ตอนที่ 8 ตีตราจอง/2

2531 คำ
3 เดือนผ่านไป  วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปรวดเร็วเป็นยิ่งนัก ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงดำรงชีพเยี่ยงสามัญชนเป็นเวลากว่า 5 เดือนนับตั้งแต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแทบจะเอาพระชนม์ชีพไม่รอด แต่ด้วยเพราะความอึดทานทนกับพิษบาดแผลยามเมื่อพระองค์ทำศึกสงคราม จึงทำให้สามารถดำรงพระชนม์ชีพมาได้อย่างปาฏิหาริย์ อีกทั้งได้รับการรักษาเยียวยาจากเด็กสาวปริศนา และนั้นทำให้ฟาโรห์เซติผู้ยิ่งใหญ่ผูกจิตเสน่หากับเด็กสาวที่มีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ทว่าโฉมงามเฉลียวฉลาดและซ้ำร้ายยังไร้เดียงสาหากแต่มีความงามเย้ายวนใจเป็นยิ่งนัก ถึงแม้ว่านางจะเยาว์วัยแต่กลับมีความงามเป็นเลิศ ไม่อยากคิดเลยว่าหากนางเจริญวัยกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัว นางจะงดงามมากเพียงใดกันหนอ และนางเองมิเคยล่วงรู้เลยว่าได้กลายเป็นหญิงผู้โชคดีที่สุดในแผ่นดินอียิปต์ เพราะนางคือเจ้าของหัวใจฟาโรห์เซติผู้ยิ่งใหญ่ บุรุษผู้ซึ่งได้ชื่อว่าหากหัวใจอยู่กับหญิงใดแล้ว นางคือหนึ่งเดียวในดวงใจของพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ท่ามกลางสายน้ำไนล์ที่ไหลเอื่อย องค์กษัตริย์ทรงเก็บพวงองุ่นที่ออกผลดกเต็มต้น เพื่อเตรียมนำไปหมักเป็นเหล้าองุ่นชั้นเลิศส่งไปยังพระราชวัง พระองค์ทำงานดั่งเช่นบุรุษชาวอียิปต์ทั่วไป และพยายามทำงานเพื่อให้อยู่ใกล้ๆ โฉมงามตลอดเวลา นางไปไหนพระองค์ไปด้วยแทบจะไม่ให้นางคลาดสายพระเนตรไปได้เลย ในยามนี้เนพธีส กำลังนำเชือกที่ทำจากต้นกกปาปิรัสนำมาเรียงให้เป็นระเบียบ เพื่อนำเชือกดังกล่าวมาทำประโยชน์ในครัวเรือนได้อีกมากมาย พระองค์และเนพธีสใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกันอย่างมีความสุข โดยมีชอร์ตี้คอยดูแลช่วยเหลือทุกอย่างหากต้องการสิ่งใด และจากการที่อยู่ใกล้ชิดกันทุกเมื่อเชื่อวัน ทำให้องค์กษัตริย์ทั้งรักและหวงแหนโฉมงามเป็นยิ่งนัก แต่ก็ทรงหักห้ามพระทัยมิล่วงเกินนวลนางแม้แต่น้อย เฝ้ารอคอยที่จะนำนางกลับไปยังธีปส์เพื่อสถาปนาให้นางเป็นราชินีเคียงคู่พระวรกาย เป็นราชินีซึ่งพระองค์รักยิ่งชีพเช่นเดียวกับแผ่นดินอียิปต์ “สวยไหม!” เสียงหวานเอ่ยกับพระองค์พร้อมชูบางสิ่งบางอย่างในมือของนางให้องค์กษัตริย์ทอดพระเนตร ฟาโรห์หนุ่มผละจากการเก็บพวงองุ่นลงประทับนั่งยองๆ เคียงข้างโฉมงาม พร้อมทอดพระเนตรสิ่งที่อยู่ในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ “มันคือสิ่งใดหรือ ข้าเห็นเจ้านั่งทำอยู่เป็นเวลานาน จะเอาไปทำสิ่งใดได้เล่า” พระองค์ตรัสถามด้วยความสงสัยไม่ว่าจะทรงทอดพระเนตรอย่างไรก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ “แหวน!” เนพธีสบอกพระองค์ พร้อมชูสิ่งที่อยู่ในมือเรียวอีกข้างให้พระองค์ทอดพระเนตร “ส่วนอันนี้คือสร้อย ข้าเอาเชือกเส้นเล็กๆ ที่ทำจากต้นปาปิรัส มาทำเป็นแหวนและสร้อยข้อมือ เดี๋ยวข้าจะไปเก็บหินอะลาบาสเตอร์มาห้อย ข้าถักเป็นกรอบสำหรับนำหินมาประดับเอาไว้ ท่านเห็นแล้วเป็นเช่นไร สวยไหม แหวนกับสร้อยต้นปาปิรัสของข้า ครานี้ข้าก็จะมีเครื่องประดับใส่ติดตัวกลายเป็นราชินีดอกหญ้าอย่างไรเล่า” โฉมตรูพูดพร้อมส่งยิ้มหวานให้กับพระองค์อย่างไร้เดียงสา “ราชินีดอกหญ้า” ฟาโรห์หนุ่มรับสั่งพร้อมแย้มพระโอษฐ์ออกมาเต็มที่ เมื่อทอดพระเนตรโฉมงามตรงพระพักตร์กำลังมีความสุขกับสิ่งที่นางทำ พระองค์ทอดพระเนตรแหวนและสร้อยข้อมือที่ทำจากต้นปาปิรัส และบางสิ่งบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในความคิด ด้วยพระองค์หมายตีตราจองเนพธีสแต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะทรงดึงกริชคู่พระวรกายซึ่งเหน็บอยู่บั้นพระองค์ พร้อมใช้มีดที่อยู่ใกล้ๆ แงะเม็ดทับทิมสีแดงสุกเปล่งปลั่งตรงส่วนหัวของด้ามออกมา “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามิต้องไปแสวงหาหินอะลาบาสเตอร์ที่ใด ข้าเอาทับทิมที่กริชของข้านำไปประดับสร้อยข้อมือให้แก่เจ้า” พระองค์รับสั่งพร้อมดึงสร้อย ที่ทำมาจากต้นกกนำมาทำเป็นเชือกหากแต่นวลนางสามารถนำเชือกมาร้อยกลายเป็นเครื่องประดับส่วนตัวของนางได้ พระหัตถ์จับเม็ดทับทิมสีแดงสุกปลั่งยัดเข้าไปในรูเชือกขนาดเล็กที่สานเป็นรูปร่างรองรับวัสดุที่นำมาประดับ ก่อนจะดึงเชือกทั้งสองด้านร้อยสลับไขว่ซ้ายขวาจนเม็ดทับทิมไม่สามารถหลุดออกมา “เสร็จแล้วสร้อยของเจ้า เป็นสร้อยที่ข้าตั้งใจนำเม็ดทับทิมของข้ามอบให้เจ้าเก็บรักษาไว้” พระองค์ตรัสพร้อมนำสร้อยดังกล่าวสวมลงบนข้อมือเรียวเล็กของนวลนางก่อนจะดึงเชือกทั้งสองข้างผูกไว้จนแน่นพอดีกับข้อมือเล็กๆ นั้น พร้อมทอดพระเนตรโฉมตรูที่มีสร้อยข้อมือที่มีทับทิมสีแดงของพระองค์ “เจ้างามยิ่งนักราชินีดอกหญ้าของข้า” พระองค์ตรัสออกมาเบาๆ โดยที่เจ้าตัวมิทันตั้งใจฟังเพราะมัวแต่มองสร้อยข้อมือของตนเอง “ท่านนำอัญมณีที่อยู่บนกริชมาประดับบนสร้อยข้อมือที่ทำจากเชือกของข้า มันไม่ดีกระมังของสูงค่าเช่นนั้น” เนพธีสเอ่ยแย้งพระองค์พลางก้มลงมองทับทิมสีแดงเม็ดเขื่องประดับอยู่บนสร้อยข้อมือของนาง “ข้าเต็มใจมอบให้กับเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น สิ่งใดที่ข้ารักและหวงแหนสิ่งนั้นจะอยู่คู่กันเสมอ ราชินีดอกหญ้าของข้า” องค์กษัตริย์รับสั่งชัดถ้อยชัดคำเล่นเอาคนฟังสะเทิ้นสะท้านไปเลยทีเดียว ก่อนจะกระทำบางสิ่งบางอย่างอันเป็นสาเหตุให้นางผูกพันกับพระองค์ไปตลอดกาลและทุกชาติภพไป “ถ้าเช่นนั้นข้าขอมอบแหวนที่ทำจากต้นปาปิรัสให้แก่ท่านเช่นกัน สิ่งใดที่ข้ารักย่อมต้องอยู่คู่กันเสมอ ข้าจำคำท่านมา” ประโยคสุดท้าย เนพธีสกล่าวล้อเลียนรับสั่งของพระองค์อย่างไร้เดียงสาแต่หารู้ไม่ว่าคนฟังเอาจริง มือเรียวคว้าพระหัตถ์ซ้ายขององค์กษัตริย์พร้อมสวมแหวนที่ทำจากต้นปาปิรัสลงบนนิ้วพระหัตถ์ และยิ่งไปกว่านั้นนางสวมแหวนปาปิรัสลงบนพระอนามิกา[2]ของพระองค์ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ “ท่านใส่ติดกายอย่าได้ถอดแหวนที่ข้าให้เชียว ส่วนข้าก็จะสวมสร้อยที่มีอัญมณีของท่านติดกายตลอดเวลาเช่นเดียวกัน สัญญากันแล้วนะว่าจะไม่ถอด” โฉมงามเอ่ยคำมั่นสัญญากับพระองค์ พระเนตรสีนิลกาฬสั่นไหวระริก เมื่อก้มลงทอดพระเนตรแหวนปาปิรัสที่สวมอยู่บนนิ้วพระหัตถ์ โฉมงามสวมแหวนแต่งงาน[3]ให้กับพระองค์โดยไม่รู้ตัวและนั้นหมายถึงนางคือคู่ชีวิตของพระองค์นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป “เนพธีส!” ฟาโรห์เซติโผเข้ารวบร่างงามมาไว้ในอ้อมกอดของพระองค์ แรงรักแรงเสน่หาของพระองค์ที่มีต่อนางทำให้พระองค์กอดรัดร่างอวบอิ่มแทบจะกลืนไปเป็นร่างเดียว “ทะ...ท่าน...” โฉมงามตกใจอยู่มิใช่น้อยที่ถูกบุรุษรูปงามกอดรัดตรึงร่างไว้อย่างแนบแน่น “เออ...ท่านกอดข้าแน่นเช่นนี้มีเหตุอันใดอย่างนั้นหรือ” เนพธีสเอ่ยถามเบาๆ “ข้าจะกอดเจ้าเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะมิมีผู้ใดพรากเจ้าไปจากข้าได้เป็นอันขาด” พระองค์รับสั่งกับนวลนาง ทว่าคนฟังกลับตกใจแทบสิ้นสติ “ท่านว่าอะไรนะ!” เนพธีสเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ องค์กษัตริย์คลายพระกรจากที่รัดแน่นเปลี่ยนมาเป็นโอบกอดร่างแน่งน้อยนั้นไว้หลวมๆ พระเนตรสีนิลกาฬรับสั่งอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง “ข้าจะพาเจ้ากลับธีปส์ และจะครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป บัดนี้เจ้าและข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ข้าได้สวมสร้อยให้แก่เจ้าและเจ้าสวมแหวนให้แก่ข้า เราสองคือคู่ชีวิตนับแต่บัดนี้” พระองค์รับสั่งพร้อมยกมือเรียวบางของโฉมงามขึ้นรับพระโอษฐ์ร้อนบรรจงประทับจุมพิตลงบนมือเรียวสวย หากแต่โฉมตรูกลับยิ่งตกใจมากเป็นทวีคูณเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้า...ข้า...ข้าไปกับท่านไม่ได้...ไปไม่ได้” เนพธีสเอ่ยบอกพระองค์เป็นเหตุให้ฟาโรห์หนุ่มประทับนิ่งงันไปเลยทีเดียว ด้วยถูกนวลนางปฏิเสธ “ทำไม! เจ้าจึงปฏิเสธไม่ไปใช้ชีวิตร่วมกันกับข้า เจ้าและข้าต่างแต่งงานกันต่อเบื้องพักตร์เทพเจ้าและเทพีแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ ที่ไหลพาดผ่านอยู่ในขณะนี้ เพราะเหตุใดเล่า!” พระองค์รับสั่งด้วยความรู้สึกเสียพระทัยเป็นยิ่งนักพร้อมรับสั่งสำทับตามติดมา “หัวใจข้านั้นรักเจ้ามากมายยิ่งนัก ประหนึ่งรักแผ่นดินอียิปต์ของข้า เจ้าคงมิล่วงรู้ว่าการที่สวมแหวนให้แก่ข้านั่น หมายถึงคู่ชีวิตและข้าจริงจังเป็นยิ่งนัก” “ข้า...ข้ามิล่วงรู้ว่าการกระทำดังกล่าว ทำให้ท่านต้องใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ต้องขออภัยท่านเป็นยิ่งนัก” โฉมงามบอกกับพระองค์ตามความเป็นจริง และนั้นเป็นคำตอบที่ทำให้หัวใจของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เจ็บปวดแปลบขึ้นมาทันที “เจ้ามิรักข้าหรือไร” พระองค์รับสั่งถามพร้อมรุกประชิดเนื้อนวลเร็วพลัน พระหัตถ์รวบเอวบางจนแนบชิดเรือนกายของพระองค์ “ข้า...เออ...ข้า...มิรู้ว่าจะตอบท่านเช่นไรจึงจะถูก” เนพธีสเอ่ยตอบพร้อมก้มหน้างุดหลบสายพระเนตรคมดุหากแต่หวานซึ้งที่กำลังจ้องนางอย่างไม่ละสายตา “หากแม้นข้าถามว่าจะถอดสร้อยที่ข้ามอบให้หรือไม่ เจ้าจะตอบเช่นไร” สุระเสียงรับสั่งเบาๆ พร้อมแนบพระพักตร์ไปกับใบหน้าเรียวสวยของโฉมงามเพื่อฟังคำตอบชัดๆ “ไม่...ข้าจะไม่ทำเด็ดขาด เป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่ถอด จะใส่ติดกายของข้าจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต” สิ้นเสียงหวานที่เอ่ยตอบกลับมา ฟาโรห์แห่งอียิปต์แย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างดีพระทัย ด้วยทรงล่วงรู้ว่าเหตุที่นางตอบกลับมาคราแรกเพราะยังไร้เดียงสา มิล่วงรู้ว่าการกระทำดังกล่าวคือการแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันกับพระองค์ “เทพเจ้าทรงลิขิตแล้ว เจ้าคือยอดดวงใจของข้า หาไม่แล้วเจ้าจะไม่สวมแหวนให้แก่ข้าอย่างแน่นอน” องค์กษัตริย์รับสั่งพร้อมแนบพระโอษฐ์ลงบนแก้มเปล่งปลั่งของนางสูดกลิ่นกายสาวด้วยความชื่นใจ “ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวเช่นไรในตอนนี้ ก็จะถือว่าเจ้าสับสนด้วยเพราะยังเยาว์ แต่สำหรับข้าแล้วเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างของข้า เป็นรักแรก รักเดียว และเป็นรักนิรันดรของข้าไปตลอดกาล” โฉมงามยกแขนขึ้นกอดรัดพระวรกายขององค์กษัตริย์ด้วยความอบอุ่นใจเป็นยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเมื่ออยู่ในอ้อมกอดกว้างของบุรุษผู้ที่เพียรเฝ้าบอกเสมอว่าเป็นสามี แม้ว่าจะรู้สึกสับสนมากมายยิ่งนักในขณะนี้ แต่ใจของนางมิได้ปฏิเสธบุรุษตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก ทว่าดวงตากลมโตสีดำสนิทฉายแววที่เต็มไปด้วยความสุขได้เพียงครู่กลับหมองหม่นจนดูพิลึกผิดแปลกเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบริมหูของสาวเจ้า “ข้าจะต้องรีบจัดเตรียมเรื่องของเจ้าให้เรียบร้อย อีกทั้งมีภาระอันยิ่งใหญ่ที่แบกรับไว้ต้องกลับไปรับผิดชอบตามเดิม ข้ามิต้องการสิ่งใดอีกแล้วในชีวิตนี้ นอกจากเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น และเมื่อยามนั้นมาถึงมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องบอกให้เจ้าล่วงรู้เกี่ยวกับตัวข้า เพื่อยืนยันว่าข้ามิมีสิ่งใดปิดบัง และเมื่อเจ้าล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ขออย่าได้โกรธเคืองข้าเลยจะได้หรือไม่” พระองค์รับสั่งสิ่งที่เก็บไว้ในพระทัยให้สาวเจ้าได้รับรู้ เนพธีส ยืนนิ่งฟังองค์กษัตริย์รับสั่งถึงการใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกัน น้ำตาแห่งความดีใจคลอเบ้าเมื่อนางได้พบกับบุรุษที่มีใจรักแท้ให้แก่นางยิ่งนัก ในความดีใจอันเต็มตื้นภายในกลับปวดร้าวอย่างแสนสาหัสด้วยเพราะมีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบไม่ยิ่งหย่อนแพ้กัน เหนือไปเสียยิ่งกว่านั้นการมีคนรักถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเนพธีสเลยทีเดียว ทว่าบุรุษผู้ที่สวมกอดในยามนี้ทำให้ตัดสินใจเลือกได้แล้วระหว่างหน้าที่กับคนรัก และนางก็ตัดสินใจเลือกฟาโรห์แห่งอียิปต์ “ข้าให้สัญญาว่าจะไม่โกรธเคืองท่านแม้แต่น้อย” โฉมงามตอบพระองค์กลับไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวคนรัก ฟาโรห์แห่งอียิปต์แย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยทรงดีพระทัยเป็นยิ่งนัก คำตอบที่ได้รับจากเนพธีสเปรียบประดุจน้ำทิพย์ชโลมใจ นางคือทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์และเหนือกว่าสิ่งล้ำค่าทั้งสิ้นทั้งปวง นางคือราชินีตัวจริงของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น [1] ชิทกาวน์ “Sheath gown” คือการใช้ผ้าชิ้นเดียว แต่มีทรงแคบคล้ายปลอก เริ่มตั้งแต่ใต้อกยาวถึงข้อเท้า มีสายสะพายเพื่อดึงไว้ที่ไหล่ทั้ง 2 ข้าง ส่วนเครื่องแต่งกายผู้ชายในสมัยอียิปต์โบราณ จะนุ่งผ้าสั้นๆ ใช้ผ้ามาพันรอบสะโพกคาดเอว ทิ้งชายไว้ข้างหน้า ไม่สวมเสื้อเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับคนทำงานเรียกว่า ลอยน์ โคลท “Loin cloth”หรือไทแองกูล่า แอพพร่อน “Triangular apron” มีลักษณะคล้ายผ้าขาวม้าหรือผ้าเตี่ยว [2] พระอนามิกา แปลว่านิ้วนาง 17 แหวนแต่งงานนั้นเกิดขึ้นที่ทะเลทรายในแถบแอฟริกาเหนือตลอดจนไปถึงลุ่มน้ำอันอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมอียิปต์โบราณ มีความเชื่อว่าแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายนี้จะนำพาโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์มาสู่ประชาชนของฟาโรห์ โดยว่ากันว่าแหวนแต่งงานวงแรกในยุคโบราณได้ถือกำเนิดมาจากต้นกก “ปาปิรัส” ที่เติบโตอยู่บริเวณริมแม่น้ำแห่งนี้นั่นเอง แหวนและสร้อยข้อมือที่มีลักษณะเป็นวงกลมได้ถูกถักทอขึ้นจากต้นกก สำหรับชาวอียิปต์แล้วมันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์ เช่นเดียวกับวัฒนธรรมโบราณของอาณาจักรอื่นๆ เปรียบดั่งวงจรชีวิตซึ่งไม่มีเริ่มต้นและไม่มีจุดจบและจะวนกลับมาหาจุดเริ่มต้นเสมอ ด้วยรูปทรงของแหวนแต่งงานในยุคนั้นเชื่อกันว่า พื้นที่เป็นรูตรงกลางไม่ใช่เป็นเพียงพื้นที่โล่งๆที่ไร้ความหมายแต่เปรียบได้ดั่งสัญลักษณ์สำคัญของประตูและทาง ผ่าน ที่จะนำพาเราไปสู่เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ในอนาคตทั้งที่เราไม่อาจหยั่งรู้ได้เลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม