ขวัญเดินไปนั่งใกล้ ๆ เขาอย่างว่าง่าย เพราะเธอเองก็ไม่อยากเห็นอะไรที่ทำให้หัวใจต้องหน่วงแบบนี้ หยิบขนมกิน มองหน้าภูมินิ่ง ๆ พลางคิดว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าแต่งเพราะความรักก็คงดี แต่นี่ไม่ใช่ คิดจะเอาตัวรอดแต่ดูเหมือนจะไม่รอดอย่างไรก็ไม่รู้…เหมือนกำลังทำร้ายหัวใจตัวเองอีกครั้งทั้งที่แผลเก่าหายดีแล้ว
“ทราย…”
“ไม่ต้องถามถึง” ภูมิส่งเสียงเข้ม ๆ ปรามไม่ให้ขวัญพูดอะไรต่อ แต่หญิงสาวไม่ได้เชื่อฟังเขาขนาดนั้น เธอยังดึงดันที่จะถามต่อ
“ทรายหายไปไหน”
คิ้วหนาขมวดมุ่น ไม่ให้ถามก็ยังจะถามอีก ผู้หญิงนี่เป็นอย่างไรกันทำไมถึงชอบรื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ ปัจจุบันคือเราจะต้องแต่งงานกันก็ให้ความสำคัญแค่ตรงนี้จะดีกว่าไหม
“เมกา” เห็นว่าอยากรู้นักหนาเขาก็ตอบให้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพอเจออะไรที่เกี่ยวข้องกับทราย ขวัญก็ต้องถามอีกแน่นอน
“แล้วไม่ติดต่อกันเลยเหรอ”
“ขวัญเห็นภูมิเป็นคนชอบโกหกเหรอ” ภูมิชักสีหน้าคล้ายรำคาญ เคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้ติดต่อกันอีกจะถามเพื่อ?
“ภูมิไม่ได้ชอบโกหก แต่ภูมิไม่ได้บอกขวัญทุกเรื่อง”
“ขวัญ…” ภูมิรู้ว่าขวัญหมายถึงเรื่องอะไร เขาไม่อยากเอาเรื่องนั้นมาเป็นหัวข้อทะเลาะ เมื่อเขากดเสียงต่ำดุเธอ ใบหน้านวลงอง้ำน้อยใจอีกตามเคย แต่คราวนี้เขาไม่โอ๋ไม่ง้อ เพราะเขามองว่าขวัญเป็นฝ่ายผิด
“เราเป็นเพื่อนกันนะ ถึงจะแต่งงานกันแต่ก็รู้อยู่แก่ใจด้วยกันทั้งคู่ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผัวเมียหลอก ๆ แค่นั้นเองนะ” ภูมิพูดต่อ ขวัญจะได้ไม่กล้าที่จะถามอะไรเกี่ยวกับทรายขึ้นมาอีก และเพื่อย้ำสถานะที่แท้จริงของเราสองคน
“ถ้างั้นเราตกลงเรื่องแต่งงานกันหน่อยป้ะ”
“ยังไง”
“อยู่กินกันเพื่อตบตาพ่อแม่แค่สองปี ระหว่างนี้เราจะมีใครก็ได้”
“เพียงขวัญ!”
“อะไรเล่า!”
ภูมิมองหน้างอ ๆ ของขวัญแล้วกลอกตาไปมา คิดว่าไม่รู้หรือไงว่าที่พูดมาเมื่อกี้คือประชดประชัน ยังไม่ทันได้แต่งเขาก็เริ่มจะปวดหัวเสียแล้ว เดี๋ยวถ้าอยู่ด้วยกันจะขนาดไหน
“ตามใจเหอะ” ภูมิเลยประชดกลับแล้วย้ายตัวเองไปอยู่บนเตียง ปล่อยให้คนขี้งอนนั่งทำหน้าตึงอยู่ตรงนั้นแหละ “เดี๋ยวหายงอนเมื่อไหร่ก็ปลุกด้วยก็แล้วกัน”
“ตกลงว่าแต่งงานแค่สองปีนะ” ขวัญยังพูดเรื่องระยะเวลาต่ออีก ที่เธอกำหนดเวลาก็เพื่อตัวเธอเอง สองปีหลังจากนี้ถ้าเปลี่ยนสถานะที่แท้จริงของเราไม่ได้ การแยกย้ายคือคำตอบ จะให้อยู่กินกันแต่คงสถานะเพื่อนไว้ เหอะ ตลก!
“สามปี”
ขวัญหันขวับไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาขุ่นเคือง บอกสองปียังจะต่อเป็นสามปีอีก
“สองปี” หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม สองปียังรู้สึกว่าจะนานไปเลยด้วยซ้ำ
“สองปีครึ่ง”
“สองปี!” บอกว่าสองปีไงเล่า เสียงของเธอเริ่มกระด้างมากขึ้นตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น
“สองปีกับอีกสามเดือน”
“ไอ้ภาคภูมิ! ต่ออย่างกับซื้อเงาะเลยนะตลกมากปะ” ขวัญลุกเดินปรี่เข้าไปหาคนที่นอนหัวเราะจนตัวงอ เขาไม่ต้องตอบเธอก็รู้แล้วว่า ‘ตลกมาก!’ ไม่งั้นเขาคงไม่ขำขนาดนั้น
หมอนอีกใบที่อยู่ข้าง ๆ ศีรษะเขา เธอคว้าเอามาปิดหน้าใบหน้าหล่อที่มีน้ำตาเล็ดจากหางตา ปิดหน้ามันไว้อย่าให้มีเสียงหัวเราะหลุดออกมา ครู่หนึ่งข้อมือเล็กก็ถูกฝ่ามือหนาจับไว้แล้วออกแรงดึงให้เธอยอมปล่อยมือจากหมอน มืออีกข้างรีบโยนหมอนออกจากใบหน้า ก่อนจะฉุดแขนให้เธอถลาล้มลงมาหาเขา
“จะฆ่ากันเลยหรือไง”
“ก็ภูมิกวนตีน” หญิงสาวตอบเสียงแผ่ว เราใกล้กันเกินไปแล้ว ใกล้จนประหม่าทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าที่จะสบตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย
“ตามใจขวัญ สองปีก็สองปี” เขาพูดเสียงนุ่มหวังให้อารมณ์เธอเย็นลงแล้วถามต่อ “ที่ภูมิบอกว่าให้ขวัญขอได้อย่างหนึ่ง…ขวัญคิดออกหรือยังว่าจะขออะไร”
“คิดออกแล้วแต่ยังไม่ขอ ไว้ใกล้ ๆ ครบกำหนดค่อยขอ”
ภูมิย้ายฝ่ามือไปประคองแก้มนุ่มให้เธอหันมาสบตากับเขา มองลึกเข้าไปในดวงตา แต่อีกฝ่ายก็ประหม่าจนต้องหันหน้าหนีอยู่ดี
“เวลาคุยกันไม่มองหน้านี่เสียมารยาท” เขาออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดเพื่อบังคับให้เธอมองแต่หน้าเขา ไม่เบือนหน้าหนีอย่างที่ทำอยู่
“ไม่อยากมอง”
“มองหน่อยเหอะ ภูมิหล่อนะ”
“แหวะ”
“ฮ่า ๆ ยังคงเหมือนเดิมเลยนะ” ภูมิพูดยิ้ม ๆ รอยยิ้มน่ารักที่เจือความเจ้าเล่ห์ มันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เธอหลงใหล
“เหมือนเดิมยังไง”
“ใกล้กันทีไร ขวัญก็ไม่กล้าสบตาภูมิทุกที”
เมื่อตอนมอหกทั้งสองหยอกล้อกันเป็นประจำ บางครั้งภูมิเล่นหรือพูดแรงให้ขวัญงอน เขาก็มักจะง้อด้วยการทำหน้าอ้อนแล้วเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เพียงไม่กี่นาทีขวัญก็จะต้องยอมหายงอนเพื่อที่ให้เขาเอาใบหน้าออกห่างจากหน้าเธอ
“แววตากะล่อนใครอยากจะสบด้วย”
“ฮึ” ภูมิหัวเราะในลำคอแล้วปล่อยขวัญให้เป็นอิสระ ทว่า…เธอยังคงนอนทับร่างเขาไม่ไปไหน “ลุกดิ ภูมิปล่อยแล้วเนี่ย”
ขวัญมองมือภูมิที่ชูขึ้นมาทั้งสองข้างเธอถึงกับสะดุ้งแล้วรีบดีดตัวเองออกจากตัวเขาในทันที