“ขออภัยเจ้าค่ะ/ขออภัยขอรับ” สองแฝดไม่ได้มีทีท่าสลดทั้งยังเข้ามานั่งออดอ้อนด้านข้างมารดา ก่อนจะสังเกตเห็นแขกผู้แสนคุ้นตาซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล
“คารวะพี่สะใภ้เจ้าค่ะ/คารวะพี่สะใภ้ขอรับ” สายตาสองคู่จับจ้องมายังภรรยาของพี่ใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกนะ” โฉมสะคราญฉีกยิ้มรับแขกจนเหงือกแทบแห้ง วันนี้เพียงคิดเข้าหาแม่สามีเท่านั้นมิได้คาดหวังว่าจะมาเจอน้องชายน้องสาวของเขาด้วย
“ตรวจบัญชีกันอยู่หรือเจ้าคะ” หยางจื่อโยวเอ่ยถามเมื่อพบว่ามีสมุดบนโต๊ะหลายเล่ม
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้ของเจ้าเรียนรู้ได้เร็วมาก” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“พี่สะใภ้เก่งคำนวณด้วยหรือขอรับ” น้อยคนนักที่จะเก่งด้านนี้นอกจากจะเกิดในตระกูลคหบดี
“พี่เพียงรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น….หรือพวกเจ้าอยากให้พี่ช่วยสอนรึไม่ แม้จะสอนได้ไม่ดีแต่พี่น่าจะบอกขั้นตอนการคิดตามที่พี่เข้าใจให้พวกเจ้าลองศึกษาดู” อยู่ๆ แผนการเป็นครูสอนพิเศษให้น้องสามีก็แล่นเข้ามาในหัว นี่แหละโอกาสสานสัมพันธ์กับพวกเขา!
“จะไม่เป็นการรบกวนพี่สะใภ้หรือขอรับ” หยางจื่อจิ้งไม่ค่อยเชื่อถืออีกฝ่ายนักจึงแสร้งเกรงใจไปก่อน
“นั่นสิเจ้าคะ ข้ากลัวว่าพวกเราจะรบกวนเวลาทำงานของพี่สะใภ้” ดรุณีน้อยผู้เข้าใจฝาแฝดของตนดีช่วยเอ่ยสนับสนุน
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่เต็มใจหากมันช่วยให้ทั้งสองเรียนรู้ได้” รั่วซีมาดหมายจะจับเจ้าเด็กแสบคู่นี้ให้อยู่หมัด
“พวกเจ้าได้มีโอกาสเรียนรู้กับพี่สะใภ้ย่อมดีกว่าซุกซนไปวันๆ มาเรียนที่เรือนของแม่นี่แหละ รบกวนเจ้าด้วยนะซีเอ๋อร์” เจ้าของเรือนจัดแจงไม่ให้ใครโต้แย้งได้อีก
“เจ้าค่ะท่านแม่/ขอรับท่านแม่” เจ้าตัวยุ่งทั้งสองหม่นหมองไปทันตา เรื่องเรียนนี่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาจริงๆ
“หาได้รบกวนไม่เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าขอเตรียมการสอนสัก 3 วันนะเจ้าคะ” หลักสูตรการเรียนคำนวณเบื้องต้นไม่ได้ยากเลย แต่ต้องทำแบบทดสอบมาให้พวกเขาลองทำดูก่อน อย่างน้อยจะได้ประเมินพื้นฐานของแต่ละคนได้
“ไม่มีปัญหา ต้องการสิ่งใดก็เรียกใช้พ่อบ้านเถิด”
กลายเป็นว่าสองแฝดจอมป่วนประจำตระกูลหยางโดนบังคับให้เรียนคำนวณอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งที่คราแรกเพียงหวังมาก่อกวนพี่สะใภ้เล็กน้อยเท่านั้นไฉนเรื่องราวจึงลงเอยเช่นนี้ได้หนอ
เสร็จจากการเรียนของวันนี้รั่วซีจึงกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่แล้วเดินออกไปยังด้านหน้าจวนเพื่อรอรับสามี นางบอกเขาเอาไว้แล้วว่าหากจะกลับตอนไหนให้ส่งคนมาบอกก่อน หรือถ้ามีธุระต้องกลับดึกก็ต้องบอกให้รู้จะได้ไม่กังวลมากนัก เพียงพูดแค่นั้นชายหนุ่มกลับยิ้มเต็มใบหน้าพร้อมรับคำอย่างดีว่าจะทำตามที่บอก
“รอนานรึไม่” ไม่นานนักรถม้าสลักตราประจำตระกูลก็จอดลง ร่างสูงสมส่วนในชุดสีดำสนิทปักลายนกเหยี่ยวโบยบินลงมาก่อนเอ่ยถามภรรยา มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยเหงื่อชื้นตรงข้างขมับให้ด้วยความอ่อนโยน
“มะ ไม่เลยเจ้าค่ะ” แสงตะวันสีส้มเป็นประกายสะท้อนใบหน้าหล่อเหลากับดวงตาคู่นั้นพาลพาให้ใจหญิงสาวสั่นระรัว
“จริงหรือ” นิ้วเรียวทัดปอยผมซึ่งหล่นลงมาปรกแก้มนุ่มจากการก้มหน้าก้มตาของคนขี้อาย เหตุใดคนตรงหน้าจึงเขินได้ตลอดเวลาเช่นนี้นะ
“เจ้าค่ะ ข้าว่าท่านพี่รีบไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่านะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะไปรอที่ห้องโถง” เสียงหวานละล่ำละลักบอกก่อนจะรีบปลีกตัวออกจากสถานการณ์อันทำให้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทันที
หยางจื่อหานมองส่งตามร่างบางซึ่งก้าวเท้าราวกับวิ่ง รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาจากนั้นจึงเดินตรงไปที่เรือนพักเพื่ออาบน้ำตามที่ภรรยาสั่ง มื้ออาหารก็ยังคงผ่านไปด้วยบรรยากาศหวานชื่น รั่วซีปรนนิบัติดูแลชายหนุ่มอย่างดีแม้จะรู้สึกไม่กล้าสบมองดวงตาคมคู่นั้น เขาไม่คิดปิดบังเลยว่ากำลังรู้สึกชอบใจแค่ไหนที่มีนางคอยเอาใจใส่ ช่วงค่ำคนยุคนี้จะเข้านอนกันเร็วหากไม่มีงานคั่งค้าง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะไปทำงานที่ห้องหนังสือรอให้อีกฝ่ายหลับจึงจะกลับเข้ามานอนเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าลำบากใจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา
“ทะ ท่านพี่” ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนทักท้วงเบาๆ เมื่อมือหนาลูบไล้เข้ามาในเสื้อ
“พี่รู้ว่าเจ้ายังไม่หาย เพียงแต่พี่อยากสัมผัสเจ้าเพื่อแบ่งปันความอบอุ่นเท่านั้น” คนงามหน้าแดงก่ำคล้ายจะคั้นออกมาเป็นหยดเลือด ในใจอดค่อนขอดคนตัวโตไม่ได้ว่าจะมาแบ่งปันความอบอุ่นอะไรตอนนี้
“วันนี้ข้าไปเรียนรู้งานกับท่านแม่ ท่านเห็นว่าข้าสามารถคำนวณได้เร็วทั้งที่ข้าเองก็ความจำเสื่อมเพียงแต่รู้สึกว่าควรทำเช่นไรเท่านั้น สุดท้ายแล้วท่านแม่จึงมอบหมายให้ข้าสอนวิธีคำนวณแก่อาโยวกับอาจิ้ง ท่านพี่คิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ” เรื่องในเรือนถึงเป็นหน้าที่ของฮูหยินเอก แต่อย่างน้อยนางก็อยากให้เขารับรู้เอาไว้ด้วย ไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาจนเกินไป
“ถ้าเจ้าไม่เหนื่อยจนเกินไปก็ทำเถอะ” ชายหนุ่มตอบรับพลางจูบลงบนหน้าผากมน รู้สึกได้ว่าหญิงสาวพยายามสานสัมพันธ์กับคนในบ้านอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเขาดีใจหากภรรยาเข้ากับครอบครัวของเขาได้
“ไม่เหนื่อยหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่….ข้ามีเรื่องอยากขอร้องท่านพี่” รั่วซีเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก กลัวว่าหลังจากพูดไปเขาจะระแวงสงสัยในตัวตนของนางรึไม่
“หืม เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือ” มือหนาเชยคางให้ดวงตากลมสบมองมา ทั้งสองสบสายตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คนตัวเล็กจะตัดสินใจกล่าวต่อ
“ข้า…อยากขอวาดภาพเจ้าค่ะ” การวาดรูปคือทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งต่อให้ตายจากชีวิตเดิมมาแล้วมันก็ยังคงฝังแน่นในความนึกคิด การไม่ได้วาดรูปอีกแล้วมันทำร้ายจิตใจของนางเกินไป
“วาดภาพ…อย่างนั้นหรือ” คิ้วกระบี่เลิกขึ้นอย่างฉงน ไม่เคยรู้เลยว่าสตรีที่แต่งด้วยนั้นชอบทำสิ่งใดเพราะแต่ละวันร่างบางเก็บตัวเงียบทำบัญชีเสร็จก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้น
“เจ้าค่ะ” เพราะไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดของนิยายเท่าไหร่นักจึงจำไม่ได้แล้วว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาทำอะไรได้หรือไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่รั่วซีเอ่ยปากขอเขาก่อน
“ย่อมได้ พี่จะสั่งให้พ่อบ้านหาอุปกรณ์มาให้เจ้า และถ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมเจ้าสามารถจัดการเองได้เลยไม่ต้องบอกพี่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ!” ด้วยความดีใจจมูกรั้นจึงชะโงกออกไปกดลงบนแก้มสากเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของชายหนุ่ม นั่นทำให้ผู้นำตระกูลหยางถึงกับชะงักค้าง ใบหูแดงระเรื่อด้วยไม่คิดว่าภรรยาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“น้องหญิง…หากเจ้ายังซุกซนเช่นนี้เกรงว่าพี่คงจะอดใจไม่ไหวแล้วนะ” เสียงทุ้มเริ่มแหบพร่าจากความต้องการตักตวงความหวานจากร่างนุ่มนิ่ม
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ขะ ข้า จะนอนนิ่งๆ แล้วเจ้าค่ะ” เมื่อคืนมันหนักหน่วงเกินไปดังนั้นวันนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องพักเสียก่อน
เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของชายหนุ่มทำให้ดวงหน้าหวานหลับตาพริ้มพลางซุกซบเข้าไปในอ้อมกอดแกร่งซึ่งโอบรัดนางไว้อย่างทะนุถนอม หญิงสาวพอใจมากเมื่อเขาไม่คิดหักหาญหรือข่มเหงยามที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ นี่แหละบุรุษที่สมควรแก่การรักษาไว้ให้พ้นมือจากสตรีทั้งหลายซึ่งจับจ้องแย่งชิง
หยางจื่อหานมองคนในอ้อมแขน เขาคิดเสมอว่าต่อให้นางไม่รักก็ไม่เป็นไรขอเพียงหญิงสาวดูแลครอบครัวได้ดีก็พอแล้ว เพียงแต่ 2 วันที่ผ่านมามันทำให้รู้ว่าเขาคงยอมไม่ได้หากนางในตอนนี้จะหันไปรักบุรุษอื่นอีก ต่อไปนี้เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้คนงามมีความสุขและไม่มีความคิดที่จะหนีไปจากเขาอีกต่อไป