บทที่ 8

1976 คำ
[Prickthai’s Talk] ตึก! ตึก! ตึก! “เจ๊พริก หนุ่มเมืองของเจ๊มาร้านแล้ว >_ขุนเมือง’ หรือเมืองเป็นคนแรกเหมือนทุกที “ฮัลโหลลล วันนี้มาทำงานสาย ระวังถูกตัดเงินเดือนนะจ๊ะ” คำทักทายซึ่งฟังดูแล้วปัญญาอ่อนถูกพ่นออกไปเหมือนๆ ทุกที ทั้งที่จริงแล้วฉันน่ะ ไม่ชอบตัวเองเวลาต้องพูดจาจีบปากจีบคอแบบนี้เลยสักนิด “อืม” วันนี้เขาก็ยังพูดน้อย ตอบน้อย แถมยังไม่สนใจฉันเหมือนทุกที “นี่ๆ วันนี้ฉันไปต่อลายที่หน้าอกมาแหละ เมืองเองก็สัก ฉันว่าจะมาปรึกษาเมืองหน่อย พอจะมีเวลามั้ยจ๊ะ?” “หิวข้าว” “...” “อยากอาบน้ำ” ให้ตายสิ! ฉันไม่เคยคุยกับผู้ชายคนนี้รู้เรื่องเลยสักครั้ง แต่เพราะว่าคุยกันไม่รู้เรื่องนี่แหละ มันเลยกลายเป็นเสน่ห์แบบแปลกๆ ที่ทำให้ฉันหลงรักเขาแบบนี้ “คุณไมล์ ให้เด็กเตรียมอาหารสำหรับพนักงานไว้แล้ว ถ้าเมืองหิวก็ไปกินก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อสิจ๊ะ” “...” “เหรอ?” “ชะ ใช่จ้า ^O^” เพราะเขาเป็นคนพูดน้อย ตอบน้อย ทำให้เรื่องที่อยากชวนคุยมันกระเด็นหลุดจากหัวเสียดื้อๆ เพราะแบบนั้นฉันจึงต้องแสร้งพูดจีบปากจีบคอ เป็นฝ่ายหาเรื่องชวนเขาคุยอยู่ตลอด แต่ฉันกลับไม่เคยรู้สึกเบื่อที่ ต้องทำแบบนี้ทุกวัน มีบ้างบางครั้งที่แอบคิดว่าอยากจะคุยกับเขาด้วยประโยคยาวๆ คุยกันรู้เรื่อง... สักครั้ง “พริกไทย” เสียงเข้มของเมืองที่ขานชื่อฉันเป็นครั้งแรก พานให้หัวใจวูบไหวไปตามน้ำคำ ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่เกือบสามปี นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขายอมเรียกชื่อฉันแบบนี้ “ว่าไงจ๊ะเมือง?” “ออกไป” “…” “จะเปลี่ยนเสื้อ” โธ่! อะไรกันละ นึกว่าจะพูดอกไรเสียอีก TTOTT “โอเคๆ ไปก็ได้ แล้วอย่าลืมไปกินข้าวหลังร้านด้วยละ…” เสียงของฉันอ่อนลงในช่วงท้ายประโยค เมื่อผู้ชายเบื้องหน้านิ่งเงียบไป แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจมาทางฉันเลยสักนิด เพราะที่เขาสนใจอยู่ในตอนนี้จนฉันรู้สึกอิจฉาน่ะ มันคือซิปโป้สีเงินวาวในมือต่างหาก ทำไมเขาถึงทำสายตาเศร้าแบบนั้นล่ะ... [ Chernim’s Talk ] [นี่เฌอ คิดจะไม่เล่าจริงๆ น่ะเหรอ ว่าผู้ชายที่เข้ามาเจาะแจะกับเธอในร้านอาหารเป็นใคร?] “นี่เจ๊ ถามจังเลยนะ ขนาดแยกย้ายกันแล้วนะเนี่ย” ฉันบ่นอุบเอียงคอเล็กหน่อยหนีบโทรศัพท์มือถือ พลางไขกุญแจเข้าห้องตามความเคยชิน [แหมก็คนมนอยากรู้นี้ เดี๋ยวนี้ รอบๆ ตัวเธอมีแต่ผู้ชายเข้าหาทั้งที่เธอเองก็มีแฟนอยู่แล้ว มันน่าอิจฉานี่!] น้ำเสียงแหลมปี๊ดออกแนวตัดพ้อ ทำฉันอดขำเบาๆ ไม่ได้ เพราะอย่างที่รู้กัน เจ๊แกะน่ะ ถึงจะหน้าตาดูเหมือนสาววัยรุ่นต้นๆ แต่ปัจจุบันเธอมีอายุสามสิบแล้วล่ะ “ที่เจ๊ถาม เพราะเจ๊อยากรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า?” ฉันจงใจแซว [เปล่าย่ะ ที่ถามน่ะเพราะว่าฉันไม่ใช่เหรอ ที่เข้าไปช่วยเธอตอนถูกผู้ชายคนนั้นตื้อน่ะ!] มันก็จริงอย่างที่เจ๊บอกอีกนั่นแหละ เหตุการณ์ในร้านอาหารตอนนั้น หากไม่ได้เจ๊ที่เพิ่งกลับเข้ามาหลังจากไปกดเงิน ฉันในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดตอบอะไรเม้าส์ไปเหมือนกัน แล้วมันก็เหมือนเคยๆ ที่ฉันไม่สามารถทนต่อลูกตื้อของเจ๊แกะได้ จึงต้องตอบในสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปในที่สุด “ผู้ชายคนนั้นชื่อเม้าส์” [หมอนั่นเกี่ยวข้องกับเธอยังไง?] “หมอนั่นนะเหรอ...” พอถูกยิงคำถามออกมาตรงๆ แบบนั้น