ตอนที่ 1 ปีหนึ่ง เพื่อนกัน (3)

1435 คำ
อาทิตยาที่กำลังเก็บสมุดปากกาใส่กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ชะงัก เมื่อได้ยินคนข้างๆ หันไปพูดกับแก๊งสี่หนุ่มข้างหลัง “กินข้าวไหนกัน” “โรงอาหารมั้ย” “ได้” ขุนพลตอบสั้นๆ แค่นั้น แล้วก็หันมาหาเธอ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ทำให้อาทิตยารู้สึกประหลาดใจและหัวใจพองโตไปพร้อมกัน “ไปกินข้าวด้วยกัน” “เอ่อ...ค่ะ” อาทิตยาไม่คิดจะปฏิเสธ ด้วยว่าเธอยังไม่มีเพื่อน การที่เขาเสนอตัวชวนไปด้วยก็ดีถมเถ “ป่ะ” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินนำออกไป วรฤทธิ์ที่ลุกเดินตาม รีบเอ่ยเร่งและดึงแขนเสื้อเธอด้วย “เร็วๆ เข้าสิอวบ ชักช้าจริง” อาทิตยาจำต้องเดินตามหนุ่มหล่อทั้งห้าต้อยๆ ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกประหม่าไม่น้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของใครหลายๆ คู่ที่มองมายังเธอ หรือเขามองผู้ชายทั้งห้านี้ก็ไม่รู้ หรืออาจจะรู้สึกประหลาดใจที่เธอมาเดินตามคนหล่อล่ะมั้ง คิดว้าวุ่นไปต่างๆ นานาได้ไม่เท่าไหร่ก็มาถึงโรงอาหาร วิบูลย์วางสมุดจองโต๊ะเสร็จก็พยักพเยิดให้ทุกคนไปซื้ออาหาร อาทิตยาเดินตามขุนพลอย่างคนเจียมเนื้อเจียมตัว ก่อนที่เขาจะเดินแยกไปยังร้านขายก๋วยเตี๋ยว สาวอวบเลยเดินไปหาร้านข้าวแกงที่คนน้อยไม่ต้องรอนาน ที่จริงร้านก๋วยเตี๋ยวก็คนน้อย แต่เธออยากกินข้าวมากกว่า ใช้เวลารอราวๆ สามคิวก็ได้ข้าวราดแกงสองอย่างแบบที่อยากกิน จากนั้นจึงเดินกลับไปที่โต๊ะ “นั่งนี่ได้เลย” ขุนพลว่าพร้อมกับตบที่ว่างข้างๆ ตัว ด้วยฝั่งตรงข้ามนั้นมีวรฤทธิ์ ศักดิ์ชัยและวิบูลย์นั่งอยู่จนเต็มแล้ว ศุภณัฐนั่งกับเขาฝั่งนี้ และก็เหลือที่ให้เธอได้นั่งด้วยได้พอดีกับโต๊ะไม้ที่นั่งได้ราวๆ แปดคน แต่สำหรับผู้ชายตัวโตนั่งหกคนจึงจะพอดีไม่ต้องเบียดกันมาก “อารมณ์ไหนวะพี่คิง กินเตี๋ยวแห้ง” วรฤทธิ์ถามพร้อมกับตักข้าวกะเพราหมูกรอบเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ “เบื่อ ไม่รู้จะกินไร” ขุนพลว่าจบก็ยัดลูกชิ้นหมูเข้าปาก อาทิตยาที่นั่งกินเงียบๆ อดปากไม่อยู่เลยสะกิดแขนเขาพร้อมกับถามขึ้นเบาๆ “ทำไมเค้าเรียกคิงว่าพี่ล่ะคะ” “อ๋อ ซิ่วมา เรียนที่อื่นไปปีนึงแล้วดร็อปมาเรียนที่นี่” ขุนพลตอบราวกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่อาทิตยาได้ยินแล้วอ้าปากค้าง “งั้นอุ๊บก็ต้องเรียกพี่คิงสิคะ” “ไม่เป็นไร เรียกชื่อก็พอ” “แล้วทำไมชื่ออุ๊บอิ๊บล่ะ” วรฤทธิ์หันมาถามพร้อมกับจ้องหน้าเธอยิ้มๆ “ไม่รู้ แม่ตั้งให้” “ที่จริงแม่ตั้งว่าอวบ แต่อายคนเลยเปลี่ยนเองใช่ไหมล่ะ” วรฤทธิ์ย้ำอีก ทำเอาคนที่เหลือพลอยหัวเราะไปด้วย ขนาดขุนพลยังเป็นไปกับเขาเลย! “ตกลงชื่ออวบจริงๆ เหรอ” อาทิตยาไม่คิดเลยว่าคำถามนี้จะออกมาจากปากของขุนพล นั่นทำเอาเธอหน้ามุ่ย “ไม่ใช่นะ เราชื่ออุ๊บอิ๊บจริงๆ แต่ส่วนใหญ่คนจะเรียกอุ๊บ” “แล้วทำไมอวบจัง กินเยอะหรือไง” วิบูลย์ถามขึ้นมาบ้าง “อืม” อาทิตยารับคำเบาๆ ก่อนจะเขี่ยเนื้อหมูออก แล้วตักกินแต่ไข่พะโล้ นั่นทำให้ขุนพลเอ่ยถามว่า “ไม่กินหมู?” “ไม่ค่อยชอบกิน ชอบกินผัก” “หือ ขนาดชอบกินผักยังอ้วนขนาดนี้ ฮ่าๆ ๆ” ศักดิ์ชัยที่นั่งเงียบมานานแซวขึ้นบ้าง อาทิตยาเหลือบตาค้อนเขา แต่ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ ต่อ แต่บทสนทนาในกลุ่มก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อวรฤทธิ์เอ่ยกับขุนพลพร้อมกับทำหน้าตาดูมีเลศนัย แบบที่ผู้ชายรู้กัน “พี่คิง เลิกเรียนไปไหนพี่” “กลับบ้านดิวะ” “โห ไม่ไปไหนสักหน่อยเหรอ พาพวกผมไปหน่อย” “ไม่ ขี้เกียจ” ขุนพลว่าแค่นั้น แล้วก็ยกแก้วน้ำขึ้นกระดกดื่มด้วยท่วงท่าเป็นธรรมชาติที่ทำเอาอาทิตยามองเพลิน ก่อนจะหาจังหวะถามขึ้นบ้าง ด้วยสงสัยเหลือเกินว่าทำไมห้าหนุ่มสนิทสนมกันเร็วจัง “ทำไมดูสนิทกันจัง ไม่เหมือนเพิ่งรู้จักกันวันแรกเลย” “รู้จักนานแล้ว เรียนมัธยมมาด้วยกัน พี่คิงเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยม...ไม่น่าเชื่อเลยนะพี่ว่าพี่จะซิ่วมาเรียนกับพวกผม” ศุภณัฐตอบอาทิตยา ก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับขุนพล “เวรกรรมของกูไง ไปทางไหนก็เจอแต่พวกมึง” “โหพี่...” สี่หนุ่มครางออกมาพร้อมกัน ส่วนอาทิตยานั้นถึงบางอ้ออยู่ในใจ แบบนี้นี่เองถึงว่าสนิทกันน่าดู “แล้วอวบบ้านอยู่ไหน” วรฤทธิ์ถามอีก “แถวอินทามระค่ะ” อาทิตยาคร้านจะมีประเด็นกับเขาเรื่องชื่อเล่น มันอยากเรียกอะไรก็ปล่อยมันเรียกไป “ที่บ้านทำอะไรอะ” “ขายข้าวแกง” “เหรอๆ ไว้ไปอุดหนุน” วิบูลย์พูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น ดูก็รู้ว่าเป็นนักชิมสายแข็ง อาทิตยาไม่ได้ว่าอะไรต่อ ได้แต่นั่งฟังพวกเขาคุยกัน มีเพื่อนผู้ชายก็ดีนะ พวกเขาไม่คุยเรื่องหยุมหยิมหรือนินทาว่าร้ายคนอื่นเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ แต่คุยเรื่องเฮฮาเที่ยวเตร่ มีสาระบ้างไร้สาระบ้าง ฟังเพลินเลยทีเดียว ครั้นถึงเวลาเรียนคาบบ่ายก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ทักทายพูดคุยราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็ปล่อยกลับบ้าน ขุนพลที่เก็บของเสร็จแล้วหันไปถามคนทั้งสี่ที่นั่งบิดกายไปมาไล่ความเมื่อยขบ “พวกมึงไปไง ไปกะกูป่ะ” “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวไปเดินเล่นแป๊บ ค่อยกลับบ้าน” ศักดิ์ชัยเอ่ยขึ้น ซึ่งอีกสามคนที่เหลือก็เออออตามกัน “เค เจอกันพรุ่งนี้” “คร้าบ พี่คิงหวัดดีพี่” สี่หนุ่มพร้อมใจกันยกมือไหว้ขุนพลอย่างคนที่เคารพยำเกรงรุ่นพี่ที่เขาศรัทธา ขุนพลพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมาหาอาทิตยาที่นั่งจ้องเขาตาแป๋ว ยัยอวบนี่จะชอบจ้องเขาไปถึงไหน! “ไปทางไหน” “เอ่อ...” ยังไม่ทันจะตอบเขาก็เอ่ยต่อ “กลับไง” “รถเมล์ค่ะ” “ไปด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวแวะส่ง” เขาอาสาอย่างคนใจดีมีน้ำใจ “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอุ๊บกลับเองก็ได้” “ไม่ต้องเกรงใจ ป่ะ ลุก” เดินออกมาได้สักพักผ่านห้องน้ำ เขาก็หันมาถาม “เข้าห้องน้ำก่อนมั้ย” “ไม่เป็นไรค่ะ” บอกเขาด้วยรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากให้เขาต้องรอ อีกอย่างก็ไม่ได้ปวดมากมายอะไร “เข้าเลย เผื่อรถติด เอากระเป๋ามา เดี๋ยวถือให้” ไม่รอให้เธอตอบรับ เขาก็ดึงกระเป๋าไปถือให้ พร้อมกับเดินไปรอข้างหน้าทางออก อาทิตยาเลยรีบเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำทันที เสร็จจากเข้าห้องน้ำเธอก็เดินตามเขาต้อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงรถของเขา ขุนพลเปิดประตูรถด้านหลัง จัดๆ เก็บๆ เอกสารที่รกๆ เพียงครู่ และครั้นย้ายของที่วางเกะกะที่เบาะหน้าเสร็จ จึงเชื้อเชิญให้เพื่อนใหม่ขึ้นรถ ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบ อาทิตยาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักแอะ และขุนพลก็ไม่ใช่คนช่างพูด บรรยากาศจึงอึมครึมพอสมควร แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทั้งคู่อึดอัด นั่งรถกันไปสักพัก เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ “ว่า?” “เหรอ ได้ๆ” “ครับ” “กำลังกลับ” “ครับ ดีครับ” เขาคุยแค่นั้นก็วางสายไป อาทิตยาอดลอบมองเขาไม่ได้ ท่วงท่าสง่าสมชายชาตรีมีภาวะผู้นำ ไม่เห็นเหมือนเด็กเฟรชชี่ปีหนึ่งเลยสักนิด อ้อไม่ใช่สิ ที่จริงเขาคือปีสองแล้ว แค่ซิ่วมาเรียนใหม่แค่นั้นเอง แต่จะอะไรก็เถอะ ยังไงเธอก็รู้สึกว่าเขาเหมือนผู้บริหารที่เข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ เลยดูโตจนเกือบจะเท่าอาจารย์เสียมากกว่า อาทิตยานั่งมองเขาเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเขาหันขวับมามองเธอพร้อมกับหรี่สายตามองอย่างเอาเรื่อง “มองไรวะ” “เปล่าค่ะ” “มีอะไรติดหน้าบอกได้นะ” “ไม่มีค่ะ” ขุนพลยิ้มมุมปากให้เธอนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปใช้สมาธิกับการขับรถ เดี๋ยวส่งเพื่อนอวบเสร็จ เขายังมีธุระปะปังอีกหลายอย่างต้องสะสาง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม