกฟู่ซินเหรินทำตัวร้ายกาจใส่ ไม่ก็ฟังความเขามาแล้วเกลียดนางตามไปด้วย
ผู้ที่ไม่ยิ้มแย้มตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว หนึ่งในนั้นคืออวิ้นซี สตรีร่างเพรียวสูงโปร่งสง่างามในชุดสีม่วงอ่อน อวิ้นซีสูงกว่าสตรีคนอื่นเล็กน้อยทำให้นางดูโดดเด่นท่ามกลางผู้อื่น ท่าทางเป็นมิตรกับใบหน้าหวานหยดทำให้อวิ้นซีเป็นที่ชื่นชอบแก่คนอื่นไม่ยากเย็นอะไร
ทว่าวันนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายนาง ด้วยสีหน้าไม่น่ามอง ยืนฟังเซียนหญิงเหล่านั้นคุยกันเงียบ ๆ อยู่มุมหนึ่งเพียงลำพัง ซึ่งอวิ้นซีได้เห็นภาพเหล่านั้นตั้งแต่แรก พลันมือทั้งสองข้างวางไว้ตรงช่วงท้องบีบเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว
‘เหตุใดตี้จวินถึงพาฟู่ซินเหรินมาด้วยตัวเอง?!’