“อ่า…”
เสียงทุ้มคำรามแผ่วในลำคอเพราะภาพตรงหน้า ผมสีดำน้ำหมึกดุจเส้นไหมนุ่มสยายไปตามที่นอนแหวกอวดหลังขาวซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยรักที่เขาทำเอาไว้ ดวงหน้าหวานแดงก่ำมีน้ำตาพร่างพราวราวกับน้ำค้างในฤดูฝน ก้นงอนนวลเนียนกระเด้งไปมาจากแรงกระทั้นแต่ถึงกระนั้นหญิงสาวกลับโยกรับตามจังหวะอย่างไม่รู้ตัว หน้าอกอิ่มกระเพื่อมไหวโคลงเคลงไปตามคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ มือหนาขย้ำสะโพกงอนก่อนเร่งเสยตัวตนความเป็นชายเข้าออกถี่ระรัวยิ่งขึ้น
ปั่ก ปั่ก ปั่ก ปั่ก
“อ๊า…ท่านพี่…ท่านพี่”
“อีกนิดนะคนดี….อืม…..ใกล้แล้ว”
ลำคอเล็กโก่งร้องจนสุดเสียง ช่องทางรักแดงช้ำจากการเสียดสีเนิ่นนานถึงครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง) สองขาเรียวสั่นระริกแทบตั้งชันไม่ไหวอีกต่อไป หากไม่ได้คนตัวโตประคองไว้คงร่วงลงไปนอนราบกับที่นอนนานแล้ว
“ไม่ไหวแล้ว…อ้า…ไม่…ไหว…อ๊าาาา”
รั่วซีรู้สึกเหมือนร่างกายล่องลอยไปบนท้องฟ้ายามราตรีหากแต่แรงกระทั้นจากด้านหลังที่มีทำให้รู้ว่าแท้จริงนางยังคงอยู่บนเตียงในเรือนนอน
“เจ้าเสร็จอีกแล้ว…เช่นนั้นพี่จะรีบตามเจ้าไปนะ”
ใช่…นางเสร็จเป็นรอบที่ 3 หรือ 4 ก็ไม่แน่ใจนัก แต่พ่อพระเอกคนนี้กลับยังไม่เสร็จเลยสักครั้ง ซึ่งดูจากการที่ส่วนนั้นมันขยายใหญ่ขึ้นอีกคงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เพราะเขาใกล้ถึงปลายทางเช่นกัน
“อือ…อ้า……”
แรงที่โฉมสะคราญมีหายไปหมดประหนึ่งถูกสูบพลังชีวิต การเข้าหอกับชายหนุ่มช่างกินแรงมากมายเสียเหลือเกิน ผู้นำตระกูลหยางไม่ปล่อยให้ฮูหยินคอยนาน หลังฝังแท่งทวนด้ามยาวเข้าไปจนมิดครั้งสุดท้ายสายธารชีวิตสีขาวขุ่นก็ถูกฉีดลึกเข้าไปข้างในจนหมด
“แฮ่ก แฮ่ก”
กายแกร่งเต็มไปด้วยเหงื่อค่อยๆ ถอนตัวตนออกมาอย่างระมัดระวัง เขาไม่ต้องการทำให้ภรรยาได้รับบาดเจ็บเพิ่ม เพียงเท่านี้ร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนั้นก็รับภาระหนักมากเกินไปแล้ว
“ไปนอนที่ห้องข้างกันเถิดน้องหญิง” ชายหนุ่มกระซิบบอกคนงัวเงียพลางอุ้มร่างบางขึ้นมาจากที่นอนอันเต็มไปด้วยคราบน้ำรักของคนทั้งคู่
“อืออ” สติน้อยนิดทำให้นางครางรับก่อนจะปล่อยให้เขาจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวของตนเองและภรรยาเสร็จแล้วจึงพานางไปนอนที่ห้องด้านข้าง อ้อมแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามวางคนงามลงด้วยความทะนุถนอม
“ซีซี พรุ่งนี้อยากไปซื้ออุปกรณ์วาดภาพด้วยกันหรือไม่” ช่วงนี้เขาเห็นอีกฝ่ายอยู่แต่ในเรือนจึงเอ่ยปากถาม
“ซื้อของหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมปรือใกล้ปิดย้ำประโยคอีกครั้ง
“ใช่ พี่มีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี” หากมีเวลาเหลือการได้พาหญิงสาวไปเปิดหูเปิดตาบ้างย่อมดีกว่า
“ดียิ่งเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบรับก่อนสติสุดท้ายจะขาดห้วงหลับใหลไม่อาจรั้งไว้ได้อีก
“ขอให้ราตรีนี้เจ้าจงหลับฝันดีนะ ซีซี” ริมฝีปากหยักจุมพิตลงตรงหน้าผากมนเฉกเช่นที่ทำประจำก่อนจะตวัดแขนโอบกอดร่างนุ่มเข้ามาแล้วหลับตาลงปล่อยให้ตนจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งนิทราพร้อมกับภรรยา
วันรุ่งขึ้นรั่วซีถูกจับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีส้มเข้มปักลายหมู่ตาน (ดอกโบตั๋น) สีชมพูช่วยขับผิวเนียนให้ขาวกระจ่างมากขึ้นกว่าเดิม อาจเพราะเจ้าของร่างคนก่อนชอบอยู่แต่ในเรือนแทบไม่โดนแดดเลยสักครั้งทำให้ผิวที่ควรขาวอยู่แล้วกลับดูขาวมากยิ่งขึ้น หลายวันมานี้นอกจากกินอาหารมีประโยชน์ยังได้ดื่มยาบำรุงจึงเพิ่มความอมชมพูมีน้ำมีนวลเข้าไปอีก เรียกได้ว่าความงดงามของหยางฮูหยินช่างดุจบุปผาสะพรั่งก็มิปาน
“อยากเปลี่ยนใจเสียแล้วสิ” คนตัวโตบ่นพึมพำเมื่อร่างบางเดินออกจากห้องแต่งตัวมา
“ท่านพี่กล่าวสิ่งใดหรือเจ้าคะ” เพราะอยู่ไกลเกินไปนางจึงถามซ้ำอีกครั้ง
“พี่เพียงรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครมาเห็นภรรยาแสนสวยของพี่ก็เท่านั้น” มือหนาเอื้อมไปลูบแก้มยุ้ยอย่างอ่อนโยน
“ท่านพี่!” รั่วซีไม่รู้จะทำเช่นไรกับความปากหวานของเขา ทำไมถึงได้เป็นผู้ชายอบอุ่นขนาดนี้นะ!
“หึหึ ไปกันเถิด วันนี้เจ้าห้ามอยู่ห่างจากพี่รู้รึไม่” คราแรกคิดว่าจะให้หญิงสาวรอที่ร้านน้ำชาให้เขาจัดการธุระสำคัญเสร็จก่อน แต่ยามนี้คงไม่ได้แล้ว หากมีชายใดต้องตานางขึ้นมาเขาคงมิอาจปล่อยให้มันเกิดขึ้น
“เจ้าค่ะ” คนตัวเล็กรับคำเสียงใส ยามขึ้นรถม้าก็มีร่างสูงคอยประคองมิห่าง บรรดาบ่าวไพร่ต่างซุบซิบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เจ้านายของพวกเขาหวานชื่นกันมากกว่าแต่ก่อน
จวนของตระกูลหยางอยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าไหร่นักใช้เวลาไม่นานก็มาถึง ตึกสูงห้าชั้นตั้งตระหง่านตรงกลางระหว่างทางของถนนเส้นหลัก มันคือเหลาอาหารชื่อดังเฟยหลงตงอวี่ (มังกรที่โบยบินท่ามกลางฝนตกในฤดูหนาว)
“ยินดีต้อนรับแขกทั้งสองท่าน มิทราบว่าได้จองที่นั่งไว้รึไม่ขอรับ” เพราะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามส่วนมากที่นั่งจึงไม่ค่อยว่างให้ขาจรได้มีโอกาสแวะเวียนมาใช้บริการ
“ข้าจองห้องพิเศษชั้น 4 เอาไว้แล้ว” เอ่ยจบร่างสูงก็เดินผ่านไปอย่างคุ้นชินพร้อมจับจูงภรรยาให้เดินตามมาด้วย ทุกขั้นบันไดดวงตาคมคอยเหลือบมองฮูหยินไม่ให้เกิดอุบัติเหตุได้
เหลาอาหารนี้ชั้น 1-2 ส่วนใหญ่ใช้ต้อนรับบุคคลทั่วไป คหบดี รวมไปถึงขุนนางระดับล่าง ชั้น 3-4 เป็นแขกพิเศษยิ่งชั้นสูงเท่าไหร่หมายความว่ามีความสำคัญมากเท่านั้น ส่วนชั้น 5 มีข่าวลือมาว่าหากมิใช่เชื้อพระวงศ์คงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป
“พี่ขอให้เจ้านั่งรออยู่หลังม่านสักครู่ เจ้าทนไหวรึไม่” เขากลัวนางจะเบื่อเสียก่อน
“ข้ารอได้เจ้าค่ะ” รั่วซียิ้มหวานให้สามี อีกฝ่ายต้องมาทำธุระยังอุตส่าห์พาตนออกมาข้างนอกเพื่อซื้อของให้ แค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว
เมื่อเข้ามาในห้องหญิงสาวกวาดตามองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ห้องนี้กว้างมากแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตรงกลางคือโต๊ะน้ำชาขนาดกลางพร้อมเก้าอี้จำนวน 8 ตัวล้อมรอบ ทางขวาเป็นฉากกั้นพร้อมม่านบังเอาไว้ เปิดไปจะพบโต๊ะเล็กริมหน้าต่างพร้อมกับเตียงติดผนังสำหรับพักผ่อน ทางซ้ายคืออ่างน้ำมีน้ำอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นกลีบดอกไม้ที่โรยเอาไว้ สรุปแล้วเหลาอาหารแห่งนี้นอกจากมากินข้าวคงเอาไว้ทำอย่างอื่นด้วยกระมัง…
“เจ้ามาเร็วกว่าข้าอีกแล้วนะจื่อหาน” เสียงทุ้มของแขกผู้มาเยือนทำเอารั่วซีรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา แม้มิได้เห็นหน้าเพราะอยู่หลังฉากกั้นแต่ต่อมอยากรู้อยากเห็นก็สั่งให้เงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขา
“กระหม่อมย่อมสมควรมารอพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มทักทายกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
“เดี๋ยวนี้ไปไหนต้องพาภรรยาติดกายไปด้วยเสียแล้วหรือ” บุรุษสูงศักดิ์เอ่ยเย้าผู้ที่เป็นข้ารับใช้และสหายคนสนิท
“เรื่องที่จะคุยในวันนี้มิใช่เรื่องใหญ่ นางไว้ใจได้พ่ะย่ะค่ะ” หยางจื่อหานเมินคำหยอกของคนตรงหน้า
“ฮ่าๆ หากเจ้าว่าเช่นนั้นเราก็ไม่ว่าอันใดหรอก เพียงแต่มิคิดเลยว่าหยางฮูหยินผู้แสนเก็บเนื้อเก็บตัวจะมีใบหน้างดงามล่มเมืองถึงเพียงนี้ หรือแท้จริงแล้วเจ้าซุกซ่อนนางไว้ด้วยกลัวว่าจะถูกบุรุษอื่นแย่งชิงไปเล่าจื่อหาน” เห็นคิ้วกระบี่พันเกี่ยวเป็นปมทำเอาไท่จื่อแห่งแคว้นจิงโจวยกยิ้มขบขัน สหายผู้นี้อ่อนโยนต่อคนในบ้านแต่กลับตีหน้านิ่งต่อคนข้างนอก กลับกันพอโดนหยอกเรื่องภรรยาก็มีสีหน้าหงุดหงิดใจอันหาได้ยากเสียอย่างนั้น แสดงว่าสตรีหลังม่านกั้นคงมีความสำคัญไม่น้อย
“เข้าเรื่องเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องพาภรรยาไปเดินซื้อของอีก” ทั้งแคว้นคงมีแค่ผู้นำตระกูลหยางที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ใส่เชื้อพระวงศ์ซึ่งจะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต
หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าหวานแดงเถือกกับคำพูดของสามี อีกทั้งยังตกใจมากเพราะแขกที่เขามาพบคือไท่จื่อ ซึ่งตามเนื้อเรื่องในนิยายพวกเขาต้องฝ่าฟันปัญหามากมายกว่าจะผลักดันบุรุษสูงศักดิ์ให้ถึงปลายทางที่ตั้งของบัลลังก์มังกร