แสงรุ่งอรุณของวันใหม่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ดวงตาคมทอดมองเนื้อนวลในอ้อมแขนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยจากบทรักอันร้อนแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาตั้งใจจะถนอมนางให้มากแต่กลายเป็นว่ายิ่งอีกฝ่ายตอบสนองยามที่เขาสัมผัสก็ยิ่งห้ามตนเองไว้ไม่อยู่ จากห้องน้ำร่างบางถูกอุ้มมาต่อบนเตียงนอน เขาถาโถมเข้าหานางไม่ยั้งแรงจนกระทั่งพระจันทร์เกือบลาลับไป
“อึก” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเริ่มรู้สึกตัวอาการปวดระบมก็แจ่มชัดในทันที
“ตื่นแล้วหรือ” มือหนาเกลี่ยผมหน้าให้ สีหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ท่านพี่” ความทรงจำตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำขาดหายไปช่วงใดก็มิอาจทราบได้ รู้แต่เพียงว่านางสุขสมนับครั้งไม่ถ้วน
“ปวดตัวมากรึไม่ พี่ขอโทษที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจให้ดี” คนตัวโตหงอยเหงาอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“น้องมิเป็นไรเจ้าค่ะ หากท่านพี่ช่วยเมตตาให้น้องได้พักสัก 2-3 วัน น่าจะดีขึ้น” คำพูดหยอกเย้าทำเอาใบหูใหญ่แดงระเรื่อ
“พี่มิคิดหักโหมเจ้าถึงเพียงนั้น” เขาบีบจมูกรั้นกลบเกลื่อน แม้ใจจริงแล้วอยากกอดก่ายกายนุ่มหอมละมุนทุกคืนวันก็ตาม
“เป็นเช่นนั้น” คนงามแสร้งทำท่ากอดอกพยักหน้าราวกับเข้าใจถ่องแท้จนโดนสามีบีบแก้มยุ้ยไปอีกหนึ่งที
“แต่งตัวก่อนเถิด ประเดี๋ยวจะสายเอา”
จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันทำธุระตามปกติ เพียงแต่รั่วซีกลับเขินอายอย่างหนักเมื่อเห็นสภาพห้องเต็มสองตา…
บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สาวใช้ไม่เคบพบเห็น คนงามแย้มรอยยิ้มหวานคีบอาหารเอาใจสามีตลอดเวลา ด้านชายหนุ่มเองก็ค่อยถามไถ่สุขภาพอีกฝ่ายอย่างห่วงใย ตักน้ำแกงซึ่งเขาสั่งให้คนครัวตุ๋นมาบำรุงร่างกายภรรยาโดยเฉพาะ หากชีวิตคู่ยังดำเนินไปในเส้นทางนี้ บุรุษเช่นเขาย่อมวาดหวังบุตรชายหญิงจากสตรีข้างกาย
“กินเยอะๆ เจ้าผอมเกินไปแล้ว” หยางจื่อหานคีบไก่ตุ๋นน่องโตมาไว้ในชามพลางเอ่ยบ่น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ดวงตากลมมองไก่ที่เขาคีบให้ด้วยความอิ่มเอม แต่ก็คิดว่าเจ้าของร่างเดิมคล้ายกับคนตรอมใจยิ่ง ร่างกายซูบผอมแทบไร้แรงเดิน ไหนจะไม่เคยดูแลตนเองเลยสักนิดขนาดเครื่องสำอางแต่งหน้าในห้องยังน้อยชิ้น
“วันนี้เจ้าจะพักอยู่แต่ในเรือนสินะ” ประโยคนี้ถ้าเป็นแต่ก่อนคงไม่ถามเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ไม่เจ้าค่ะ วันนี้ข้าคิดว่าจะไปเรียนรู้งานกับท่านแม่” นั่นคือเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้สำหรับแผนการตีสนิทครอบครัวสามี
“เจ้ามิเห็นต้องรีบร้อนไปเลย” ผู้นำตระกูลหยางตีหน้ายุ่งไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเหนื่อยเกินไปนัก นางเพิ่งมีอาการความจำเสื่อมเมื่อไม่นานนี้
“มิได้รีบร้อนเลยเจ้าค่ะ เพียงแต่อยู่คนเดียวมันน่าเบื่อเกินไป หากได้ไปนั่งพูดคุยทำความคุ้นเคยกับท่านแม่สามีคงช่วยได้มาก” รั่วซีแถจนสีข้างถลอก แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“ถ้าเหนื่อยขึ้นมาไม่จำเป็นต้องฝืน รู้รึไม่” ดวงหน้านวลเนียนพยักหน้ารับเร็วรี่ พ่อคนตัวโตตรงนี้ช่างสมฉายาพระเอกไมโครเวฟจริงๆ โชคดีแค่ไหนแล้วเพราะนางมาอยู่ร่างนี้ในตอนที่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ หากมาอยู่ในตอนที่เรื่องราวจบลงแล้วคงได้เตรียมตัวโดนจับถ่วงน้ำได้เลย
เรือนกลาง
ภาพเจ้านายทั้งสองหวานกันแต่เช้าถูกพูดปากต่อปากจนไม่มีใครในจวนที่ไม่ทราบ ขนาดหยางมู่ห่าวผู้เป็นบิดายังได้รับรู้ไปด้วย
“บ่าวไพร่เรือนหลักต่างพูดเรื่องนี้ไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ” หัวหน้าสาวใช้ซึ่งคอยเป็นมือเป็นเท้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามารายงาน
“อืม เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ฟ่านเลี่ยงเหลียงโบกมือไล่สาวใช้ก่อนจะคีบอาหารให้สามีตน
“ข้ามิคิดว่าพวกเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้รวดเร็วเช่นนี้ คงเพราะนางความจำขาดหายจึงลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง” ตอนรับปากตกลงให้บุตรสาวจากตระกูลเสิ่นแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของบุตรชายก็ไม่คิดว่าสตรีนางนั้นจะมีใจกับคนรักเก่าถึงเพียงนั้น มีบุตรีตระกูลใดบ้างไม่ต้องแต่งงานเพราะผลประโยชน์ของครอบครัว บางคนไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวจวบจนวันแต่งด้วยซ้ำ
“ถือว่าโชคชะตาบันดาลให้เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก่อนข้าสิ้นใจก็ยังได้เห็นความสุขของลูกชายคนโต” เพราะเคยมีแม่สามีมาก่อนจึงรู้ว่าสิ่งใดไม่ควรทำกับผู้เป็นสะใภ้ นางไม่เคยกดดันหรือแสดงกิริยาแบ่งแยกสักครั้ง แต่สะใภ้คนนี้กลับเก็บเนื้อเก็บตัวเจอหน้าแต่ละครั้งคล้ายกับคนแปลกหน้า
“อืม” อดีตประมุขของจวนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะกินอาหารไปเงียบๆ
กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนล้วนเป็นเช่นนี้ ตื่นเช้ามารับสำรับแยกเรือนกันเพื่อความไม่วุ่นวาย พอได้เวลาบุรุษผู้มีการมีงานจะออกจากบ้านไปทิ้งไว้เพียงสตรีให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มีบางวันหากอยากออกไปข้างนอกเพียงแจ้งพ่อบ้านเอาไว้ก็พอแล้ว หลังจากนั้นตกเย็นก็รอสามีกลับบ้าน กินข้าว เข้านอน…ช่างแตกต่างจากยุคสมัยที่หญิงสาวจากมายิ่ง
ร่างบางเดินทอดน่องตามการนำทางของสาวใช้คนสนิท เมื่อส่งสามีออกจากจวนเรียบร้อยแล้วจึงได้ให้ซิ่วซิ่วพาไปหาเป้าหมายหลักของวันนี้
“ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” นางยอบกายลงเหมือนที่เห็นในความฝันนั่น อย่างน้อยเรื่องพื้นฐานก็พอช่วยได้บ้าง
“มานั่งนี่สิ” ฟ่านเลี่ยงเหลียงได้รับรายงานก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายจะมาหา
“อาการของเจ้าดีขึ้นบ้างรึไม่” ดวงตาคู่สวยทอประกายพึงพอใจเมื่อเห็นกิริยาท่าทางสดใสกว่าเดิม แต่ก่อนเจอกันทีไรความหม่นหมองทำให้เสียบรรยากาศตลอด
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ายังไม่สามารถจำสิ่งใดได้ จึงอยากรบกวนท่านแม่ให้ช่วยสอนสั่งหน้าที่ฮูหยินของจวนจะได้รึไม่เจ้าคะ” คนตัวเล็กอ้อมแอ้มถามราวกับเด็กน้อยกลัวโดนดุ เรียกความเอ็นดูได้เป็นอย่างดี
“ย่อมได้ ดีเสียอีกเพราะแต่ก่อนเจ้าเอาไปเรียนรู้ด้วยตนเองหมดทุกอย่าง…ช่างเถอะๆ อาปิน ไปเอาสมุดบัญชีทั้งหมดมา” สตรีวัยกลางคนรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้การเริ่มต้นใหม่ของพวกนางเสียเปล่า
“เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทออกไปจัดการตามคำสั่ง
“แต่ก่อนมิรู้ว่าลูกสะใภ้ทำสิ่งใดให้ท่านแม่ไม่สบายใจบ้างต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เท่าที่ฟังแล้วดูเหมือนว่าเสิ่นรั่วซีคนก่อนจะแยกตัวไม่สนใจครอบครัวสามีจนน่าเกลียดไปหน่อย
“ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อยามนี้เจ้าจำสิ่งใดไม่ได้แล้วก็ให้ถือเสียว่าเรามาเริ่มต้นกันใหม่” หญิงสาวยิ้มรับไมตรีจากแม่สามีด้วยความอุ่นใจ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้อีกต่อไปแล้ว
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่”
งานด้านบัญชีไม่ใช่อะไรที่ยากสำหรับผู้ซึ่งมาจากยุคสมัยที่ต้องเรียนบวกลบคูณหารมาตั้งแต่เล็กจนโต คำว่าบัญชีของยุคนี้เหมือนกับการจดรายรับรายจ่ายมากกว่า อาจวุ่นวายตรงที่สมุดแต่ละเล่มมาจากร้านรวงของตระกูลหยางหลายร้านจึงต้องตรวจหลายรอบ ส่วนบัญชีของจวนมีเพียงรายจ่ายของแต่ละเรือนกับค่าใช้จ่ายทั่วไป
“เจ้าคิดได้เร็วยิ่งนักซีเอ๋อร์” เมื่ออยู่ด้วยกันมาครึ่งวันความเอ็นดูสะใภ้ผู้นี้จึงพุ่งทะยานจนเรียกหาอย่างสนิทสนม
“ข้าก็มิแน่ใจว่าเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยนักเจ้าค่ะ” คนงามยิ้มแห้งตอบรับคำชมนั้น
“ท่านแม่ขอรับ/ท่านแม่เจ้าคะ” สองเสียงเพรียกหาดังขึ้นหน้าเรือนกลางพร้อมกับร่างสองแฝดวิ่งเข้ามาหามารดาของตน
“เหตุใดจึงเสียงดังกันนัก” ฟ่านเลี่ยงเหลียงยกมือขึ้นคลึงขมับด้วยท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ เพราะมีบุตรสองคนนี้ห่างจากคนโตถึง 4 ปี สุดท้ายแล้วนางจึงประคบประหงมพวกเขามากเกินไป มาสำนึกยามนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว