ผู้ชายที่นั่งข้างๆ เธอตอนนี้ดูสง่างามจนน่าจะเป็นอาจารย์มากกว่ามาเป็นนักศึกษา เขาไม่ได้ผิวขาวมากมาย ออกจะเข้มคล้ำ แต่กลับดูเป็นคนผิวสุขภาพดีมากกว่าเธอที่เป็นผู้หญิงแท้ๆ ท่วงท่าของเขาก็น่ามอง ดูมีออร่า ดูไม่เบื่อ ขนาดเขาทำหน้านิ่งๆ ยังดูน่าค้นหา
อาทิตยาอยากเห็นตอนที่เขายิ้มจัง ถ้าเขายิ้มจะยิ่งหล่อกว่านี้ไหมนะ จะถามชื่อก็ไม่กล้า จะชวนคุยยิ่งไม่กล้าใหญ่ ต้องเรียนที่นี่ตั้งสี่ปี เธอจะมีเพื่อนกับเขาบ้างไหมนะ ไม่กล้าทำความรู้จักกับใครเลย มีแต่คนน่ากลัวๆ ยกเว้นคนข้างๆ ที่น่ารัก แต่เขาก็คงไม่แลเธอหรอก ฮือ...
แม่สาวอวบไม่รู้ตัวเลยว่าแอบมองหนุ่มหล่อคนข้างๆ อย่างจริงจัง จนไม่สนใจอาจารย์ที่กำลังเช็กชื่อการเข้าห้องเรียน โชคดีที่ยังไม่ถึงชื่อตัวเอง แต่โชคร้ายที่คนนั่งข้างๆ ดันรู้ตัวและหันขวับมาจ้องเธอเขม็ง
อาทิตยาสะดุ้งเฮือก อ้าปากค้าง หลบไม่ทัน บรรลัยสิคราวนี้ เขาต้องว่าเธอแน่ๆ
“ขุนพล”
“มาครับ” ชายหนุ่มหันกลับไปมองอาจารย์พร้อมกับยกมือขึ้น สติดีไม่มีหลุด
ขุนพลเหรอ? อาทิตยาพึมพำในใจ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอกที่สถานการณ์เมื่อกี้ถูกแทรกด้วยการเช็กชื่อของอาจารย์
“ชื่อเล่น” อาจารย์ถามต่อ เป็นคำถามเหมือนกับที่ถามทุกคนที่เช็กชื่อผ่านมาแล้ว
“คิงครับ”
ขนาดชื่อเล่นยังเท่เลยอะ เขาทำบุญด้วยอะไรมานะ ได้เคยถวายมงกุฎในชาติก่อนหรือไร ทำไมดูดีทั้งภายนอกภายในและชื่อแซ่เช่นนี้
รออีกไม่นาน ผ่านไปประมาณเจ็ดถึงแปดรายชื่อก็ถึงคิวของอาทิตยา สาวอวบยกมือแสดงตัว พร้อมกับแจ้งชื่อเล่นเสร็จ เสียงโห่ร้องเกรียวกราวก็ดังขึ้น
สี่หนุ่มสี่มุมที่นั่งข้างหลังเธอนั่นล่ะ มันช่วยไม่ได้ที่เก้าอี้ที่เธอนั่งจะอยู่หน้าพวกบ้านั่น นั่งใกล้กันขนาดนี้ จะโดนแกล้งยังไงบ้างก็ไม่รู้
“ชื่ออุ๊บอิ๊บเหรอ นึกว่าชื่ออวบ”
ไอ้คนพูดก็คือคนหัวเกรียนที่แซวเธอว่า ผู้หญิงด่าเขาว่าผู้หญิงรัก นั่นล่ะ มันน่ะตัวดี ชอบเปิดประเด็นให้อีกสามคนที่เหลือได้แซวเธอไปด้วย
มันชื่อไอ้เล็ก วรฤทธิ์ คนที่นั่งติดกับมันความกวนประสาทก็สูสีชื่อไอ้ม่อน ศักดิ์ชัย ถัดไปข้างๆ ชื่อบาส วิบูลย์ และเอส ศุภณัฐ ตามลำดับ
อาทิตยาอาศัยช่วงจังหวะอาจารย์เผลอหันกลับไปตอบเสียงห้วน
“ไม่ได้ชื่ออวบ”
“ไม่ได้ชื่ออวบ แต่อวบระยะสุดท้าย ฮ่าๆ” วรฤทธิ์ยังว่าต่ออีก
แม้ทั้งหมดจะพูดกันเบาๆ แต่เสียงหัวเราะครื้นเครงของสี่หนุ่มนั้นไม่ได้เบาลงเลย จนอาจารย์ต้องเอ่ยเตือนว่าพวกข้างหลังเบาๆ หน่อยนั่นล่ะ สี่หนุ่มนั่นถึงได้หุบปากกันบ้าง
อาทิตยาอดหันไปถลึงตาใส่วรฤทธิ์ไม่ได้ ก่อนจะขยับเก้าอี้เลื่อนขึ้นมาอีกนิด ให้อยู่ห่างๆ จากวรฤทธิ์ที่นั่งข้างหลัง แล้วเมื่อกี้มันก็เอาปากกามาจิ้มหลังเธอ เหมือนหาเรื่องแกล้งให้เธอหันไปจะได้แซวต่อ อะไรประมาณนั้น
แต่อาทิตยาไม่สนใจ ตั้งใจมั่นว่าจะตั้งใจเรียนแล้วนะ แต่ทว่า...อีกแล้ว!
“โอ๋ๆ โกรธเหรอจ๊ะ อวบโกรธเหรอคะ ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่เห็นเธอเป็นตัวตลกทำเอาอาทิตยาโกรธจนแทบจะตกมัน
ทำไมต้องมาเรียกเธอว่าอวบด้วย ต่อให้เธออวบหรืออ้วนจนแทบจะทับควายแบนก็ไม่ได้ไปนั่งกินข้าวบนหัวใครเสียหน่อย แต่พวกปากพล่อยไม่รู้มารยาทนี่ต่างหากที่ควรจะละอาย ชอบเอาความกังวลของคนอื่นมาล้อเสียๆ หายๆ ถึงเธอจะตัวใหญ่เกินไซซ์มาตรฐานของหญิงร่างเล็ก แต่เธอก็เจ็บปวดเป็นนะ
ทุกครั้งที่จับอะไรยัดเข้าปาก กินทีเป็นกระสอบ เธอมักคำนวณแคลอรีก่อนทุกครั้ง พอรู้ว่าจานนี้จานนั้นมันแคลอรีเกินแน่ๆ ก็แดกแม่ง!
แต่จะอะไรยังไงก็ช่าง มันเรื่องของเธอนี่ แล้วไอ้พวกบ้านี่เกี่ยวอะไรกับชีวิตเธอด้วย
“หยุดพูดนะ”
อาทิตยาตวาดแว้ดอย่างทนไม่ไหว แต่พวกเพื่อนปากมอมก็หาได้แคร์ไม่ ยังคงส่งเสียงล้ออย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งคนที่นั่งข้างๆ เธอก็คงรำคาญจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาเลยหันไปหาคนทั้งสี่แล้วเอ่ยเสียงห้วน
“เฮ้ย จะเรียนมั้ย ถ้าจะคุยออกไปคุยข้างนอก”
ขุนพลว่าแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปตั้งใจฟังที่อาจารย์บรรยาย แต่ก็ไม่วายเหลือบตามองเธอด้วยสายตาที่อาทิตยาอ่านไม่ออก จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าหงุดหงิดรำคาญใจก็ไม่เชิง
แต่จะอะไรก็ช่าง อาทิตยารู้แค่ว่าตอนนี้เธอรู้สึกดีมากที่เขาออกปากปรามพวกแก๊งข้างหลัง เพราะพอเขาพูดจบ อาทิตยาก็ไม่โดนก่อกวนอีกเลย มีแต่คนข้างๆ นี่แหละ ที่กำลังก่อกวนหัวใจของเธอให้ทำงานหนักขึ้น ก็มันเต้นตึกๆ ๆ ๆ ราวกับจะทะลุออกมานอกอกยังไงยังงั้นเลย...
การเรียนวิชาแรกผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยเป็นวันแรกอาจารย์จึงไม่ได้เน้นเนื้อหาวิชาการอะไรมาก มีเพียงการพูดคุย ทำความรู้จัก และบอกกล่าวถึงจุดประสงค์รายวิชา งานที่ต้องทำส่งตลอดทั้งเทอม และเนื้อหาในภาพรวมมากกว่า คาบหน้านั่นแหละถึงจะได้เจาะลึกเนื้อหาในแต่ละบท กระนั้นการเรียนก็กินเวลามาจนเกือบเที่ยง แต่อาจารย์ก็ใจดีปล่อยก่อนเวลา ราวๆ สิบเอ็ดโมงสี่สิบก็จบการเรียนในคาบแรก
เมื่ออาจารย์เดินออกจากห้อง นักศึกษาต่างทยอยเก็บสัมภาระกัน และเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวก็ดังตามมาด้วย