คำพูดก็คล้ายจะหายกลับเข้าไปในลำคอตามเดิม กลับกันในหัวฉันนี่สิ ดันผุดคำพูดในอดีตขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ “มาหาแต่เช้าเลย มีอะไรหรือเปล่า?” “เม้าส์... คือว่าฉันกับเมืองตอนนี้น่ะ เรา...” [เฌอ! ยัยบ้า เล่าต่อสิยะ!] ฉันสะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงเล็กแหลมของเจ๊ แว่วดันเข้ามาในภวังค์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบ่นอีกมากมาย [พูดให้อยากรู้แล้วเงียบไปแบบนี้ มันน่าจิกหัวตบเสียจริง ฮึม!] “จะ ใจเย็นๆ สิเจ๊... ฉันแค่กำลังเก็บของน่ะ” สุดท้ายฉันก็โกหกออกไป “เม้าส์น่ะ เป็นคนรู้จักอีกที หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทกับเมือง ที่ตามฉันมาก็เพราะจะพูดเรื่องเมืองนั่นแหละ” [...] “หมอนั่นคงอยากให้ฉันกลับไปคุยกับเมืองเหมือนเมื่อก่อนละมั้ง?” [แล้วทำไม ไม่ลองคุยดีๆ กับหมอนั่นดูละ เมืองอะไรนั่นน่ะ?] “...” กลับไปคุยกับเมืองเหมือนเมื่อก่อนน่ะเหรอ? [ก็แค่คุยเองใช่ปะ? ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็แค่บอกเขาให้เข้าใจว่าตอนนี้เธอมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาเป็นได้แค่เพื่อน…] “ไม่ได้หรอกเจ๊...” ฉันท้วงเสียงเรียบ พลางทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงด้วยความรู้สึกอ่อนล้า “เมืองน่ะ เขาจะทำร้ายผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้ฉัน เขาไม่ยอมให้ฉันพูดหรือคุยกับผู้ชายคนไหนนอกจากเม้าส์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท” [...] “ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเจอเมือง เขายังทำทุกอย่างเหมือนกับว่าฉันยังเป็นผู้หญิงของเขา เรียกเหนือซึ่งเป็นแฟนฉันว่าชู้ ตามราวีฉันเหมือนคนโรคจิต... ถ้าให้เดาที่เม้าส์พยายามบอกฉันวันนี้ว่าเมืองไม่เหมือนก่อน คงเป็นเรื่องสมองเขาที่คลับคล้ายคลับคลาคนบ้าขึ้นทุกวันละมั้ง...” [แต่เจ๊ว่ามันน่าอึดอัดนะ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนบ้าก็เถอะ] “...” [ความรู้สึกของคนเราน่ะ ถ้าไม่ได้พูดออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจ มันก็ค้างคาใจทั้งสองฝ่ายถูกมั้ยละ? บางทีที่เขาเป็นฝ่ายไล่ตามเธออยู่ตอนนี้ อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเขามันยังไม่เคลียร์ล่ะมั้ง...] “...” [ถ้าสมมุติ เฌอได้เจอนายโรคจิตนั่นอีก ลองพูดความรู้สึกออกไปตรงๆ สิ บางทีคนบ้าอย่างเขาอาจจะเข้าใจ ยอมหยุดความคิดไว้ที่เพื่อนกับเธอก็ได้นะ...] “ฉันน่ะ เคยท้องกับเมือง ตอนสมัยเรียนอยู่ปีหนึ่ง...” คำพูดของฉันทำอีกฝ่ายเงียบลงในทันที ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกใครหลังจากเลิกกับเมืองไปเกือบสามปี รวมไปถึงเหนือเองก็เช่นกัน “พอเขารู้ เราก็ทะเลาะกัน...” [ขะ เขาให้เธอเอาเด็กออกเหรอ...] “เปล่าเจ๊... เราทะเลาะกันจากนั้น เขานั่นแหละที่พลั้งมือทำฉันตกจากบันได แท้ง...ต่อให้พูดว่าพลั้งมือก็จริง แต่มันก็ไม่ต่างจากจงใจ เพราะว่าในตอนนั้นทะเละกันอยู่” […] “แล้วแบบนี้ ฉันกับเขา ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกเหรอเจ๊?” ใช่! ฉันไม่สามารถพบหรือเจอหน้าเขาอีก ไม่ควรเจออีก เพราะถึงเจอกันอีกหนแม้แต่คำว่าเพื่อนฉันก็ไม่สามารถให้กับผู้ชายคนนั้นได้หรอก... [ถ้าอย่างนั้น เธอจะทำยังไงละ? ถ้าหมอนั่นยังตามตื้อเธอเป็นเงาแบบนี้] “ทนมั้งเจ๊...” อีกครั้งที่ฉันเงียบเสียงลงเมื่อในหัวนึกถึงคำพูดของเม้าส์เมื่อช่วงหัวค่ำวันนี้ ก่อนกล่าวออกมาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำตัวเอง “ใครทำอะไรไว้ มันน่าจะรู้อยู่แก่ใจ...” เพราะบรรยากาศที่เริ่มตรึงเครียดในช่วงเวลานั้น ทำให้เจ๊แกะรู้สึกผิด เธอกล่าวขอโทษฉันที่บีบบังคับให้เล่าเรื่องเลวร้ายในอดีตทางอ้อม ก่อนจะวางสายไป ส่วนฉันหลงจากนั้นก็ได้แต่นอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงตามอย่างปกติ ก่อนที่ช่วงเวลาของความเงียบจะเคลื่อนผ่านไปเพราะเสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้น เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : นอนยัง? เพียงแค่เห็นชื่อเจ้าของข้อความที่ส่งมา ฉันก็อดกลั้นขำไม่ได้ เพราะมันคือชื่อLineของเหนือที่ฉันแอบเปลี่ยนไว้ในช่วงที่เขาเผลอ แต่ถึงจะรู้ว่าฉันแกล้งเปลี่ยนชื่อไว้แบบนั้นก็ตาม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะเปลี่ยนกลับไปเป็นอย่างเดิม น่ารักจริงๆ NimNeua : ยังจ๊ะ มีอะไรคะที่รัก? เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : พรุ่งนี้ เปลี่ยนชื่อlineให้ด้วย เชอะ! นึกว่าจะมีเรื่องอะไร รู้งี้ไม่ชมก็ดีหรอก -_- เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : นิม ข้อความสั้นๆ ต่อมาของเหนือ ทำฉันรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่เรียกชื่อฉันว่านิมก็ตาม แต่น้อยครั้งมากที่เขาจะพิมพ์หรือเรียกแบบนี้ นอกจากเขากำลังมีเรื่องเป็นกังวลใจอยู่ NimNeua : ว่า? เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : ผู้ชายคนนั้น มาหาเธอหรือเปล่า? เอ๊ะ! ทำไมจู่ๆ เหนือถึงถามแบบนี้ละ? หรือว่าเมืองจะไปพบกับเหนือมา เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : วันนี้เจอ เลยถาม ห่วง NimNeua : หมอนั่นทำอะไรเหนือ เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : พรุ่งนี้ค่อยเล่า เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : ฝันดีนะนิม ว่าแล้วข้อความLineที่ได้รับจากเหนือก็เงียบลงไป มาพร้อมความแคลงใจที่ฉันได้รับจากข้อความที่เหนือส่งมา ให้เดาฉันว่าเมืองน่าจะไปยุ่มย่ามอะไรใส่เหนืออีกแน่ๆ หรือไม่ก็ทำในสิ่งที่เขาชอบทำเมื่อในอดีต... เพราะหลายๆ ความคิด อีกทั้งยังหลายๆ ความรู้สึก มันทำให้เลือดในตัวพลุ่งพล่าน กลับกลายเป็นความขยับ ลุกขึ้นมานั่งเก็บห้อง เพื่อหวังให้สบายใจขึ้นบ้าง แต่ว่า ห้องที่ฉันอยู่มาแรมปี พอได้ลองเก็บกวาดดู ทำไมมันถึงได้มีขยะกองมหึมาแบบนี้ละ T_T กว่าจะเก็บกวาดห้องจนเสร็จ สะอาดเหมือนห้องพักใหม่ๆ ก็เล็กกินเวลาไปตีสองกว่าๆ ฉันยืนลังเลครู่ใหญ่ ก่อนตัดสินใจหิ้วถุงดำบรรจุขยะสองใบใหญ่เดินออกจากห้องเพื่อเก็บกวาดในรอบสุดท้าย เพราะอยากให้ห้องเอี่ยมไม่รกตา ฉันจึงตัดสินใจโง่ๆ เดินออกจากห้องลงไปชั้นล่าง แม้ลึกๆ จะอดระแวงเรื่องผู้ชายคนนั้นไม่ได้ก็ตาม ดูเหมือนว่าคืนนี้โชคจะเข้าข้าง ค่ำคืนนี้บริเวณหอพักค่อนข้างเงียบ ไม่มีคนหรือรถสัญจรผ่านไปมาเหมือนในช่วงเช้าและช่วงศุกร์เสาร์ อาจเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาก็ได้ ดังนั้นฉันจึงรีบเร่งฝีเท้าขนถุงดำในมือทั้งสองข้าง เดินไปยังจุดเกิดเหตุเมื่อช่วงเย็น เพื่อหวังจะทำให้ทุกๆ อย่างเสร็จสิ้นไป ทว่า ฉันคิดผิด กึก... “เฌอ...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม