บทที่ 9
เป็นนางร้ายสู้ชีวิต
กลิ่นต้นสน.. อ่อนโชยแตะจมูก และ อึดอัด..
ความรู้สึกอึดอัดบนตัวค่อยๆปลุกร่างบางบนเตียงให้ตื่น เปลือกตาเปิดออกช้าๆ ต้องแสงแดดยามเช้าทำให้ต้องหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ดวงตากลมโตปรือมองเพดานไม้สูงแกะสลักแปลกตา ศีรษะเล็กเอียงคอมองด้วยความสงสัยไม่ใช่ที่ห้องนางนี่
ป๋ายอวี้ชิงที่กำลังสับสนทำท่าจะลุกขึ้นแต่กลับต้องชะงักลงเมื่อร่างกายของนางไม่สามารถลุกขึ้นได้ตามใจ เมื่อมองไปบนตัวของนางพบลำแขนหนาของใครบางคนพาดอยู่ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เหตุการณ์สุดเร่าร้อนเมื่อคืนวานกำลังฉายชัดเจนขึ้นมาเป็นฉากๆ
“!!!!”
กรี๊ดๆๆๆ ภายในใจของนางกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง มือบางกำหมัดจนแน่นในขณะที่เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เมื่อคืนนางกับท่านพี่…อะจึกอะจึ้ยกันแล้ววว! นัยน์ตากลมโตเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจเลื่อนมองคนข้างกาย พบใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาดนอนหลับตาพริ้ม
นางหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหลับตาแน่นพลางส่งเสียงกรี้ดต่ำในลำคอเพราะกลัวว่าเสียงดังไปแล้วหลัวที่นอนหล่อๆ อยู่ข้างๆ จะตื่น
สายตาเลื่อนกลับมามองยังแขนที่พาดไว้บนตัวนาง ท่อนแขนขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดนูนกร้าวใจ เนื้อขนัดแน่นกระชับเป็นกล้ามสวยจนถึงหัวไหล่หนา คนอะไรเพอร์เฟคยันรูขุมขัน แอร๊ย!
นิ้วเรียวไล่ลูบเส้นเนื้อที่โผล่พ้นขึ้นมาก่อนจะก้มมองท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นกร้ามหน้าท้องหกลูกเด่นชัด อกแกร่งก็แน่นหนาแต่ไม่มากจนเกินไป..
ฟึบ
“ว้าย!”
“อย่าคิดลวนลามข้าสตรีลามก”
ป๋ายอวี้ชิงร้องอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อข้อมือเล็กถูกกระชากออกอย่างแรง จู่ๆคนตัวสูงก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาคล่อมนางเอาไว้ พร้อมกับกดข้อมือบางลงนาบไปกับเตียง สายตาดุร้ายราวกับสัตว์ป่าจ้องมองมาที่นางเขม่ง ใบหน้าหวานตกใจพลางเหยเกเมื่อแรงกดที่ข้อมือมันแรงจนทำให้นางเจ็บ
แม้แต่คนกระชากอย่างเขายังรู้สึกตกใจ เขาเพียงแค่ใส่แรงนิดหน่อยแต่ตัวนางกลับเบาติดมือเขามาแล้ว หลังจากโดนจิ่งเหอทำร้ายจนสาหัสในตอนนั้นนางสูญเสียวรยุทธ์ครึ่งหนึ่งไปด้วยงั้นหรือ
จางเฉิงอี้มีความแปลกใจ แต่กลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาแล้วค่อยๆ ผ่อนแรงที่จบตรงข้อมือขาวลง
“หลัวใจร้าย จับนิดจับหน่อยก็ไม่ได้ทำหวงตัว”
คนตัวเล็กเบ้ปากย่นจมูกขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อคืนก็เป็นตัวเขาเองที่จับนางไปทั่วทั้งตัว ตอนนี้นางอยากจับบ้างกลับไม่ให้
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวข้าตามอำเภอใจ”
“ไม่แตะตัวก็ได้ แตะอย่างอื่นได้หรือไม่”
นัยน์ตาหวานเป็นประกายใบหน้างามกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มมองคนที่กำลังคล่อมนางอยู่ข้างบน ในตอนนั้นเองที่นางอยากจะกลืนคำพูดของตัวเองเมื่อกี้ลงคอ เมื่อสายตาไม่รักดีดันหลุบต่ำมองยังส่วนที่นูนออกมาจากใต้เนื้อผ้า ทำเอาคนที่คิดจะแกล้งกลายเป็นโดนแกล้งเสียเอง แก้มขาวๆเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“โอ๊ะ นะ..นั่น!” ป๋ายอวี้ชิงตาเหลือกกว้างร้องอุทานเสียงหลง ใบหน้าขาวที่ก้มลงในตอนแรกรีบดีดหน้าตัวเองกลับขึ้นมาประจันหน้าเจ้าของสิ่งปูดนูนที่กำลังปั้นหน้านิ่งทันที
คุณพระ มันใหญ่มาก!
ดวงตาคมกริบเห็นนางมีสีหน้าเหลอหลาพลางใบหน้าแดงก่ำจึงก้มมองตามสิ่งที่นางจ้องมาเมื่อสักครู่
“นะ นี่เจ้า!”
ร่างหนารีบดีดตัวลุกขึ้นมายืนข้างเตียงอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าตัวตนของเขากำลังแข็งตัว บัดซบ มันเป็นปกติของร่างกายในยามเช้า!
“อู้ว.. เอ้ย! ท่านพี่สิ่งนั้นมันกำลังจ้องหน้าข้า!”
เสียงหวานเผลออ้าปากค้างก่อนจะรู้สึกตัวว่าจ้องมองมันอยู่จึงอุทานเสียงแข็ง พลางชี้ไปตรงจุดที่เด้งชี้มายังนาง ผ้าคลุมที่ควรจะอยู่บนร่างกายแกร่งกลับตกกองอยู่บนพื้น ในขณะที่คนตัวสูงที่โดดออกจากเตียงไปเมื่อสักครู่ไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายอยู่เลย
ตัวตนใหญ่ยาวกำลังแข็งขื่อจ่อหน้าทักทายนาง!
“!!!!”
จางเฉิงอี้สติแตกไม่เคยอับอายถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต นี่มันคือความอัปยศ! มือหยาบรีบก้มคว้าชุดขึ้นมาสวมใส่ ขณะมองสตรีบนเตียงที่ยังคงเบิกตากว้างมองอยู่ไม่ยอมหลบสายตาแม้จะเห็นภาพที่สตรีในห้องหอมิควรมอง
นางช่างไร้ยางอายเสียจริง!
“กรี๊ด!”
ตัวของนางลอยลิ้วขึ้นเหนือพื้นด้วยแรงกระชากมหาศาล ป๋ายอวี้ชิงร้องเสียงหลงด้วยความตกใจพลางเบ้หน้าด้วยความเจ็บ แขนนางช้ำไปหมดแล้ว! ขณะที่ถูกตัวร้ายของนางอุ้มพาดขึ้นบ่าแกร่ง อารมณ์กรุ่นโกรธของเขาทำให้นางใจโหวง
“ทะ ท่านพี่จะพาข้าไปไหนหรือเจ้าคะ!”
“...”
“ทะ ท่านพี่! ข้าผิดไปแล้วข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ข้าจะลืมมันด๋วนจี๋เลยเจ้าค่ะ”
“เงียบปาก”
“!”
ชัทอั้พโดยพลัน
คนตัวสูงมีสีหน้าบึ้งตึงแต่ใบหูกลับกำลังแดงก่ำ พยายามข่มความอัปยศอดสู่ที่ถูกสตรีหน้าไม่อายจับจ้องเรือนร่างอย่างหื่นกระหายเช่นนั้น! ร่างบางดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่ากว้าง แต่ไม่กล้าที่จะส่งเสียงเมื่อหลัวของนางทำเสียงขู่เสียน่ากลัว
ขณะที่ฝ่ามือหนารวบรัดไว้ที่ขาอ่อนทำให้นางไม่สามารถหลุดออกมาได้ ตั้งใจจะโยนนางออกไปให้พ้นจากตำหนัก เขาไม่ควรหลวมตัวไปสัมผัสนางเมื่อคืน นางคงจงใจใช้มารยาสตรีล่อลวงเขาขณะที่เขามีสติไม่ครบถ้วน!
อยู่ๆท่านพี่ของนางก็หยุดชะงักลง ใบหน้าหล่อเหลาหันมองไปยังบานประตู หูที่ไวต่อเสียงได้ยินฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ และมาด้วยความรวดเร็วเสียด้วย
“หึ ดูเหมือนจะเป็นดั่งที่เจ้าปรารถนาป๋ายอวี้ชิง”
ร่างบางที่ห้อยต่องแต่งอยู่ขมวดคิ้ว เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน! ไม่นานสิ่งที่นางสงสัยก็ได้คำตอบ เมื่อได้ยินเสียงเคาะดังที่หน้าประตูเรือน
ปึง! ปึง!
“เฉิงอี้ องค์หญิงป๋ายอยู่ที่ตำหนักเจ้าหรือไม่”
เสียงทุ้มต่ำจากด้านหลังตะโกนเข้ามา จางเฉิงอี้กระตุกยิ้มเย็นก่อนจะเดินเอื้อมมือไปเปิดประตูทั้งที่ยังคงอุ้มนางพาดบ่าเอาไว้
ประตูถูกเปิดออก เบื้องหน้าปรากฏร่างของชายหนุ่มผมดำเข้ม เครื่องหน้าองอาจมองสบายตาอยู่ในที ไท่จื่อลู่จิ่งเหอสวมชุดขาวลิ่มทองลายมังกรข้างกายเขานั้นมีอู่ชุนยืนตัวสั่นก้มหน้าอยู่ข้างกายด้วยเช่นกัน
ทั้งสองมองภาพล่อแหลมตรงหน้าด้วยความตกใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อสังเกตเห็นว่าสตรีที่ถูกอุ้มพาดบ่าอยู่นั้นอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย ชายหนุ่มเผยใบหน้าแดงซ่านและมีโทสะในเวลาเดียวกัน ดวงตาเรียวแอบลอบมองภายในเห็นว่าข้างในนั้นเละเทะเพียงใดก็รู้พอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้น
นัยน์ตาดุจเหยี่ยวเบือนกลับมาจ้องใบหน้าเจ้าของดวงตาสีอำพันเขม่ง เมื่อคืนนี้เขาได้รับแจ้งจากสาวใช้ในตำหนักองค์หญิงป๋ายมาว่านางหายตัวไป จึงเร่งการตรวค้นหาตั้งแต่เช้าตรู่จนได้พบเข้ากับบ่าวใช้ของนางที่หน้าสำนักสวรรค์ เมื่อสอบเค้นอยู่นานจึงได้ความว่าองค์หญิงป๋ายน่าจะอยู่ที่นี่
ที่ตำหนักฝั่งซ้ายประมุขจางเฉิงอี้ เขาไม่อยากปักใจเชื่อจึงเดินทางมาดูด้วยตัวเอง ก่อนจะพบว่านางอยู่ที่นี่จริงๆ!
จางเฉิงอี้กระตุกยิ้มอ่อน เมื่อคนที่เร่งบุกรุกเข้ามาในยามเช้าไม่ยอมพูดสิ่งใดสักคำแต่กลับทำหน้าขึงขัง คงตกใจและเสียหน้ามากสิท่าที่สตรีที่คอยเทียวหาตนอยู่เสมอนั้นเปลี่ยนใจมาให้เขา หึ
ทางด้านป๋ายอวี้ชิงเริ่มเมื่อยและเจ็บที่ท้อง พลางกล่าวทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
“ทะ ท่านพี่ใครมาหรือเจ้าคะ”
“สามีเก่าเจ้า”
“หยาบคายม๊าก! สามีเก่าข้าผู้ใดกัน ข้าไม่เคยมีสามีนะเจ้าคะ!” นางร้ายผู้นี้ยังโสดซิงนางมั่นใจ!
“จะไม่มีได้อย่างไรก็ลู่จิ่งเหอของเจ้าอย่างไรเล่า”
“!” พ่อพระเอกมาทำอะไรถึงนี่ เขาควรมีฉากกับนางเอกอยู่ไม่ใช่หรือไงตอนนี้
“ถึงขนาดมารับถึงที่ข้าจะส่งคืนให้แล้วกัน” จางเฉิงอี้พูดต่อ เขาทำราวกับไม่เห็นนางในสายตา ทำเอาร่างบางที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบ้ปากจะร้องไห้
คำพูดนั้นยิ่งทำให้ลู่จิ่งเหอมีโทสะพุ่งสูงเทียนฟ้า มือหนากำกระบี่ข้างกายตัวเองไว้แน่น หากไม่ติดว่าชิงเอ๋อร์อยู่ในอ้อมกอดของชายต่างมารดาผู้นี้ เขาคงได้สอนกระบี่มันสักสองสามกระบวนท่า
ทางฝั่งจางเฉิงอี้พูดจบก็ทำท่าจะโยนนางออกไปด้านหลัง ทำเอานางตกใจคว้าคอคนตัวสูงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ขาเรียวเกี่ยวรัดลำตัวหนาเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาโยนนางออกไปได้ดั่งใจ จางเฉิงอี้ขมวดคิ้วมุ่น พยายามแกะสตรีที่ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนยึดคอและลำตัวเขาเอาไว้เสียแน่น
“กรี้ด ไม่เอาไม่ไป!”
ป๋ายอวี้ชิงเหลียวหลังกลับไปมองพร้อมส่ายหัวไม่ยอม นึกถึงฟ้าที่ผ่าเข้าใส่ตัวนางโดยคนผู้นี้แล้ว นางจะไม่ไปหาคนที่จะฆ่านางหรอก ไม่เอาเด็ดขาดอย่างไรก็ไม่ยอม!
“ป๋ายอวี้ชิง เจ้า! อั้ก!” มือเล็กตะกายเกี่ยวรัดคอหนาไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่เรียวขาพาดเกี่ยวกันไว้ทั้งสองข้า เป็นท่าล๊อคโดยสมบูรณ์ ต่อให้ท่านพี่จะสะบัดตัวปลิวนางก็ไม่หลุดหรอก ชิส์!
ทางด้านลู่จิ่งเหอเริ่มหน้าเสีย มองสตรีเรือนร่างงดงามตรงหน้าด้วยแววตายากจะคาดเดา ได้ยินข่าวว่านางฟื้นได้สติ เขานั้นโล่งใจเป็นอย่างมาก อันที่จริงตัวเขาเองรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่กระทำรุนแรงต่อนาง
แต่ความคิดเขาก็เปลี่ยนไปทันทีที่ได้รับราชโองการการเลื่อนเวลาแต่งตั้งตำแหน่งไท่จื่อเฟยจากเสด็จพ่อภายในวันนั้น นี่คงเป็นแผนการของนางอีกเป็นแน่ เขาไม่น่าคิดเห็นใจสงสารสตรีชั่วช้าน่ารังเกียจเช่นนาง! เทียวหาคอยรบกวนเขาอย่างหน้าไม่อายไม่พอ ยังทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องจนบาดเจ็บ จะไม่ให้เขาสะอิดสะเอียนสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร!
จนกระทั่งตอนที่นางปรากฏตัวในห้องโถง นางกลับดูแปลกตาไป ไม่คอยส่งสายตาหาเขาเช่นเดิม กลับไปเล่นหูเล่นตากับบุรุษอื่น ไม่เพียงเท่านั้นนางยังขอยกเลิกการหมั้นหมายและขออภิเษกกับชายอื่นอย่างประมุขจางเฉิงอี้แทนเขา!
ในคราแรกเขาคงคิดว่านางคงกำลังน้อยใจ อีกไม่กี่วันคงมาขอร้องเสด็จพ่อให้อภิเษกเขาดังเดิม แต่เสด็จพ่อต้องการให้มาพูดคุยกับนางก่อนเขาจึงต้องตอบรับ เมื่อออกตามนางไปจึงได้เห็นว่านางกำลังพูดคุยกับจางเฉิงอี้ เขาจึงรอ แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งนางกลับคุกเข่าขอชายผู้นั้นแต่งงาน นั่นนางเสียสติไปแล้วหรือ!
เขาได้ยินจากหมอหลวงหยงเล่อมาว่านางสติเลาะเลือนจากเหตุการณ์สะเทือนใจ เขาจึงคิดที่จะอ่อนข้อต่อนางลงบ้าง
…แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว นางสติเลาะเลือนจริง หรือกำลังประชดประชันตัวเขาอยู่กันแน่
“ม่ายยย ท่านพี่อย่าโยนข้านะ!!” เสียงหวานตะโกนขณะเอื้อมมือหยุมหัวสุดที่รักเอาไว้มั่น
“สตรีร้ายกาจ เจ้าอย่าจิกหัวข้าเส้!!”
“อะ องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ อะ อะ อย่าทำร้ายท่านประมุขพ่ะย่ะค่ะะ!”
อู่ชุนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาห้ามปรามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลู่จิ่งเหอปิดเปลือกตาพลางถอนหายใจยาวพรืด ก่อนจะพูดคำที่ทำให้พวกเขาทั้งสามคนชะงักไปพร้อมกัน
“ส่งนางมาให้ข้าเฉิงอี้” ลู่จิ่งเหอกล่าวเสียงราบเรียบแต่ก็ดังพอที่ให้พวกเขาได้ยิน
“!”
“!”
“!”
ว๊อท! เมื่อตะกี้พ่อพระเอกพูดว่าอะไรนะคะ ส่งนางให้กับเขางั้นหรือ.. พูดสิ่งใดได้น่าแปลกจริง เขาควรเดินออกไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอในเมื่อเขารังเกียจนางร้ายอย่างนางยิ่งกว่าอะไรดี!
ลู่จิ่งเหอยื่นมือสองข้างไปข้างหน้าก่อนจะกล่าวอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ป๋ายอวี้ชิงเลิกเล่นเป็นเด็กเสียที มีสิ่งใดก็พูดตรงๆ กับข้าอย่าได้เง้างอนจนทำเรื่องน่าอายให้ถูกพูดถึงกันทั่วทั้งเมืองเช่นนี้”
อะไรของเขากัน.. นางไม่ได้เล่นเสียหน่อย นางไม่คิดจะกลับไปหาเขาจริงๆ ต่างหากละเว้ย ไอพ่อพระเอกนี่!
“เอาล่ะมาหาข้าได้แล้ว”
“ท่านพี่..”
แขนเล็กผละออกจากรอบคอหนา ดวงตากลมโตเหลือบมองคนที่อุ้มนางอยู่พลางส่งสายตาออดอ้อน ..อย่าส่งข้าให้เขานะท่านพี่ ม่ายอาวววว
ชึบ.. ฝ่ามือหนาจับเอวคอดทั้งสองข้างก่อนจะดึงเจ้าตัวที่ติดหนึบอยู่บนตัวเขาออกได้อย่างง่ายดาย ร่างเล็กห้อยโตงเตงในท่าถูกอุ้มเหมือนเด็ก
“รับไป” เสียงทุ้มกล่าวด้วยความเบื่อหน่าย
เอ้ะ?
ริมฝีปากบางเผลอเผยอออกด้วยความอึ้ง มองไปด้านหลังก็พบว่าพ่อพระเอกกำลังแบมือรอรับตัวนางอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่ท่านพี่กำลังยื่นตัวนางส่งให้ราวกับส่งลูกบอล นางไม่ใช่สิ่งของนะเว้ย!
ตอนนั้นเองที่จางเฉิงอี้ไม่ทันระวังตัว จู่ๆ นางก็เอื้อมคว้าเข้าที่ไหล่แกร่งก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาหาเขาเต็มกำลัง ส่งผลให้หัวของนางกระแทกเข้าที่หน้าเขาอย่างจัง!
“โอ้ย!”
ปึก!
จางเฉิงอี้เสียหลักล้มลงกับพื้น ร่างบางร่วงหล่นทับอยู่บนกายหนาเสื้อคลุมแหวกออกจนเห็นมัดกล้ามกร้าวใจ ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่อยู่ในที่นี้ นางกระชากเข้าที่เสื้อคลุมสีดำสนิทขึ้นมาพาเอาร่างสูงลอยตามติดแรงดึง
“ท่านพี่อย่าทำตัวดื้อเช่นนี้สิเจ้าคะ ข้าจะอยู่กับท่านห้ามโยนข้าทิ้งเด็ดขาด!!”
ป๋ายอวี้ชิงกล่าวเสียงแข็งระคนโกรธเกรี้ยว ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนแก้มป่อง ดวงตากลมโตมองเขาอย่างคาดโทษ
"!"
"เข้าใจหรือไม่เจ้าคะ" จางเฉิงอี้นิ่งค้างพูดสิ่งใดไม่ออกก่อนจะยอมพยักหน้าตามอย่างว่าง่ายปนงุนงงและสับสนในตัวเอง
คนตัวเล็กยกยิ้มดีใจพลางดึงเขาเข้ามากอดแน่น หลัวของนางยอมนางด้วยล่ะ กรี๊ดสิคะ!