ตอนที่ 11 ลิขิตจากเทพเจ้า/1

4166 คำ
ณ หมู่บ้านชาวประมง  “ชอร์ตี้! ชอร์ตี้! เนพอยู่หรือไม่” เสียงตะโกนเอ็ดอึงดังอยู่นอกตัวบ้าน เพียงครู่เจ้าของเสียงชื่อเรียกค่อยๆ โผล่มาโดยมีผ้าคลุมปกปิดอย่างมิดชิดพร้อมกับร่างของชอร์ตี้ ทั้งสองทอดสายตามองไปยังเพื่อนบ้านตรงหน้าซึ่งกำลังแบกคนเจ็บพาดบ่าเดินตัดดงปาปิรัสมุ่งหน้าตรงมาที่บ้าน “มีใครเป็นอะไรกระนั้นรึ!” ชอร์ตี้ตะโกนถามกลับไป ก่อนจะรีบรับร่างหญิงสูงวัยที่เพื่อนบ้านพาดไว้อยู่บนบ่าทันทีที่เดินมาถึงตัวบ้าน “หญิงผู้นี้ล่องเรือมาจากแห่งใดข้าก็มิอาจรู้ได้ ท่าทางนางจะป่วย นางมาถามทางเพื่อจะล่องเรือออกไปสู่ทะเล ยังมิทันกล่าวสิ่งใดนางก็หมดสติไปอย่างที่เห็นนี่แหละ” เพื่อนบ้านผู้แสนดีเอ่ยบอก ครั้นเนพธีสได้ยินเพื่อนบ้านกล่าวออกมาเช่นนั้น ร่างงามใช้มือเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนป่วยเพื่อสังเกตอาการโดยพลัน “นางโดนพิษ” โฉมงามเอ่ยออกมาเบาๆ “โดนพิษเช่นนั้นหรอกรึ” ชอร์ตี้กล่าวด้วยความตกใจ “มิน่าล่ะใบหน้าของหญิงผู้นี้ช่างขาวซีดดั่งคนใกล้ตายเป็นยิ่งนัก เป็นเพราะโดนพิษมานั่นเอง” เพื่อนบ้านที่แสนดีกล่าวสำทับ “ช่วยกันนำท่านป้าผู้นี้เข้าไปพักในบ้านเถิด ข้าจะต้องตรวจอาการให้ละเอียด ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้หรือไม่” เนพธีสเอ่ยบอกชายสูงวัยกว่าตนทั้งสอง พร้อมแยกตัวไปจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อตรวจอาการของคนเจ็บ เพียงไม่นานชามสมุนไพรส่งกลิ่นคละคลุ้งที่อัดแน่นไปด้วยตัวยาโชยออกมาจากชามขนาดย่อม เนพธีสค่อยๆ เป่าลมร้อนที่โชยควันออกมาเป็นระยะๆ เพื่อให้คนเจ็บสามารถดื่มได้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย “หญิงผู้นี้ถูกพิษอันใดมาเล่า แล้วเจ้าล่วงรู้วิธีรักษากระนั้นหรือเนพธีส” ชอร์ตี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้ายังมิล่วงรู้ว่าท่านป้าผู้นี้โดนพิษอะไรมา แต่น่าจะถูกพิษโดยผ่านการกิน หากแต่พิษที่ได้รับมานั้นไม่มากอาจได้รับมาเพียงน้อยนิดเพราะถ้ารับมามากคงไม่สามารถรอดมาจนถึงบัดนี้ได้แน่นอน คงทำได้แต่เพียงเฝ้ารอดูอาการจนกว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อฟื้นแล้วก็สามารถสอบถามอาการได้ว่าไปรับพิษหรือกินสิ่งใดเข้าไป เพียงเท่านี้ก็สามารถหาตัวยาขับพิษออกไปจากร่างได้” เนพธีสกล่าวอธิบายให้ผู้สูงวัยตรงหน้าเข้าใจ ชอร์ตี้พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ราวกับว่าเข้าใจในสิ่งที่นางพูดหากแต่ไม่เป็นเช่นนั้น “ข้าก็ไม่เข้าใจที่เจ้ากล่าวมาหรอกนะ เพราะมิใช่ผู้มีความรู้ทางด้านสมุนไพรเช่นเจ้า” ชอร์ตี้เอ่ยออกไปตามตรงก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องส่วนตัวของเด็กสาว “ใกล้ถึงวันที่เซติจะมารับเจ้าไปที่บ้านใช่หรือไม่ เจ้าตัดสินใจดีแล้วกระนั้นสิที่จะครองคู่ด้วยกัน” เนพธีสพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบ “แล้วปู่ของเจ้าล่วงรู้หรือไม่” ชอร์ตี้เอ่ยถามสหายสนิทที่ตนรู้จัก “ท่านปู่ยังมิล่วงรู้แต่อย่างใด” โฉมงามตอบกลับไปเบาๆ “ถ้าท่านปู่ล่วงรู้ว่าข้าเลือกที่จะครองคู่มีคนรักต้องมิยอมแน่นอน เพราะนั้นหมายถึงข้าได้กระทำผิดใหญ่หลวงเป็นอย่างยิ่ง” เนพธีสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด “ข้าไม่เข้าใจว่าปู่ของเจ้าจะขัดขวางหลานสาวเพียงคนเดียวไม่ให้มีคนรัก ห้ามมิให้แต่งงานด้วยเหตุผลกลใดเล่าแปลกพิลึกจริงเชียว ทั้งเจ้าและเซติต่างเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าเซติมิใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน ครอบครัวเป็นทหารกันทั้งตระกูล ฐานะทางบ้านเป็นคนชนชั้นสูงกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ ทั่วไป เจ้าจะต้องมีความสุข ข้าเชื่อเช่นนั้น” ชอร์ตี้กล่าวให้กำลังใจแก่โฉมตรู เมื่อสังเกตเห็นดวงตากลมโตของสาวเจ้ามีแววหม่นหมองเจือปน ด้วยเพราะรู้สึกผิดกับผู้เป็นปู่นั่นเอง “แค่ก แค่ก แค่ก” เสียงไอดังขึ้นของคนเจ็บ ทำให้การสนทนาสะดุดหยุดลง “ฟื้นแล้ว” เนพธีสเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อหญิงสูงวัยตรงหน้าเริ่มรู้สึกตัวและกำลังจ้องมองโฉมงามด้วยความรู้สึกงงงัน ทาเนียนางกำนัลคนสนิทซึ่งได้รับคำสั่งจากราชินีอียิปต์ให้มากำจัด หญิงที่ทำให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์ลุ่มหลงจนพระองค์สถาปนาราชินีพระองค์ใหม่เทียบเท่ากับราชินีทูย่าของตน นางกำนัลเจ้าบทบาทในคราบหญิงชาวบ้านที่กินยาพิษจากต่างแดนในปริมาณเพียงน้อยนิด ทว่ายาพิษดั่งกล่าวหากสัมผัสถูกกับเปลวไฟจะให้ผลรุนแรง และถ้ายิ่งออกแรงมากก็จะเร่งให้หัวใจหยุดทำงานเร็วขึ้น แต่ถ้าหากใช้ยาพิษโดยการกินจะออกฤทธิ์บางเบาแทบไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ตรงกันข้ามหากยาถูกผสมลงไปในเหล้าจะส่งผลรุนแรงทันที เพียงแค่จิบชีวิตก็ดับสูญโดยพลัน นางยอมลงทุนแตะยาพิษเพียงปลายลิ้น เพื่อให้ออกฤทธิ์คล้ายคนถูกยาสั่ง เพื่อแฝงตัวหมายเอาชีวิตอิสตรีที่สามารถพิชิตพระทัยกษัตริย์ของตนด้วยวิธีเก็บให้เงียบ เก็บให้เนียนแต่ตายแน่นอน “นี่นะหรือโฉมหน้าหญิงที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งนางให้เป็นองค์ราชินีเทียบเท่ากับพระนางทูย่าของข้า มิน่าล่ะงดงามเช่นนี้นี่เอง” ทาเนียรำพึงอยู่ภายในใจ ด้วยความตื่นตะลึงกับโฉมหน้าอันแท้จริงของเนพธีส “ท่านป้ารู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง” โฉมงามเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เออ...ข้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว” ทาเนียกล่าวตอบกลับไปพร้อมทอดสายตามองชอร์ตี้และเนพธีสซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า “นี้ข้าอยู่ที่ใดกันเล่า” ทาเนียแสร้งถามเพื่อความแนบเนียน “เจ้าอยู่บ้านของข้า ข้าเป็นเจ้าของบ้านนี้และนี่คือเนพธีส หลานสาวของข้าเป็นผู้ดูแลรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยในหมู่บ้านนี้รวมไปถึงละแวกใกล้เคียงทั้งหมด และนี่เจ้าโดนพิษจากที่ใดมากันเล่า” ชอร์ตี้เอ่ยบอกแขกผู้มาใหม่ “พวกมันล่วงรู้เสียด้วยว่าข้าโดนพิษมา ไม่ธรรมดาเสียแล้ว” ทาเนียรำพึงอยู่ภายในใจ “ข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าไปรับพิษจากทางใด ล่วงรู้แต่ว่าหลังจากที่ดื่มน้ำก่อนที่จะล่องเรือมาตามลำน้ำ กายข้ารู้สึกชาไปหมด ลิ้นของข้าไม่สามารถขยับได้เลย และหลังจากนั้นข้าก็มิรู้สิ่งใดอีก” ทาเนียเล่าอาการของคนถูกพิษให้ฟัง “ท่าทางท่านป้าคงจะโดนยาสั่ง” เนพธีสเอ่ยตอบกลับไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าล่วงรู้กระนั้นหรือว่าข้าได้รับยาสั่ง” ทาเนียเอ่ยถามกลับไปด้วยความแปลกใจเมื่อล่วงรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าสามารถล่วงรู้ว่าตนนั้นถูกพิษใดมา โฉมงามพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ก่อนจะหยิบม้วนปาปิรัสซึ่งเป็นตำรายาที่นางจดบันทึกวางอยู่ใกล้ๆ ตัวนำขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ “ในตำรายาของข้ามีระบุเอาไว้ อีกทั้งเคยเห็นคนโดนยาสั่ง มีอาการคล้ายกับท่านป้าเช่นนี้มาแล้ว ข้าจะปรุงสมุนไพรให้แก่ท่านอีกขนาน เมื่อดื่มแล้วไม่นานก็จะขับพิษออกได้ทั้งหมด ประมาณ1-2 วัน ท่านก็จะหายเป็นปกติดั่งเดิม” ถ้อยคำที่เนพธีสอธิบายออกมาทำให้นางกำนัลทาเนีย นอนนิ่งงันไปเลยทีเดียวไม่คาดคิดว่าจะต้องพบเหตุการณ์ที่เกินความคาดหมายเช่นนี้ “หญิงผู้นี้อ่านและเขียนได้หรือนี่ ในจักรวรรดิอียิปต์หาอิสตรีที่สามารถอ่านและเขียนแทบไม่มีเลย ซ้ำร้ายยังงสามารถรักษาคนเจ็บได้อีก ท่าทางข้าจะทำงานยากขึ้นเสียแล้ว เห็นทีแผนกำจัดนางจะต้องทำอย่างรอบคอบและแนบเนียนที่สุด” ทาเนียครุ่นคิดอยู่ภายในใจ พร้อมสังเกตไปรอบๆ บริเวณบ้านเพื่อหาช่องทางในการกำจัดโฉมตรู ก่อนจะมองเห็นโรงผลิตเหล้าองุ่น ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน “ข้าคิดออกแล้ว หึหึหึหึ” ทาเนียยิ้มออกมาบางๆ เมื่อมองเห็นสิ่งที่ตนจะสามารถใช้กำจัดเป้าหมายได้ ครานี้เหลือแค่เพียง รอโอกาสที่เหมาะแก่การลงมือเท่านั้นและจะต้องทำให้สำเร็จภายในวันรุ่งถัดไป ด้วยเพราะราชองครักษ์เฮรูเดินทางใกล้จะถึงหมู่บ้านชาวประมงแล้วเช่นกัน ท่ามกลางค่ำคืนในยามราตรี เนพธีสยังคงง่วนอยู่กับการดูแลหญิงสูงอายุแปลกหน้าที่เพิ่งรับเข้ามารักษาในนบ้าน ทาเนียนั่งมองร่างงามทางเบื้องหลัง ซึ่งกำลังเคี่ยวสมุนไพรให้เข้ากัน โฉมงามหันกลับมาหยิบจับตัวยาเป็นสูตรผสมอื่นๆ อยู่บ่อยครั้งพร้อมอ่านตำรายาไปพร้อมๆ กัน “ขนาดมองเห็นใบหน้าเพียงด้านข้างยังงดงามถึงเพียงนี้ ข้ามิสงสัยเลยว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงมีพระทัยมอบให้กับนาง” ทาเนียรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะมองเห็นชามใส่ยาต้มสมุนไพรค่อยๆ ยื่นส่งมาให้ตรงหน้า “ดื่มสิท่านป้า ยาชามนี้จะขับพิษของยาสั่งที่ท่านได้รับออกมา ดื่มประมาณ 5 ชามท่านก็เป็นปกติเหมือนเดิม” เนพธีส อธิบายสรรพคุณของยาให้หญิงสูงวัยได้ฟัง “ขอบคุณเจ้ามากแม่สาวน้อยที่ช่วยรักษาข้า” ทาเนียกล่าวขอบคุณเด็กสาวพร้อมยื่นมือรับชามยาก่อนจะยกขึ้นดื่มยาจนหมด หากแต่สายตาคอยเหลือบมองเพื่อสังเกตการณ์ไปโดยรอบ ดั่งโชคเข้าข้างคนเลวเมื่อชอร์ตี้เดินเข้ามาภายในบ้าน พร้อมเสียงบ่นงึมงำ “ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ข้าจะทำเช่นไรดีที่จะทำให้เหล้าองุ่นของข้ามีรสชาติชั้นเลิศเพื่อส่งให้กับทางพระราชวังอียิปต์ใต้ได้ทันเวลา เพิ่งจะหมักได้เพียง 15 วันเท่านั้น รสชาติมันยังใช้ไม่ได้เลย” ชอร์ตี้กล่าวพร้อมส่ายหน้าไปมาติดๆ กัน ด้วยความหนักใจ “เหล้าองุ่นที่หมักได้ที่นำส่งไปที่พระราชวังอียิปต์แล้วมิใช่หรือลุงชอร์ตี้” เนพธีสเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินชายสูงวัยตรงหน้ากล่าวเช่นนั้น “ใช่! แต่ทางพระราชวังอียิปต์สั่งเหล้าองุ่นเพิ่มและมีเท่าไรเอาทั้งหมด เพราะจะมีงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสขององค์ฟาโรห์” ชอร์ตี้กล่าวกับนวลนาง “อ๋อ...แต่...องค์ฟาโรห์เพิ่งจะจัดพิธีอภิเษกสมรสผ่านไปมิใช่หรือลุงชอร์ตี้ เหล้าองุ่นจากทางเราถูกนำส่งไปใช้ในงานฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งก่อน แล้วครั้งนี้จะทรงจัดขึ้นอีกทำไมล่ะ” โฉมงามกล่าวด้วยความสงสัย “ทรงจัดพิธีในครั้งนี้เพราะจะอภิเษกสมรสกับราชินีองค์ใหม่ พวกทหารจากอียิปต์ใต้ที่มาสั่งเหล้าองุ่นให้ไปส่งเพิ่มบอกกับข้ามา” ชอร์ตี้เอ่ยตอบกลับไป “อ้าว!” เนพธีสอุทานขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้าชู้ยิ่งนักมีหนึ่งเดียวมิพอ”เสียงรำพึงของเนพธีสแม้จะรำพึงเพียงบางเบา หากแต่ทั้งชอร์ตี้และหญิงสูงวัยแปลกหน้าต่างพากันได้ยินอย่างแจ่มชัด “ผู้ชายมิได้เจ้าชู้ไปเสียหมดทุกคนหรอกเนพธีส เซติของเจ้าเป็นบุรุษอีกผู้หนึ่งที่รักเจ้าเป็นยิ่งนัก ข้ามองสายตาผู้ชายด้วยกันออก ไม่มีหญิงใดอยู่ในสายตาของเซตินอกจากเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น” ชอร์ตี้บอกกับเนพธีส ทำให้โฉมงามยิ้มหวานออกมาทันทีเมื่อได้ยินคนรักของตนเป็นเช่นนั้น “หึ! ฝ่าบาททรงลุ่มหลงนางเด็กสาวถึงเพียงนี้เชียวหรือ มิน่าจึงจะทรงสถาปนาให้เป็นถึงราชินีเทียบเท่ากับพระนางของข้า ฝันค้างไปเถอะนางเด็กหน้าโง่ เจ้ามิมีวันที่จะได้เสนอหน้าขึ้นมาทัดเทียมกับพระนางทูย่าของข้าได้เป็นอันขาด” ทาเนียรำพึงอยู่ภายในใจ สายตาเหี้ยมเกรียมมองใบหน้าสวยหวานของเด็กสาวตรงหน้าตาไม่กะพริบ พร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าพอจะรู้จักวิธีสามารถทำให้เหล้าองุ่นมีรสชาติเป็นเลิศ และได้นำติดตัวมาด้วย สิ่งนี้สามารถทำให้เหล้าองุ่นแปรเปลี่ยนรสชาติไปทันทีเมื่อเทผสมลงไปในเหล้าที่กำลังหมัก มิหนำซ้ำทันทีที่ผสมสามารถนำมาดื่มได้เลย” ทาเนียเริ่มแผนการของตนโดยพลัน คำกล่าวของทาเนียทำให้ชอร์ตี้ซึ่งกำลังนั่งหน้าบูดเพราะหาวิธีทำเหล้าองุ่นให้มีรสชาติเป็นเลิศไม่ได้ ชายสูงวัยรีบกระเถิบเข้าไปนั่งบนฟูกนอนที่ทาเนียกำลังนั่งอยู่ทันที “เจ้ามีวิธีทำจริงๆ หรือ ที่จะทำให้เหล้าองุ่นของข้ามีรสชาติเป็นเลิศได้ทันเวลา ส่งให้ทหารจากพระราชวังอียิปต์ซึ่งจะต้องมารับเหล้าองุ่นจากบ้านข้าถ้าไม่วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันถัดไป” ชอร์ตี้เอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อหญิงแปลกหน้ากล่าวออกมาเช่นนั้น “เพื่อเป็นการพิสูจน์ ข้าขอเหล้าไวน์ของท่านหนึ่งไห จะบอกวิธีการทำ” ทาเนียเอ่ยบอกในสิ่งที่ต้องการ “ท่านป้าจะเอาเฉพาะเหล้าองุ่นเพียงอย่างเดียวหรอกหรือ ส่วนผสมอื่นใดมิต้องการหรือไร” เนพธีสเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มิต้องใช้ส่วนผสมอื่นใดแล้ว ขอเหล้าไวน์ที่กำลังหมักในไหมาให้ข้าก็เพียงพอ” ทาเนียตอบกลับไปตามความต้องการของตน ชอร์ตี้พยักหน้าขึ้นลงแทนการรับรู้ ชายสูงวัยลุกขึ้นเดินตรงไปหลังบ้าน เพื่อนำไหเหล้าองุ่นออกจากโรงหมักก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านพร้อมตั้งลงตรงหน้าทาเนีย “เหล้าองุ่นที่ยังหมักไม่ได้ที่ตามความต้องการ เจ้าบอกกับข้าทีว่ามีวิธีการเยี่ยงไร ข้าจะจดจำนำไปใช้กับเหล้าองุ่นของข้า” ประกายตาลุกวาวเมื่อเห็นไหเหล้าองุ่นวางตั้งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปในผ้าคลุมพร้อมดึงถุงผ้าที่เหน็บอยู่บั้นเอวออกมาวางไว้บนหน้าตักของตน พร้อมมืออวบล้วงเข้าไปภายในถุงก่อนจะหยิบบางอย่างออกมา ครั้นชอร์ตี้และเนพธีส เห็นสิ่งที่อยู่ในมือทั้งสองต่างหันกลับมามองหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน “ดอกไม้แห้ง!” ทั้งเนพธีสและชอร์ตี้ต่างเอ่ยออกมาพร้อมกันด้วยความแปลกใจ “ดอกไม้แห้งนี่นะหรือจะแปรเปลี่ยนรสชาติเหล้าองุ่นที่ยังหมักไม่ได้ที่จนกลายเป็นรสชาติยอดเยี่ยม” เนพธีสเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ “นั่นนะสิ จะแปรเปลี่ยนไปได้เช่นไรข้างงงันเป็นยิ่งนัก” ชอรตี้กล่าวสำทับ “หึหึหึหึ” ทาเนียหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอก่อนจะเอ่ยขึ้น “นี่คือดอกไม้แห่งบาบิโลน ข้าได้มาเพราะเดินทางไปกับกองคาราวานเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างอาณาจักร ภายในผืนทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ข้าไปมาเกือบทุกดินแดนแล้วแม้แต่ดินแดนพันต์[1]ข้าก็ไปมาแล้วเช่นกัน” ดอกไม้บาบิโลน เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมกรุ่น ดอกสีขาวขลิบเหลือง ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลในตอนกลางคืน ยามเป็นดอกไม้สดก็เหมือนดอกไม้ธรรมดาทั่วไป แต่ถ้านำมาอบจนแห้งสนิทและนำไปเผาไฟจะมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายชาและหมดสติคล้ายยาสลบ ถ้าฝืนออกแรงจะทำให้หัวใจบีบตัวเร่งการเต้นของหัวใจจนทำให้หัวใจวาย แต่ฤทธิ์ที่ร้ายที่สุดของดอกไม้บาบิโลน นั่นก็คือหากผสมลงไปในเหล้าองุ่นที่อยู่ในระหว่างการหมักยังไม่ได้ที่ ดอกไม้บาบิโลนจะเปลี่ยนรสชาติจากเหล้าที่ไร้สิ้นรสชาติกลายเป็นรสหวานโดยพลัน แต่ความหวานดังกล่าวก่อให้เกิดพิษรุนแรงนัก เพียงแค่จิบก็ทำให้สิ้นชีพภายในระยะเวลาไม่นาน แต่ถ้าดื่มเข้าไปในปริมาณเพียงหนึ่งแก้วจะสิ้นใจไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว เนพธีสนั่งมองดอกไม้บาบิโลนด้วยเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน นางให้ความสนใจเป็นยิ่งนักว่าดอกไม้แห้งตรงหน้าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง “ดอกไม้แห้งๆ แบบนี้นะหรือ ที่จะทำให้เหล้าองุ่นของข้าแปรเปลี่ยนรสชาติได้” ชอร์ตี้กล่าวด้วยความคลางแคลงใจด้วยมิอยากเชื่อในผลลัพธ์ของมัน “พวกเจ้าก็คอยดู ข้าจะทำให้เห็นเดี๋ยวนี้เลย” ทาเนียเอ่ยตอบกลับไป พร้อมดึงจุกที่ปิดไหเหล้าองุ่นออกก่อนจะหย่อนดอกไม้บาบิโลนลงไปเพียงดอกเดียวพร้อมปิดจุกไหตามเดิม “ท่านเขย่าไหแรงๆ เพื่อให้ดอกไม้ทำงานกับเหล้าองุ่นได้เลย จัดการสิ” ทาเนียบอกกับชอร์ตี้ “เขย่าไหเหล้าเพียงแค่นั้นหรอกหรือ” ชอร์ตี้เอ่ยถามกลับไป กับวิธีการเปลี่ยนรสชาติเหล้าองุ่นของตนจากหญิงแปลกหน้าแต่ก็ยอมทำตาม รีบยกไหเหล้าองุ่นตรงหน้าเขย่าไปมา จนกระทั่งได้ยินเสียงของทาเนีย “พอแล้วท่านชอร์ตี้ คราวนี้ก็มาชิมรสชาติว่าจะเป็นจริงดั่งคำที่ข้ากล่าวหรือไม่ ท่านรินเหล้าองุ่นแจกจ่ายเพื่อทดลองชิมกันได้เลย” “ข้าดื่มไม่เป็นไม่ต้องรินให้ข้าหรอก” เนพธีสเอ่ยแทรกขึ้น แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างนางแม้แต่น้อยเพราะทันทีที่ทาเนียเอ่ย ชอร์ตี้รีบจัดการตามความต้องการของนางทันที “แค่จิบๆ ไม่เป็นอะไรหรอก จะได้ช่วยข้าชิมรสชาติว่าแปรเปลี่ยนจริงดั่งคำกล่าวหรือไม่” ชอร์ตี้เอ่ยบอกโฉมงามพร้อมรินเหล้าองุ่นออกจากไหด้วยความรวดเร็ว เหล้าองุ่นสีแดงข้นคลั่กถูกเทออกจากไห พร้อมส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลเป็นยิ่งนัก สร้างความดีใจให้แก่ชอร์ตี้อย่างยิ่งยวดเมื่อเห็นสีของเหล้าองุ่นแปรเปลี่ยนไปจริงดั่งคำกล่าวของทาเนีย “โอโห! สีแดงข้นน่าลิ้มลองจริงเชียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อถ้าไม่เห็นกับตาว่าดอกไม้บาบิโลนเปลี่ยนเหล้าองุ่นของข้าไปได้จริงๆ” ชอร์ตี้เอ่ยด้วยความปิติ พร้อมแจกจ่ายเหล้าองุ่นจนครบทุกคน “คราวนี้ก็มาลองชิมว่าจะรสชาติเป็นเช่นไร” ชอร์ตี้กล่าวพร้อมยกแก้วเหล้าองุ่นขึ้นดื่ม ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นเนพธีสยังคงถือแก้วเหล้าเอาไว้ดั่งเดิม มิมีทีท่าว่าจะลองลิ้มรสแต่อย่างใด “ลองจิบดูสิเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก จะได้ช่วยบอกข้าว่าต้องเติมดอกไม้บาลิโลนอีกไหม” กล่าวพร้อมใช้มือดันปลายแก้วให้โฉมงามยกขึ้นดื่มพร้อมกับเสียงของทาเนียเอ่ยแทรกขึ้น “ดอกไม้บาบิโลนเพียงดอกเดียวก็เกินพอแล้ว เดี๋ยวพวกเจ้าก็ล่วงรู้ว่าจะเป็นอย่างไร หึหึหึหึ”ทาเนียเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะทำทียกแก้วเหล้าองุ่นขึ้นดื่มเพื่อลิ้มลอง เนพธีสไม่อยากจะขัดใจผู้สูงวัย โฉมงามยกแก้วที่ภายในมีเหล้าองุ่นสีแดงข้นคลั่กส่งกลิ่นหอมอบอวล เชิญชวนลิ้มลองยิ่งนัก ก่อนจะดื่มน้ำสีแดงข้นกลืนหายเข้าไปในลำคอ ในขณะที่ชอร์ตี้ยกดื่มขึ้นรวดเดียวจนหมดแก้ว ทันทีที่ดิ่มเหล้าจนหมดแก้ว ชอร์ตี้ฉีกยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ลิ้มลองเหล้าองุ่นตรงหน้า “ไม่น่าเชื่อ! รสชาติช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นที่ไหนเลิศรสเช่นนี้มา...กะ...กะ...ก่อน” ชอร์ตี้เริ่มเอ่ยติดขัด ทั่วร่างเริ่มร้อนระอุดั่งเพลิงเผาพลาญ ติดตามด้วยโลหิตแดงฉานเริ่มไหลออกจากทางตา ปาก หู จมูก ด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับมือทั้งสองข้างยกกำรอบคอของตน ร่างค่อยๆ ทรุดฮวบลงไปนอนกับพื้น ดวงตาเบิกค้างใบหน้าหันไปมองทางเด็กสาวก่อนจะสิ้นใจตายทันทีโดยมิทันได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก “ตุ๊บ!” แก้วที่อยู่ในมือของเนพธีสร่วงหล่นสู่พื้น “ยา...ยาพิษ!” สิ้นเสียงกล่าวร่างงามล้มลงไปนอนกับพื้นโดยพลัน โลหิตสีแดงฉานเริ่มไหลทะลักออกมาจากปากอย่างรวดเร็ว สายตามองไปยังร่างของชอร์ตี้ ซึ่งขาดใจตายไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว “สำเร็จ! เพียงเท่านี้จักรวรรดิอียิปต์ก็มีเพียงพระนางของข้าเท่านั้นที่เป็นราชินี หึหึหึหึ” ทาเนียเค้นเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอด้วยความภาคภูมิใจกับผลงานของตน สายตาจับจ้องไปที่ร่างงามซึ่งกำลังทุรนทุรายด้วยยาพิษ ซึ่งนางถูกหยิบยื่นความตายจากหญิงแปลกหน้าที่ตนช่วยเหลือ “เซ...เซติ...” เนพธีสพยายามเรียกชื่อคนรักของนางด้วยความคิดถึง หัวใจเจ็บร้าวยิ่งนักเมื่อล่วงรู้ว่าความตายกำลังทำให้นางพลัดพรากจากบุรุษที่กำลังเฝ้ารอคอยการกลับมา ทาเนียลุกขึ้นยืนทันที นางย่างสามขุมตรงไปที่โฉมงามพร้อมก้มลงกระชากเส้นผมจนศีรษะลอยขึ้นจากพื้นเพื่อกล่าวบางสิ่งกับนาง “เจ้าจงตายอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่แผดเผา ความตายของเจ้าจะทำให้ฝ่าบาทมิต้องลุ่มหลงอีกต่อไป พระองค์จะต้องหันกลับมามีพระทัยให้กับพระนางทูย่าของข้าเท่านั้น นางเด็กหน้าโง่!” ทาเนียเอ่ยบอกโฉมงามด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมพร้อมปล่อยมือจากร่างเนพธีส ทันใดนั้นเอง “เนพ! เนพ! ข้ามาขอแบ่งปันยาจากเจ้าได้ไหม!” เสียงอิสตรีตะโกนเรียกชื่อดังเอ็ดอึงอยู่หน้าบ้าน พร้อมกับร่างของหญิงสาวนางหนึ่งก้าวโผล่พ้นบานประตูยืนเผชิญหน้ากับทาเนียเข้าให้พอดี “อะไรกันนี่” หญิงสาวชาวบ้านกล่าวออกมาทันที เมื่อเห็นร่างของชอร์ตี้นอนตะแคงหันหลังให้กับประตู ถัดไปไม่ไกลมองเห็นร่างของเนพธีสกำลังนอนกระอักเลือด ลมหายใจใกล้รวยริน ครั้นเมื่อเห็นทั้งสองมีสภาพเป็นเช่นนั้น หญิงสาวชาวบ้านตกใจแทบสิ้นสติพร้อมเปล่งเสียงร้องจะเรียกให้คนมาช่วยหากแต่ช้าไปเสียแล้ว ด้วยเพราะนางกำนัลทาเนียไวกว่า “ช่วย...ฉัวะ!” โลหิตแดงฉานไหลทะลักออกมาจากลำคอ ด้วยเพราะถูกของมีคมปาดคอจนลึกแทบเห็นกระดูก “ตุ๊บ!” ร่างหญิงสาวชาวบ้านล้มลงทาบทับร่างไร้วิญญาณของชอร์ตี้ลมหายใจหลุดลอยออกจากร่างไปทันที “สาระแนลนหาที่ตาย!” ทาเนียเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม นางกำนัลใจโหดยกไหเหล้าองุ่นเทลงบนกองไฟที่กำลังลุกโชน ก่อนจะจับไหเหล้าที่ใส่ยาพิษปาลงไปที่พื้นทันใด “เพล้ง!” “ฟู้วววววว!” ปฎิกิริยาจากเหล้าองุ่นที่ผสมพิษร้ายจากดอกไม้บาบิโลน ทำให้กองไฟที่ลุกโชนแทนที่จะดับแต่กลับขยายออกเป็นวงกว้างแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงลามเลียไปยังกองไม้ที่นำมาเป็นเชื้อฟืน พระเพลิงเริ่มเผาผลาญทุกสิ่งภายในบ้านและทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!” เสียงหัวเราะของนางกำนัลใจโฉดแผดเสียงดังก้อง ก่อนจะรีบใช้ผ้าคลุมปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดพร้อมก้าวข้ามร่างของโฉมงามที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น เดินหายออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างบ้าคลั่งที่เริ่มเผาผลาญทุกๆ สิ่งให้วอดวาย “กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!” เสียงกรีดร้องดังก้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เมื่อร่างงามถูกเปลวไฟเข้าลามเลียและเริ่มแผดเผาใบหน้าอันงดงามอย่างรวดเร็ว “ทะ...ท่านปู่....ท่านปู่ช่วยข้าด้วย!” [1] ดินแดนพันต์ ชาวอียิปต์โบราณรู้จักกันในนาม ดินแดนแห่งเทพเจ้า ดินแดนแห่งเทวีฮาเทอร์ หรือดินแดนแห่งเครื่องหอม ดินแดนดังกล่าวยังคงเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบันว่าตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ เชื่อกันว่าดินแดนพันต์ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน อาจจะอยู่เลยไปจนถึงชายฝั่งทะเลแดงของประเทศโซมาเลีย เนื่องจากมีการสำรวจค้นพบชนิดของต้นไม้ ดอกไม้ เครื่องเทศนานาพันธุ์และซากสิ่งของต่างๆ รวมทั้งเครื่องมือสมัยโบราณ ซึ่งตรงกับภาพสลักหินในวิหารของพระนางแฮตเชปชุต นักอียิปต์วิทยาจึงสันนิษฐานว่า ดินแดนพันต์น่าจะอยู่ในประเทศนี้มากที่สุด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม