2
*******วิญญาณที่ทุกข์ตรม
เทพอู่เฉินนั่งสนทนากับท่านนักพรตสักพักหนึ่ง อาจารย์ฮุ่ยหมิงเป็นผู้มีเมตตา เฉกเช่นอาเป้ยเป็นอย่างไร ก็เป็นเช่นเดียวกันทั้งอาจารย์และศิษย์ ถึงแม้ว่าท่านจะเข้มงวดกวดขันเรื่องวินัย และการฝึกฝนตนเองเป็นอย่างมาก
อาจารย์ฮุ่ยหมิงเมตตาสงสารนางในฐานะข้ารับใช้นักพรต อีกในฐานะหนึ่งก็เป็นบุตรชาย เดิมทีตัวท่านถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จากเหล่านักพรต ด้วยความเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน ท่านจึงเลี้ยงดูนางให้รู้จักความยากลำบาก ให้ขยันขันแข็ง ไม่ว่าทำการใดไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค นางได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี อย่างที่นางเคยคุยโม้โอ้อวดนักหนา
ทั้งเรื่องพละกำลัง ความอ่อนน้อมถ่อมตน ระหว่างที่แบกน้ำไปนั้นนางจะได้สติ เข้าใจถึงความยากลำบาก นางยังไม่นับว่าสตรีบนโลกมนุษย์ เมื่อมารดาของนางนำทารกซึ่งมีปานรูปงูมาฝากไว้กับท่าน ด้วยความปรารถนาที่จะหลีกหนีเจ้าเมืองหลงอี้จิน ท่านนักพรตจึงให้การเลี้ยงดูนางเยี่ยงบุรุษ อำพรางตนไว้ไม่ให้เป็นปัญหาต่อสำนักเทียนหลง เพราะหากมีสตรีก็จะต้องมีเรื่องราวตามมามากมายอย่างแน่นอน
ผู้คนที่รู้ว่านางเป็นสตรีนั้นมีไม่มาก ต่างช่วยกันเก็บเป็นความลับจนกระทั่งนางถูกทหารองครักษ์มาบังคับจับตัวไปเป็นเครื่องบรรณาการ
เมื่อนางขึ้นมาอาศัยอยู่บนเทวโลกแล้ว อาจารย์ฮุ่ยหมิงยังแอบมาเยี่ยมเยียนในร่างทิพย์ เป็นจิตซึ่งแยกออกจากการทำสมาธิเข้าฌาณจนแตกฉาน
“ชะตาลิขิตยากจะหลีกเลี่ยง ข้าพอรู้มาว่าศิษย์ข้าอยู่ดี กินดี นางปรารถนาสิ่งใด เทพอู่เฉินหามาให้นางเสียทุกสิ่งอย่าง ข้าก็ไว้วางใจ ถึงแม้ว่าบนเมืองเทพจะมีธรรมเนียมแตกต่างไป ใช่หรือไม่?”
เทพอู่เฉินมีรอยยิ้มแสนเศร้าหมอง เมื่อท่านอาจารย์ท่าทางเหมือนรู้เรื่องของท่านกับนางจึงตอบไปตามตรง “ข้าจะตบแต่งกับนางในสักวันหนึ่ง หากเพียงนางจุติใหม่อีกคราเป็นมนุษย์ หรืออยู่ในสภาพร่างใด ข้ายังรอนางกลับมาเป็นเจ้าสาวของข้า... ถึงข้าอาจใจร้อนไปบ้างประสาปีศาจ แต่ข้าจริงใจกับนาง”
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ถึงความจริงใจของเทพปีศาจนั้นมีมากมายเท่าไร เมื่อนักพรตอาวุโสลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทีครุ่นคิด เทพอู่เฉินยังมองตามท่านอยู่ตลอดด้วยความหวังว่าจะได้พบภริยา หรือท่านอาจารย์มีแผนการอย่างไร
“ญาณทิพย์ข้ามีขีดจำกัด ไม่อาจทราบถึงเรื่องจิตใจ ยากแท้หยั่งถึง เรื่องของหัวใจยังมิอาจฝืน นั่นเป็นเหตุให้อนาคตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เหตุการณ์หลายอย่างคลาดเคลื่อนไป ข้ามองไม่เห็นบางสิ่งจากพวกท่านทั้งสอง มันช่างมืดดำ...”
“ข้าตั้งใจจะใช้กระจกชิ้นหนึ่งในนรกภูมิ เพื่อฟื้นคืนนาง แต่ข้าก็อับจนปัญญา ข้าไม่สามารถเรียกจิตของนางกลับมาได้ ข้าไม่ถนัดเรื่องของวิญญาณ”
“อื้ม... เมื่อเดือนก่อน... มีวิญญาณดวงหนึ่งแวะเวียนมาหาข้า ไม่ใช่วิญญาณอาฆาต เป็นดวงไฟกระจ้อยร่อย...”
“ใช่นางแน่หรือ? หากเป็นเพียงดวงจิต อาจเป็นญาติสนิทมิตรสหายของท่าน อาจเป็นผู้ซึ่งท่านเคยหยิบยื่นมือช่วยเหลือ...”
“ใช่นาง... ข้าจะมีศิษย์ดื้อรั้นสักกี่คน”
ท่านฮุ่ยหมิงมองเห็นว่าเทพปีศาจผู้นี้พูดจารู้เรื่อง ไม่ได้ไร้สติเสียทีเดียว ด้วยความเวทนาสงสาร จึงหมุนข้อมือครั้งหนึ่ง เพื่อเสกถุงสีทองออกมา
“ข้าจะขอร้องท่านอย่างหนึ่ง... ท่านต้องควบคุมพลัง และอย่าได้ทำลายค่ายกลข้าให้นางหลุดรอดออกมา ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ได้หรือไม่?”
อสรพิษอารักขาที่กำลังพันบานรอบประตูไม้สลักบานเลื่อน ซึ่งปิดลงอย่างเงียบเชียบ ยังมีเจ้าเหลียนเหลียนคอยเฝ้า นอนหมอบอยู่หน้าไม่ให้ผู้ใดเข้ามารบกวน เทพอู่เฉินพาท่านฮุ่ยหมิงมาสนทนากันลำพังในห้องใต้ดิน ปกติแล้วท่านจะใช้ห้องใต้ดินนี้ในการคุยธุระสำคัญ
เมื่อถุงผ้าสีทองขนาดเท่ากำมือที่มีบางอย่างข้างในเคลื่อนไหว ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยการร่ายเวทผ่านฝ่ามือของอาจารย์ฮุ่ยหมิง นัยน์ตาคู่คมเปล่งประกายดังสีของโลหิตจับจ้องดวงไฟสีส้มแดงกะพริบริบหรี่ คล้ายจะดับก็ไม่ดับ ขยับอยู่ภายในค่ายกลดาวหกแฉกสีทองอร่าม หมุนไปมา ลักษณะของดวงไฟนั้นวิ่งชนกระแทกไปทุกฝั่ง เหมือนกับว่ามันพยายามจะหาทางออก
“ข้าเหลือเศษหินแห่งพลังหยินไม่มาก ใช้หมดเมื่อใด จะไม่สามารถคงสภาพนางไว้ ร่างวิญญาณของนางจะเหลือเพียงดวงไฟ ข้าคงเก็บมันเอาไว้ใช้อีกครั้งหนึ่งตอนพบหยกพันปี” สิ้นคำ ปลายนิ้วของท่านอาจารย์ดีดสะเก็ดหินสีดำใส่ลูกไฟในค่ายกลสีทอง ดาวหกแฉกขยายใหญ่ตามร่างวิญญาณที่ปรากฎขึ้นเป็นสตรี ร่างโปร่งบางใสสามารถมองทะลุผ่านไปเห็นเปลวเทียนและโต๊ะเครื่องแป้งเดิมของนาง
“อาเป้ย... ใช่เจ้าจริง ๆ เจ้าอยู่กับท่านอาจารย์น่ะเอง...”
นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีของเทพปีศาจ กำลังเปิดเผยรอยยิ้มอิ่มเอมใจ หัวใจกล้าแข็งสั่นไหวรุนแรง เพียงได้พบหน้าภริยาที่รักยิ่ง
ใบหน้าอันงดงามของเจ้าสาวในชุดสีแดง เป็นเฉกเช่นคราสุดท้ายที่พบนาง หากทว่าไร้รอยยิ้มสดใส เป็นสีหน้าทุกข์ตรม คร่ำครวญอยู่ตลอดเวลา
‘ฮือ... ท่านอาจารย์ปล่อยข้า...’
เสียงร้องโหยหวนของนางบาดลึกลงในจิตใจของเทพอู่เฉิน ตลอดระยะเวลาที่รอคอยนาง ในทุกลมหายใจเฝ้าฝันว่าจะได้พบนางอีกสักครั้ง บัดนี้กลับทำได้เพียงยืนมองนางในร่างวิญญาณ วิ่งไปมาในกรงขังสีทองอร่าม
นางคงมองไม่เห็นใครเพราะมัวแต่ดิ้นรนอยู่ข้างในอย่างสิ้นสติ
‘ท่านอาจารย์... ปล่อยข้า ฮือ... ข้าจะตามหลอกหลอนท่าน เป็นผีไปบีบคอท่าน...’
“อาเป้ย... ลำพังเจ้ายังเอาตัวไม่รอด จะมาบีบคอข้ารึ? เจ้าศิษย์ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ชอบละเมิดคำสั่งข้า”
ท่าทางของนางดูอย่างไรก็ไม่น่าจะกลายเป็นวิญญาณร้ายไปได้ ดูเป็นผีไร้เดียงสา วิญญาณเร่ร่อนที่ยังมีห่วง จึงเกิดเป็นความทุกข์ตรมแสนสาหัส อาจารย์ฮุ่ยหมิงทำไปเพราะความหวังดี นางกลับไร้ความฉลาดหลักแหลม ไม่สมเป็นนางเลย
“นางไร้สติสัมปชัญญญะ ในค่ายกลหกแฉก นางรู้แค่ว่านางจะดิ้นรนหาทางออก แต่ยิ่งขัดขืน ก็ยิ่งร้อน มีแต่จะสร้างความเจ็บปวด นาน ๆ ครั้งนางถึงรู้สึกตัวพูดคุยกับข้า ประมาณว่าเป็นวิญญาณที่พูดจารู้เรื่องน่ะ...”
อาจารย์ฮุ่ยหมิงใช้เวลาไม่นานในการจับตัวนาง ทว่าการคงสภาพไว้ในร่างวิญญาณเต็มร่างเช่นนี้เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า จำต้องวานพยัคฆ์อัคคีไปหาเศษหินแห่งพลังหยินมา ไม่ให้ร่างของนางกลายเป็นดวงไฟริบหรี่
วิธีของอาจารย์ฮุ่ยหมิงมีโอกาสเป็นไปได้กว่าการใช้กระจกวิเศษในนรกภูมิ ซึ่งสามารถเสกสรรค์ร่างกายดั่งใจนึก เหล่าอสูรบางตนได้ไปส่องมัน เพื่อให้มีรูปลักษณ์ร่างกายดังเช่นปีศาจและเทพ เพื่อใช้ล่อลวงมนุษย์
เทพอู่เฉินเคยเผชิญหน้ากับอสูรราตรีครั้งหนึ่ง ยังนึกเสียดายว่าไม่ควรมีความคิดสังหารมัน ควรห้ามปรามเจ้าเหลียนเหลียน แม้โมโหหวงสตรีนางหนึ่งสักเท่าไร อสูรราตรีอาจให้คำตอบท่านในยามนี้ก็เป็นไปได้
ทุกสิ่งมีเหตุและผล อนาคตเปลี่ยนแปลงเพราะหนึ่งการตัดสินใจ
“น่าเสียดายที่เจ้าตะขาบนั่นสูญสิ้นไปเพราะข้าเป็นต้นเหตุ ข้าจะได้ลองถามมันเรื่องกระจกประหลาดนั่นดูสักหน่อย”
“อดีตไม่สามารถแก้ไข เอาเป็นว่าลองวิธีนี้ดู แม้หยกพันปีอาจหายากนัก ข้าเชื่อว่ามันเป็นขุมทรัพย์แห่งพลังหยินที่กล้าแกร่ง ควรใช้ได้ผลกับเครื่องสังเวยปีศาจ”
“ยามนี้ข้ามีลูกแก้วปีศาจเยอะพอสมควรท่านอาจารย์ น่าจะใช้แทนกันได้”
“สิบ ยี่สิบ? มีเท่าไรหรือ เยอะของท่าน”
“ราวสามสิบกว่าเม็ด ข้าผลัดมันและกักตุนไว้โดยไม่รอให้ร่างปีศาจต้องผลัดเกล็ดสีนิล ยิ่งเทวโลกสงบนัก ข้าไม่มีเรื่องมีราวกับผู้ใด ใครอยากจะมาหาอะไร ข้าก็ปล่อยพวกเขาไป”
“ท่านเก็บลูกแก้วปีศาจของท่านเอาไว้ใช้ยามคับขัน เทพอู่เฉิน อย่าได้วู่วามไป เพื่องานใหญ่จะได้สำเร็จลุล่วง”
อาจารย์ฮุ่ยหมิงวางแผนการเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย เรื่องการช่วยเหลือศิษย์คนโปรด จึงสะบัดมือดึงค่ายกลดาวหกแฉกพับเก็บลงในถุงที่ขยับเขยื้อนอยู่ตลอด
“เอาล่ะ... เราต้องไปหาของสำคัญก่อน”