ภายในบ้านพัก
ครั้นเมื่อถึงภายในบริเวณบ้าน ฟาโรห์แห่งอียิปต์หันกลับมารับสั่งกับชอร์ตี้และชาวบ้านที่เดินตามมาอย่างกระชั้นชิดด้วยสุระเสียงเข้ม
“พวกท่านรออยู่ด้านนอก ยังไม่ต้องเข้าไป ข้าต้องการผ้าหนาๆ เพื่อให้ความอบอุ่นและต้องการยา ท่านลุงรู้จักยาของเนพธีสที่มีอยู่หรือไม่”
“เออ...ข้าไม่รู้หรอก ข้าอ่านหนังสือไม่ออก” ชายชราเอ่ยบอกพระองค์
“ถ้าเช่นนั้นท่านไปเอาตำรายาและสมุนไพรทั้งหมดมาให้ข้า ข้าจะอ่านเองแล้วเอาผ้าหนาๆ มาด้วย เร็วเข้าอย่าได้ชักช้าหาไม่แล้วจะไม่ทันการ” พระองค์รับสั่งกำชับ
“ได้...ได้...พวกข้าจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้เลย” ผู้สูงวัยเอ่ยบอกพร้อมชักชวนเพื่อนบ้านให้เดินตามไปด้วยกัน
ฟาโรห์หนุ่มรูปงามค่อยๆ วางร่างอรชรบนฟูกที่พระองค์เคยประทับบรรทมมาโดยตลอด ร่างบางยังคงหมดสติมิล่วงรู้เลยว่า ตนกำลังเป็นต้นเหตุให้พระทัยที่นิ่งไม่เคยวอกแวกไปกับอิสตรีนางใด ต้องระส่ำระสายแทบควบคุมไม่ได้เลยทีเดียว
“ฟู้ว!” พระองค์เป่าพระโอษฐ์ออกมาอย่างแรงคล้ายทรงตัดสินใจบางอย่าง
“พรึ่บ!” พระหัตถ์หนารีบดึงอาภรณ์ที่เปียกโชกออกจากร่างบางด้วยความรวดเร็ว
ผ้าคลุมที่ทอจากผ้าลินินหยาบๆ ถูกนำมาเช็ดร่างงามให้แห้งสนิทไปทั่วเรือนร่าง พร้อมนำผ้าลินินผืนใหญ่ที่นำมาเย็บติดกันหลายๆ ชั้นจนกลายเป็นผ้าห่มถูกนำมาห่อหุ้มร่างงามแทนที่ ก่อนจะตัดสินใจแนบพระพักตร์คมคร้ามลงบนทรวงอกอวบเพื่อฟังการเต้นของหัวใจ
“หายใจได้เองแล้ว” พระองค์รับสั่งเบาๆ
พร้อมใช้พระหัตถ์จับร่างบางพลิกให้นอนตะแคง ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกจัดให้ปกคลุมร่างนั้นจนมิดชิดทั้งนี้เพื่อให้เกิดความอบอุ่น แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นก็คือพระองค์ทรงเป็นห่วงและหวงแหนร่างอรชรตรงพระพักตร์เป็นอย่างมากนั่นเอง
ครั้นเมื่อยู่เพียงลำพังสองต่อสอง พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรใบหน้างามตรงเบื้องพระพักตร์โดยไม่ละสายพระเนตรแต่อย่างใด เหตุใดหนอสตรีสตรีนางนี้จึงทำให้พระองค์มิอาจละสายพระเนตรไปจากดวงหน้างามนี้ได้เลย และเหตุใดหนอนางจึงต้องตาต้องใจพระองค์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ผูกจิตเสน่หาอยู่กับนางโดยมิรู้ตัว ตรึงอยู่ในจิตใจอยู่ทุกคืนวัน
“มาแล้ว! มาแล้ว!” เสียงของชายชราแทรกดังขึ้นทำลายความเงียบงัน ทำให้ฟาโรห์เซติรู้สึกพระองค์
เสียงของชอร์ตี้ดังตั้งแต่อยู่นอกประตู จนกระทั่งร่างของชายชราโผล่พ้นประตูเผยให้เห็นข้าวของพะรุงพะรังอยู่ในอ้อมแขนเต็มไปหมด
“ข้าไปค้นหาตัวยาสมุนไพรที่ห้องเก็บยาของเนพได้มาเท่าที่เจ้าเห็นนี่แหละ ส่วนเสื้อผ้าต้องหาในนี้นางคงมีเสื้อผ้าเก็บไว้ในบ้านด้วยกระมัง แต่บันทึกตำรายาข้าพยายามหาแล้ว แต่หาไม่เจอเลย” ชอร์ตี้เอ่ยบอกพระองค์
องค์กษัตริย์ทอดพระเนตรตัวยาสมุนไพรตรงพระพักตร์ พร้อมเอื้อมพระหัตถ์หยิบสมุนไพรแต่ละชนิดขึ้นมาทอดพระเนตรใกล้ๆ
“ข้าก็ไม่รู้จักตัวยาอะไรเลยสักอย่าง ถ้านางไม่มีไข้แทรกซ้อนก็ดีไปคงจะปกติภายในไม่ช้า” พระองค์รับสั่งพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรร่างอรชรที่กำลังหลับสนิทยังไม่ได้สติจากการจมน้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงของชอร์ตี้เอ่ยแทรกขึ้น
“ถ้าเป็นตัวยาเพื่อทำให้ไข้ลด เนพธีสเคยให้ตำรายาไว้ให้แก่ข้าพร้อมทั้งตัวยาสมุนไพร เอาไว้ต้มให้เจ้ากินตอนที่ยังนอนเจ็บอยู่ นางให้ข้าไว้ก่อนจะเดินทางกลับไปหาปู่ของนาง นอกจากตัวยาสำหรับลดไข้แล้ว มียาสำหรับทาแผล แก้ปวด แก้อักเสบ ข้าจำได้แม่น เพราะต้องคอยดูแลรักษาเจ้าทุกวัน”
“ถ้าเช่นนั้นท่านลุงก็รีบก่อไฟและต้มยาลดไข้เสียเถอะ เพลานี้แสงแห่งเทพราใกล้ลาลับขอบฟ้าแล้ว เมื่อเข้าสู่ยามราตรีจะหยิบจับอะไรก็ไม่ค่อยสะดวกเสียเท่าใดนัก ข้าจะลองไปค้นหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้นาง”พระองค์มีรับสั่งพร้อมเสด็จลุกประทับตรงไปหาบรรดาเครื่องเรือนและหีบไม้ที่วางอยู่อีกมุมห้อง
องค์กษัตริย์ค่อยๆ เปิดหีบไม้เพื่อค้นหาเสื้อผ้าให้แก่นวลนาง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเครื่องหอมที่ใส่ไว้ในหีบผ้ามิให้เหม็นอับ กลิ่นหอมละมุนดังกล่าวส่งกลิ่นพวยพุ่งโชยต้องพระนาสิกองค์กษัตริย์ขึ้นมาโดยพลัน พระหัตถ์ลูบไล้เสื้อผ้าของนวลนางไปมาเบาๆ
มิน่าเล่าเหตุใดเรือนกายของนางจึงหอมติดตรึงในพระทัยเป็นยิ่งนัก เพราะนางเข้าใจหาพืชพันธ์ไม้ที่ส่งกลิ่นหอมนำมาอบผ้าเอาไว้นี่เอง ทว่าพระองค์กลับหยุดชะงักเมื่อได้พบสิ่งที่เป็นเหตุให้พระหัตถ์ขององค์กษัตริย์ต้องสะดุดหยุดลงนั้นก็คือ พระองค์ทอดพระเนตรกริชทองคำซึ่งเป็นอาวุธที่อยู่ติดพระวรกายมาโดยตลอด บัดนี้กลับมาปรากฏอยู่ภายในหีบผ้าของเนพธีส
ฟาโรห์เซติทรงเอื้อมพระหัตถ์หยิบกริชทองคำที่อยู่ภายในหีบ ลวดลายที่แกะลงบนฝักของกริชตลอดจนถึงตัวด้ามที่ทำจากงาช้างสลับกับทองคำและประดับด้วยทับทิมสีแดงสุกเปล่งตรงหัว
มิผิดแน่นอนกริชดังกล่าวคือกริชคู่พระวรกายของพระองค์ที่พระบิดาฟาโรห์รามเสสที่ 1 ทรงประทานให้ องค์กษัตริย์หันกลับไปทอดพระเนตรร่างงามที่กำลังหมดสติมีบางสิ่งที่พระองค์กำลังครุ่นคิดอยู่ภายในพระทัย ก่อนจะค่อยๆ วางกริชของพระองค์ไว้ในหีบผ้าตามเดิมพร้อมกับเสียงของชอร์ตี้เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“เฮ้อ! อย่ามีอะไรแทรกซ้อนอาการขึ้นมาเลยนะ คงจะมิมีผู้ใดหาวิธีรักษาได้เป็นแน่ เวลาผู้อื่นเจ็บไข้ได้ป่วยมีแต่เนพธีสคอยดูแลรักษา แต่พอถึงตัวเองเป็นบ้างกลับหามีผู้ใดรักษานางได้ อย่าเพิ่งจากไปก่อนวัยอันควรเลยยังเยาว์วัยเป็นยิ่งนัก” ชอร์ตี้นั่งบ่นไปพร้อมก่อไฟไป
“นางหายใจเองได้แล้ว คงจะดีขึ้นอีกในไม่ช้าไม่จากไปก่อนวัยอันควรแน่นอนชอร์ตี้ อีกอย่างนางเป็นสาวเต็มวัยแล้ว มิได้เยาว์วัยดั่งเช่นที่เข้าใจ” ฟาโรห์แห่งอียิปต์รับสั่งพร้อมเสด็จลุกออกจากมุมห้องตรงมาประทับนั่งกับพื้น พร้อมเสื้อผ้าของนวลนาง
“เจ้าต่างหากที่เข้าใจผิดแล้วเซติ นางยังเยาว์วัยหาใช่เป็นสาวเต็มตัวดั่งที่เจ้าเห็นแต่อย่างใด นางเพิ่งจะอายุ 14 เพียงเท่านั้น” ชอร์ตี้เอ่ยบอกอายุที่แท้จริงของนวลนาง
“14!” ฟาโรห์เซติรับสั่งด้วยความแปลกพระทัยอย่างยิ่งยวดเมื่อทรงทราบเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรร่างงามตรงพระพักตร์ทันทีด้วยมิอยากเชื่อว่าจะเป็นดั่งเช่นชอร์ตี้เอ่ยบอกพระองค์ เพราะสิ่งที่ได้สัมผัสกับพระองค์เองจนเต็มสองพระเนตรนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าคงแปลกใจล่ะสิ ที่ล่วงรู้ว่านางมีอายุเพียงเท่านั้นมันช่างตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ของนางในยามนี้อย่างยิ่งยวด” ชอร์ตี้เอ่ยพร้อมหันกลับไปเผชิญหน้ากับฟาโรห์แห่งอียิปต์ซึ่งกำลังทอดพระเนตรร่างบางอยู่ตลอดเวลา
ดั่งชายชราล่วงรู้ว่าองค์กษัตริย์ทรงมีความรู้สึกเช่นไรกับร่างตรงหน้าก่อนจะกล่าวสำทับขึ้นอีกครั้ง
“เนพธีสเป็นหญิงที่งามมากใช่ไหมเซติ ข้ามองสายตาของเจ้าออกว่าเจ้าพึงใจในตัวนาง” ชอร์ตี้ปล่อยหมัดเด็ดตรงไปตรงมาเล่นเอาฟาโรห์แห่งอียิปต์ประทับนิ่งไปโดยพลัน
“นี่คือสาเหตุอย่างหนึ่งที่เนพธีสเดินทางไปไหนจะใกล้หรือไกล ต้องแต่งกายอย่างมิดชิดและต้องปกปิดใบหน้าเอาไว้เพราะความงามของนางทำให้นางมีภัย มิมีบุรุษใดเมื่อได้เห็นนางแล้วจะมิพึงใจในรูปโฉมและอยากได้นางไปครอบครอง
นางเพิ่งอายุ 14 ยังงดงามมากถึงเพียงนี้ หากนางเติบโตเต็มวัยนางจะยิ่งงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีกและนี่คือสาเหตุที่นางจะต้องเดินทางกลับไปหาปู่ของนางเสมอเพราะปู่ของนางจะเป็นผู้คุ้มครองให้นางรอดพ้น” ชอร์ตี้เอ่ยบอกพระองค์
พระขนงคมเข้มได้รูปสวยขมวดเข้าหากันเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดปู่ของนางจึงสามารถคุ้มครองนางมิให้บุรุษเข้าถึงเนพธีสได้ แต่...” พระองค์รับสั่งพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรเนพธีสด้วยความรู้สึกหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง
“รูปโฉมของนางช่างผิดไปจากสตรีชาวอียิปต์ทั่วไปเป็นยิ่งนัก หรือนางเป็นคนต่างชาติเช่นนั้นหรอกรึ” ฟาโรห์เซติเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“พ่อนางเป็นชาวอียิปต์ แม่นางเป็นชาวไมตานีแต่เข้ามาอาศัยในอียิปต์มาตั้งแต่เยาว์วัย นางจึงมีรูปโฉมผิวพรรณที่แตกต่างไปจากสตรีชาวอียิปต์ทั่วไป ส่วนปู่ของนางจะมีอำนาจมากเพียงใด เรื่องนั้นข้าก็มิอาจรู้ได้เพราะข้าเองก็รู้จักปู่ของนางในฐานะหมอยาที่คอยรักษาคนเจ็บ
ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าก็มิเคยล่วงรู้ ข้าเห็นเจ้ามีจิตเสน่หาต่อนางจึงอยากให้เจ้าเผื่อใจเอาไว้บ้าง แม้ว่าเจ้าจะเป็นชายที่มีรูปโฉมงดงามซึ่งข้าก็เห็นว่าเจ้าทั้งสองคู่ควรกันมากเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นใช่ว่าเจ้าจะสมหวังเสมอไปหรอกนะ หากนางมิมีใจให้แก่เจ้า” ชอร์ตี้กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะลุกขึ้นก้าวเดินออกจากประตูบ้านไปอย่างช้าๆ
คำกล่าวเตือนของชอร์ตี้ทำให้ฟาโรห์เซติ คลางแคลงพระทัยเป็นยิ่งนักเมื่อล่วงรู้ว่านวลนางของพระองค์มีเงื่อนงำซับซ้อนเสียนี่กระไร ยิ่งปู่ของนางด้วยแล้วทำให้พระองค์ทรงขบคิดมากขึ้นไปอีก องค์กษัตริย์หันกลับไปทอดพระเนตรร่างงาม พระเนตรสีนิลกาฬจับอยู่ที่ใบหน้าของเนพธีสตลอดเวลา ใบหน้าของนางในยามหลับใหลช่างไร้เดียงสาและงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ร่างงามนวลเนียนลออตา เป็นที่น่าสัมผัสแนบชิดใกล้อย่างยิ่งยวด อกอวบสล้างชูชันถูกปกปิดภายใต้ผ้าห่มแต่แล้วร่างที่นอนสงบนิ่งมาโดยตลอดเริ่มเคลื่อนไหวเรือนกาย หากแต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวหาใช่การคืนสติแต่กลายเป็นอาการหนาวเหน็บเกิดขึ้นแบบฉับพลัน
“ห...หนา...หนาว...หนาว” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมขดตัวเข้าหากัน ร่างเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาเรื่อยๆ
องค์กษัตริย์รีบดึงผ้าขึ้นปกปิดเรือนกายให้นวลนาง ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อพระหัตถ์สัมผัสกับเนื้อนวลเนียน
“กายร้อนดั่งไฟยิ่งนัก นางมีไข้แทรกซ้อนเข้าให้เสียแล้ว” พระองค์ลุกประทับพร้อมเสด็จตรงไปที่หีบไม้ เพื่อค้นหาผ้าที่จะสามารถมาใช้ห่มกายที่ร้อนดั่งไฟนั้นได้
“อ้าว! เนพธีสเป็นอะไรเซติ” เสียงของชอร์ตี้เอ่ยถามเมื่อกลับมาเห็นเด็กสาวกำลังนอนหนาวสั่นสะท้าน
“นางมีไข้แทรกซ้อนเข้าให้เสียแล้ว ข้ากำลังหาผ้ามาห่มให้นาง” พระองค์ตอบกลับไป
“เจ้าไม่ต้องไปหาหรอก มันไม่มี ข้าต้มยาลดไข้มาแล้วเอาให้นางดื่มก่อน เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ชอร์ตี้กล่าวกับพระองค์พร้อมทรุดตัวลงนั่งยื่นชามยาส่งให้เมื่อพระองค์เสด็จมาประทับนั่งลงข้างๆ
“เจ้าป้อนนางเถิด หน้าที่นี้เป็นของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าอยากดูแลนางเพราะนางช่วยชีวิตและรักษาเจ้าเอาไว้ คราวนี้ก็ถึงตาเจ้าบ้างแล้วที่จะคอยดูแลนางบ้าง” ชอร์ตี้พูดพร้อมส่งยิ้มบางๆ ด้วยรู้ทัน
ฟาโรห์หนุ่มรูปงามรับชามยาลดไข้จากมือผู้สูงวัย พระองค์หันกลับมาค่อยๆ ประคองร่างที่กำลังหนาวสั่นสะท้านจากฟูกนอน ให้ขึ้นมาอยู่บนพระวรกายของพระองค์ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พร้อมกับเสียงของผู้สูงวัยเอ่ยขึ้น
“ถ้านางมีอาการไข้เช่นนี้ทั้งคืน เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วที่ต้องช่วยนาง นี่ก็ค่ำมากแล้วข้าไม่ต้องห่วงเนพธีสแล้วมีเจ้าคอยดูแลอยู่ ข้าจะกลับไปพักผ่อนพรุ่งนี้จะแวะเข้ามาดู” ชอร์ตี้บอกองค์กษัตริย์พร้อมเดินผละจากไป
ฟาโรห์เซติค่อยๆ เป่าชามยาให้หายร้อนก่อนจะจรดเข้าที่ริมฝีปากของเนื้อนวล ทว่านางมิยอมอ้าปากดื่มยาแต่อย่างใด พระองค์ทอดพระเนตรเนพธีสที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์คล้ายกำลังตัดสินพระทัยบางอย่าง ก่อนจะยกชามยาขึ้นเสวยเสียเองจนหมด หากแต่ยามิได้ทรงกลืนลงไป
พระโอษฐ์หยักได้รูปสวยประทับลงบนริมฝีปากอวบอิ่มของโฉมงามอย่างรวดเร็ว ยาที่อยู่ในพระโอษฐ์ถูกปล่อยลงไปอย่างช้าๆ เพื่อมิให้นางเกิดอาการสำลักอย่างค่อยเป็นค่อยไปจวบจนกระทั่งหมด หากแต่พระโอษฐ์ของพระองค์ยังคงประทับอยู่บนริมฝีปากอวบอิ่มนั้นนิ่งนาน
เป็นการยากเสียเหลือเกินที่จะตัดพระทัยถอนพระโอษฐ์ออกจากริมฝีปากอวบอิ่มนั้นได้ พระโอษฐ์ร้อนค่อยๆ ไล้ริมฝีปากอวบอิ่มของเนื้อนวลไปจนทั่ว พระนาสิกโด่งเป็นสันได้สูดกลิ่นกายสาวจากโฉมงามจนยากจะหักห้ามใจ หากแต่พระองค์ก็หักดิบอารมณ์ที่เริ่มกระเจิดกระเจิงนี้ลงได้
ฟาโรห์เซติค่อยๆ ถอนพระโอษฐ์ออกมาอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะเสียดายพระองค์อยากเพียรเฝ้าจุมพิตเนื้อนวลตลอดทิวาและราตรี พระหัตถ์หนาประคองใบหน้างามที่กำลังหลับสนิท พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรโฉมงามที่เปิดเปลือยความรู้สึกทั้งหมดของพระองค์
“เจ้าจะต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นเนพธีส! เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว” องค์กษัตริย์รับสั่งกับโฉมงาม
ฟาโรห์แห่งอียิปต์กระชับพระกรอันแข็งแกร่งทั้งสองข้างโอบรัดเนื้อนวลด้วยความหวงแหน ให้ร่างงามนั้นอยู่ภายในอ้อมกอดของพระองค์ พระองค์จะเป็นผู้ดูแลและคอยปกป้องโฉมงามให้รอดพ้นจากเภทภัยทั้งสิ้นทั้งปวงด้วยหัวใจของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์
รักแรกพบที่เคยมีคนกล่าวไว้ ทำให้กษัตริย์แห่งอียิปต์เคยมีรับสั่งประกาศก้องว่ามิมีทางเกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน ทว่าในยามนี้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยเพราะต้องมนตราแห่งความรัก
รักแรกพบได้บังเกิดขึ้นกับพระองค์ซึ่งผูกจิตเสน่หาเด็กสาวอายุเพียง 14 ปี ในขณะที่องค์กษัตริย์มีพระชนมพรรษาเข้าปีที่ 25 รักที่ต่างวัย ต่างชนชั้น จะเป็นเช่นไรต่อไปเล่า เมื่อรักหนึ่งเต็มไปด้วยแรงเสน่หาพิศวาสจนล้นทรวง มีเพียงนางผู้เดียวเป็นหนึ่งในดวงใจ หากแต่อีกหนึ่งกลับไร้เดียงสายังมิรู้ว่ารักนั้นเป็นเช่นไร มีเพียงเหล่าทวยเทพเท่านั้นที่ทรงล่วงรู้