แสงแห่งสุริยะเทพเริ่มค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงสีทองอร่ามตาไปทั่วผืนปฐพี ผสมผสานกับสายลมอ่อนๆ พลิ้วไหวระริกพาดผ่านสายน้ำแห่งไนล์ ก่อให้เกิดความเย็นจากสายน้ำแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ร่างเล็กๆ เปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มที่ทำทอมาจากผ้าลินินห่อหุ้มร่างกายเพียงหลวมๆ ร่างน้อยนอนขดคู้อยู่ภายในอ้อมกอดกว้าง ไออุ่นจากอกกว้างปกป้องร่างน้อยจนหายไข้ไปในที่สุด สองแขนตระกองกอดร่างบางเอาไว้แนบอกประหนึ่งเกรงว่าร่างนั้นจะเลือนหายไปจากอ้อมกอดนั้นก็มิปาน
“อืออออ” หญิงสาวส่งเสียงครางยาวๆ ออกมาเบาๆ
เปลือกตาที่ปิดสนิทมาเป็นเวลานานค่อยๆ ขยับเขยื้อนไปมา และแล้วดวงตากลมโตสีดำสนิทก็ค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ สายตาที่พร่ามัวมองเห็นแผงอกกว้างกำยำอยู่ชิดริมจมูก ก่อนจะมองเห็นลำแขนใหญ่แข็งแกร่งพาดอยู่บนเอวเล็กคอดกิ่วของนวลนาง พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ กำลังเป่ารดอยู่บนหน้าผากกว้างของโฉมตรู
“เฮือก!” หญิงสาวสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว เมื่อมองเห็นร่างของบุรุษกำลังกกกอดร่างงามของตนอยู่ในขณะนี้ พร้อมก้มลงสำรวจเรือนกายของนางด้วยความรวดเร็ว
“น...นี่...นี่มัน!” เนพธีสตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเรือนกายเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มเท่านั้นที่ปกปิดเอาไว้ กับร่างของบุรุษตัวมหึมาที่กำลังกกกอดร่างของตนอยู่ในขณะนี้
“เจ้าฟื้นแล้วเหรอ!” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยถามโฉมงาม
เนพธีสแหงนหน้ามองต้นเสียงที่ถามไถ่อาการของนางโดยพลัน ทว่าการแหงนหน้ามองดังกล่าวกลับเกิดความผิดพลาดไปอย่างไม่คาดคิด
“พรืดดด!” ริมฝีปากอวบอิ่มสัมผัสปลายคางของบุรุษตรงหน้า ที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มโดยมิได้ตั้งใจ เล่นเอาบุรุษร่างใหญ่ถึงกับตาปรอยไปเลยทีเดียวเมื่อถูกนางสัมผัสเช่นนั้น
โฉมงามถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อบังเอิญไปสัมผัสถูกเนื้อตัวบุรุษเป็นครั้งแรก ใบหน้าสวยเริ่มแดงระเรื่อพร้อมร่างน้อยๆ รีบตะครุบผ้าห่มปกปิดร่างกายของตนอย่างมิดชิดก่อนจะรีบยันกายลุกขึ้นนั่งบนฟูกนอนอย่างรวดเร็ว
“เออ...ขะ...ข้า...ทำไมข้า...” นวลนางพูดติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ
ฟาโรห์เซติทอดพระเนตรใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอายตรงพระเบื้องพระพักตร์ กิริยาของนางบ่งบอกได้เลยว่านางไร้เดียงสา ไม่มีจริตมารยาแสแสร้งแต่อย่างใด หัวใจสั่นไหวระริกเมื่อเพ่งพิศโฉมตรูในร่างเปลือย
“เจ้าพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ร่างถูกพลัดออกไปไกล ดีนะที่ช่วยเจ้าเอาไว้ได้ทัน” องค์กษัตริย์รับสั่งกับโฉมตรู
“ผู้ใดช่วยข้าขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ ข้าจำได้แต่เพียงว่าข้าเผลอลื่นล้มจนพลาดตกจากเรือลงไปในแม่น้ำ หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” โฉมงามเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่ใบหน้าคมเข้มของบุรุษตรงหน้า แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาแห่งแรงรักแรงพิศวาสเป็นคำตอบที่ส่งกลับมาให้ภายใต้ความเงียบงัน และเหมือนกับว่านางเองจะสัมผัสได้
“ป...เป็น...ท่านหรอกหรือที่ช่วยชีวิตข้าไว้” โฉมงามเอ่ยถามพระองค์
ฟาโรห์เซติแย้มพระโอษฐ์บางๆ ส่งให้โฉมตรู พร้อมลุกขึ้นประทับนั่ง ทอดพระเนตรร่างงามตรงพระพักตร์ด้วยสายพระเนตรที่เปิดเปลือยความรู้สึกของพระองค์ทั้งหมดที่มีต่อโฉมงาม
“ไม่ว่าผู้ใดตกน้ำและกำลังจะจมน้ำตายไปต่อหน้า เป็นผู้ใดก็ต้องช่วย ข้าก็เช่นกันโดยเฉพาะเจ้าด้วยแล้ว ข้ามิยอมให้เจ้าต้องเป็นอะไรไปโดยเด็ดขาด” พระองค์รับสั่งกับโฉมงามสายพระเนตรจับอยู่ที่ใบหน้าสวยจนอีกฝ่ายสะเทิ้นสะท้านสายพระเนตรหวานซึ้งที่พระองค์ถ่ายทอดออกมา
“ข้า...ขอบคุณท่านยิ่งนักที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้” เนพธีสเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ พร้อมก้มมองสำรวจร่างกายของตนเองอีกครั้ง คำถามเกิดขึ้นมากมายอยู่ภายในใจขณะนี้ หากแต่มิทันเอื้อนเอ่ย เสียงทุ้มกังวานดังแทรกขึ้นมาโดยพลัน ดั่งบุรุษตรงหน้าจะรู้เท่าทันในความคิดนาง
“ข้าขออภัย ข้าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่เจ้า หาไม่แล้วเจ้าจะไม่รอดแต่ถึงกระนั้นเจ้าก็มีอาการไข้สูงทั้งคืน ข้าไม่มีผ้าใดที่จะบรรเทาอาการไข้ของเจ้าได้ จึงต้องกอดเจ้าไว้ทั้งคืนเพื่อถ่ายทอดไออุ่นจากกายข้าให้แก่เจ้าผู้เดียว” องค์กษัตริย์รับสั่งอธิบายและแฝงเร้นความนัยในถ้อยรับสั่ง
ครั้นโฉมงามได้ยินถ้อยคำของบุรุษตรงหน้าเอ่ยบอกเช่นนั้น นางรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ใบหน้าสวยปรากฏรอยยิ้มบางๆ ด้วยความดีใจโดยมิรู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มดังกล่าวสะกดสายตาของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าจนถึงกับชะงักงัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อถามบางสิ่งบางอย่าง
“ท่าน!” เนพธีสเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดลง เมื่อดวงตากลมโตสีดำสนิทประสานเข้ากับสายตาคมหวานซึ้งของบุรุษตรงหน้าซึ่งกำลังนั่งมองโฉมงามราวกับว่าต้องมนต์สะกด ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ท่านเซติ!” โฉมงามเอ่ยเรียก
หากแต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบงันเช่นเดิม
“ท่านอา!” เนพธีสเอ่ยเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
และนั้นทำให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์รู้สึกพระองค์ขึ้นมาโดยพลัน
“จ...เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ” องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยทรงได้ยินไม่แจ่มชัด
“ท่านอา!” โฉมงามเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและชัดเจน
“เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาอย่างนั้นหรือ” องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยความรู้สึกงงงัน พร้อมเสียงหวานเอ่ยสำทับขึ้น
“ข้าเรียกท่านเช่นนั้นมิผิดแน่นอน ด้วยข้าเยาว์วัยกว่าท่านยิ่งนัก หาใช่รุ่นเดียวกันแต่อย่างใดจะให้ข้าเรียกนามของท่านมันเป็นการไม่สมควร” โฉมงามอธิบายเหตุผล
หากแต่คนถูกเรียกมีสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่า กำลังวิตกกังวลกับสรรพนามใหม่ที่ถูกนำมาใช้แทนการเรียกชื่อนั่นเอง
“เรียกข้าแบบนั้น แก่ไปไหมเจ้า เรียกแต่เพียงนามข้าก็เพียงพอแล้วกระมัง ข้ามิได้ถือเรื่องวัยแต่อย่างใด ตรงกันข้ามยิ่งเจ้าเรียกข้าแบบนั้น ข้ารู้สึกไม่ดีเลย ราวกับว่าข้านั้นชราภาพยิ่งนัก” องค์กษัตริย์รับสั่งอ้อนวอน
“อ๋อ! ท่านกลัวแก่กระนั้นสิ” โฉมงามกล่าวพลางอมยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ กิริยาที่แสนไร้เดียงสาของนางเล่นเอาองค์กษัตริย์อยากเข้าไปสวมกอดร่างแน่งน้อยเสียเหลือเกิน ก่อนจะได้ยินเสียงนวลนางเอ่ยขึ้นอีกครา
“ข้าขออยู่เพียงลำพังสักครู่ด้วยเถิด ไม่อยากอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อหน้าท่านเสียเท่าใดนัก แลดูไม่งาม” โฉมงามเอ่ยบอกพระองค์
“อ...อ๋อ...ข้าขอโทษ...มัวแต่ทำอะไรไม่รู้ ถ้าเช่นนั้นข้า...ข้าออกไปนอกบ้าน เจ้าจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัว”
ฟาโรห์เซติรับสั่งพร้อมเสด็จลุกประทับออกจากฟูกนอนโดยพลัน พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรใบหน้าเรียวสวยซึ่งกำลังก้มหน้างุดหลบสายพระเนตรของพระองค์อย่างรวดเร็วเมื่อทรงหันกลับมาทอดพระเนตรนางอีกครา พระโอษฐ์แย้มสรวลบางๆ อย่างพึงพอพะทัยพร้อมเสด็จออกไปอยู่ด้านนอก
บริเวณใต้ต้นองุ่น
พวงองุ่นสีแดงคล้ำพวงใหญ่ ห้อยระย้าเต็มต้นมากมาย องุ่นแต่ละเม็ดมีผลกลมใหญ่เนื้อแน่นฉ่ำน้ำเป็นยิ่งนัก ผลองุ่นที่สวยจะถูกคัดแยกเพื่อเตรียมนำไปทำเหล้าไวน์เพื่อมอบถวายให้แก่ฟาโรห์แห่งอียิปต์เท่านั้น
ในยามนี้ วรองค์สูงใหญ่ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเจ้าชีวิตของผู้คนในจักรวรรดิอียิปต์ ยืนประทับอยู่ใต้ต้นองุ่น ทรงทอดพระเนตรผลองุ่นที่ออกผลดกเต็มต้น ครั้นเมื่อทรงทอดพระเนตรต้นถัดๆ ไป แต่ละต้นออกผลดกไม่แตกต่างกันเลยทีเดียว พร้อมยื่นพระหัตถ์บิดผลองุ่นที่ห้อยระย้าอยู่ตรงพระพักตร์ใส่เข้าไปในพระโอษฐ์เพื่อลองลิ้มชิมรสชาติของมัน พร้อมกับเสียงหวานเอ่ยดังขึ้น
“รสชาติดีเยี่ยมใช่หรือไม่”
องค์กษัตริย์หันกลับไปทอดพระเนตรเสียงหวานทันที และต้องประทับนิ่งเมื่อทอดพระเนตรโฉมงามในเครื่องแต่งกายชิทกาวน์ [1]ดั่งเช่นสตรีชาวอียิปต์ที่พบเห็นได้ทั่วไป แตกต่างตรงที่นางมิได้โกนศีรษะและสวมวิกผมตามความนิยม แต่นางกลับปล่อยเส้นผมดำขลับยาวสยายถึงทรวงอก มีเพียงลูกปัดประดับอยู่เพียงปลายผมเท่านั้น
“งามมาก” องค์กษัตริย์รับสั่งเบาๆ โดยมิรู้สึกพระองค์
“ท่านกล่าวว่าอะไรนะ!” โฉมงามเอ่ยถามย้ำกลับไป
“อ...อ๋อ...ข้าบอกว่าผลองุ่นหวานมาก” พระองค์รับสั่งเฉไฉไปทางอื่น แต่จู่ๆ ก็ทรงรับสั่งแทรกขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เจ้าแต่งกายเฉกเช่นอิสตรีทั่วไปเช่นนี้ งดงามเป็นยิ่งนัก” พระองค์รับสั่งตรงไปตรงมา เล่นเอาคนถูกชมเกิดอาการประหม่าออกมาทันที
“นี่ของท่านใช่หรือไม่” เนพธีสรีบยื่นบางสิ่งบางอย่างให้แก่องค์กษัตริย์เพื่อเปลี่ยนเรื่องสนทนา
ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทอดพระเนตรกริชคู่พระวรกายตรงพระพักตร์ ซึ่งอยู่ในมือของโฉมงาม ก่อนจะยื่นพระหัตถ์รับกริชกลับคืนมาดั่งเดิม พระองค์ประทับนิ่งมิทรงตรัสถาม หากแต่เฝ้ารอคำตอบโฉมตรูว่าจะกล่าวถ้อยคำเช่นไร
“ข้าเห็นกริชเล่มนี้บนเรือที่ไปช่วยท่าน เห็นตกหล่นอยู่ข้างกายเต็มไปด้วยเลือด ข้าเดาว่าท่านใช้กริชนี้สู้กับกลุ่มคนที่มาทำร้ายเพื่อช่วยเหลือตัวเอง ข้าจึงเก็บเอาไว้ให้ท่าทางจะสูงค่ายิ่งนัก” โฉมงามเอ่ยถามเลียบๆ เคียงๆ
“กริชเล่มนี้เป็นของบิดาข้า บิดาของข้าได้รับมาจากฟาโรห์แห่งอียิปต์ในราชวงศ์ก่อนที่จะมาถึงราชวงศ์ปัจจุบัน จึงสูงค่าด้วยได้รับตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ข้าก็ได้รับจากบิดาเมื่อออกศึกไปทำสงครามได้ชัยชนะกลับมาเป็นครั้งแรก” องค์กษัตริย์ตรัสตามความเป็นจริง
“นี่ท่านเป็นทหารเช่นนั้นหรอกหรือ” โฉมงามเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ตระกูลของข้าเป็นทหารด้วยกันทั้งหมด เหตุใดเจ้าแลดูตื่นเต้นยิ่งนัก” องค์กษัตริย์ตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย
“ข้าชอบทหาร...หากข้าเลือกได้ ข้าก็จะ...” เนพธีสเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็หยุดเอ่ยเสียดื้อๆ
“เออ...จริงสิ ข้ามิได้อยู่ดูแลท่าน อาการของท่านตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” โฉมงามเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที
หากแต่ฟาโรห์แห่งอียิปต์สะดุดพระทัยกับคำกล่าวของโฉมตรูเมื่อครู่เป็นยิ่งนัก ชะรอยมันติดอยู่ภายในพระทัยกับคำกล่าวของนาง
“นางชอบทหาร นางมีชายในดวงใจเช่นนั้นหรือ” องค์กษัตริย์รำพึงอยู่ในพระทัย เพียงแค่คิดหัวใจกระตุกจนจุกไปทั่วเลยทีเดียว
“ท่านมิได้ยินที่ข้าถามเช่นนั้นหรือ”เสียงหวานเอ่ยถามย้ำ
“ข้าได้ยินที่เจ้าถาม ข้าหายเป็นปกติดีแล้ว มิเช่นนั้นจะสามารถว่ายน้ำลงไปช่วยเจ้าจนขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ได้อย่างไรกัน เจ้าว่าจริงหรือไม่” พระองค์รับสั่งทอดพระเนตรใบหน้าสวยของโฉมงามซึ่งกำลังแหงนหน้ามองพระองค์ในขณะที่กำลังสนทนา และเหมือนนางจะล่วงรู้ว่ากำลังถูกมองจากสายพระเนตรคมดุหากแต่หวานซึ้ง
“ข้าขอขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตของข้าไว้...สักวันหนึ่งข้าจะตอบแทนพระคุณที่ท่านมีต่อข้า” โฉมงามเอ่ยบอกพระองค์
“มิต้องตอบแทนบุญคุณข้าแต่อย่างใด เราทั้งสองต่างมีบุญคุณต่อกันทั้งคู่ หากแต่เราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้วใยจะต้องคิดว่ามีบุญคุณต่อกันอีกเล่า” องค์กษัตริย์ตรัสกับโฉมงาม
เนพธีสพยักหน้าขึ้นลงติดๆกัน แทนคำตอบ นางรู้สึกประหม่าจนบอกไม่ถูกเมื่อดวงตาหวานซึ้งตรงหน้ามองนางอยู่ตลอดเวลา จนต้องเอ่ยขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวไปเก็บสมุนไพร หาตัวยาใหม่ๆ ต่อก็แล้วกันเชิญท่านตามสบาย” นางเอ่ยบอกพระองค์พร้อมก้มหน้างุดรีบเดินผละออกไปทันที ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ราชันทอดพระเนตรตามหลังเนื้อนวลสุระเสียงรับสั่งตามหลังโฉมตรู
“ข้าไปช่วย!” องค์กษัตริย์รุกตามติดไม่ปล่อยให้นางไปไหนตามลำพัง ประหนึ่งที่ใดมีนางที่นั่นมีพระองค์