ใต้ผืนน้ำมรกต ณ ภพภูมิบาดาล ได้ซ่อนเร้นสมบัติล้ำค่าเอาไว้เนิ่นนาน หลังจากที่แม่เฒ่าเมิ่งเฉียนเป่ยแห่งภพภูมิลับแล ผู้มีเนตรแห่งการทำนาย หยั่งรู้อนาคต เฝ้ามองมันและนางเฟยอี๋คราถือกำเนิดขึ้นในนรกภูมิ จึงแยกหยกชิ้นนี้ออกจากนาง ไม่ให้จ้าวปีศาจเยี่ยงนางได้ครอบครอง
ผู้มีญาณทิพย์ทำนายอนาคตอาจคลาดเคลื่อนไปเพราะการตัดสินใจ เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบนภพภูมิเทวโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แม่เฒ่าไม่ได้บอกเรื่องหยกพันปีกับผู้ใด หากไม่เป็นเพราะนางเฟยอี๋ไปข่มขู่ถามหาของของนาง ด้วยการใช้เทพชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งเป็นตัวประกัน
‘อยู่ในภพภูมิบาดาล’
แม่เฒ่าเมิ่งเฉียนเป่ยให้คำตอบเพียงเท่านั้นก็อันตรธานหายไป ให้เป็นหน้าที่ของราชาแห่งสวรรค์ผู้มีเนตรแห่งการหยั่งรู้มาช่วยเหลือเทพของตน
ศึกครานี้ยาวนาน... ตราบจนกระทั่งนางถูกบุตรชายบังคับพากลับไปยังนทีอันธการ ราชาแห่งสวรรค์ร่ายเวทหยาง พลังแห่งแสงสว่างเป็นโซ่ตรวนปิดปากทางนรกภูมิเอาไว้
ถึงยังนับไม่ได้ว่านางเฟยอี๋ละเมิดสัญญาระหว่างเทพปีศาจ ในเมื่อนางใช้ข้ออ้างในการปกป้องบุตรของตนแทนการฉีกสัญญานั้น นั่นจึงเป็นบทลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ให้นางขึ้นมาสร้างความวุ่นวายไปอีกสักระยะหนึ่ง
“มันอยู่กับข้า... ของที่ท่านตามหา...”
ในที่สุดเทพอู่เฉินก็ยอมสารภาพความจริงกับนักพรตฮุ่ยหมิงว่าได้ค้นพบมันด้วยการตอบปริศนา เรียงหินสีดำให้เชื่อมต่อกันเป็นตัวอักษร ***หมายถึงอสรพิษ
เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ครานั้น ได้พักฟื้นร่างกายเคียงข้างมารดาอสรพิษแล้วกลับขึ้นมายังเทวโลกภพภูมิบาดาล เทพอู่เฉินค้นพบค่ายกลใต้แหล่งน้ำกว้างใหญ่ ทั้งอันตรายและปรับเปลี่ยนสภาพโดยรอบอยู่ตลอด มีเขาวงกตและกับดักตลอดทางทอดยาว ยากลำบากเป็นอย่างยิ่งกว่าจะไปถึงหยกสีดำก้อนหนึ่ง พอได้มันมาแล้วท่านจึงเก็บตัวเงียบเชียบ โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ท่านไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่บ่าวงูคนสนิท
“ข้าต้องแสร้งออกไปตามหามันอยู่ดี เมื่อลั่นวาจาไปแล้ว”
ท่านฮุ่ยหมิงไม่ปล่อยให้เสียเวลา หลังพูดคุยเสร็จจึงรีบออกไปเรียกพยัคฆ์อัคคี ให้พาไปยังแหล่งน้ำแห่งนั้น เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่ามีผู้ครอบครองมัน
เทพอู่เฉินไม่ได้ไปไหน ยังคงอยู่ในห้องใต้ดิน รอจนกระทั่งท่านฮุ่ยหมิงกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง จึงบอกให้สองบ่าวงูให้การต้อนรับแขก พาท่านไปยังห้องรับรองกว้างขวาง ติดกับห้องพักของเทพอู่เฉิน แต่เห็นว่าท่านฮุ่ยหมิงมีเสื่อผืนเดียวในการนั่งหรือนอนเพื่อละวางตน ก็คงไม่ติดใจ ลำพังท่านเมื่อขึ้นมาบนเมืองเทพยังไม่ได้หลับใหลเยี่ยงมนุษย์
นัยน์ตาสีแดงฉานเปล่งประกาย คอยมองตามหาถุงผ้าสีทอง ทว่าไม่กล้าเอ่ยปากขอเพราะรู้ตนว่าอาจทำให้มีพิรุธ
นี่ไงเล่าพิรุธ!
เพียงใจเฝ้าคิดถึงนางผู้รอคอยมาแสนนานว่าจะได้พบกันในเร็ววัน พาลร้อนรนอยู่ไม่สุข ในร่างบุรุษเทพเดินไปมาในห้องคับแคบ นึกรำคาญตนเอง แปลงกายเป็นอสรพิษไปเสีย ยังเลื้อยไปเลื้อยมาบนที่นอน
“ท่านดูเป็นปีศาจใจร้อนนัก แต่ข้าขอเป็นกำหนดการเดิม ไม่ให้มีการเคลื่อนไหวเรื่องของในกระเป๋าเวท ให้อยู่อย่างเงียบเชียบที่สุด มีของอะไรก็ไม่ต้องควักออกมาให้เวหาบนเทวโลกแลเห็น จะดีกว่า”
“ข้าจะลองพยายามสงบใจกว่านี้ลงสักหน่อย...”
เทพผู้เคยสงบเสงี่ยมพูดไปอย่างนั้น เมื่อยังขยับกายลื่นไหลไปมาอยู่บนที่นอนยับเยิน ท่านฮุ่ยหมิงไม่วายจะต้องส่ายคอมองตามซ้ายทีขวาที
“จันทร์รุธิระค่ำคืนนี้ขึ้นถึงกลางฟ้าเมื่อไร มาพบกันที่สวนของเป่าเป้ย ข้าเพิ่งชวนตาเฒ่ามาจิบน้ำชาด้วย ฤกษ์งามยามดี”
“ข้าไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเดือดร้อนเพราะข้ากับท่านแม่”
“ลำพังท่านรับมือผู้เดียวไม่ไหว ยิ่งไร้เกล็ดอสรพิษซึ่งผลัดไปเป็นลูกแก้วปีศาจ หนีไม่พ้นว่าท่านต้องใช้ตรีเนตรเพื่อสร้างวงแหวนแห่งพลังหยิน ดึงกายทิพย์ของนางกลับมา อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้า”
เหล่านักพรตทั้งหลายเคยเผชิญหน้ากับนางเฟยอี๋ ด้วยนางโปรดปรานการมาก่อกวนผู้ทรงศีล การเบิกตรีเนตรของบุตรชายนั้น มารดาจะต้องมองเห็นหยกพันปีด้วยแน่ ๆ
เทพอู่เฉินกลับไม่มองว่าเป็นปัญหาใหญ่
“โดยปรกติแล้วท่านแม่ให้ข้าได้ทุกสิ่ง ข้าเป็นลูกรักของนางเฟยอี๋ทีเดียว”
“แน่ใจรึว่าท่านแม่ของท่านพูดจารู้เรื่องรู้ความ?”
“ท่านแม่ไม่เคยทำร้ายข้า”
“...”
ท่านฮุ่ยหมิงขมวดคิ้วเข้าหากันในสีหน้าครุ่นคิด ด้วยความตั้งใจว่าการไม่ประมาทศัตรูเป็นเรื่องดีที่สุด ก่อนตัดสินใจเสกถุงสีทองขึ้นมา โยนลงบนที่นอน
“ท่านควรอยู่นิ่ง ๆ สักพักหนึ่ง... ทำจิตใจให้สงบเสียด้วย ข้ารู้สึกเวียนหัวแทน...”
เป็นเวลาไม่กี่ชั่วยามก่อนจันทร์รุธิระเคลื่อนสู่กลางท้องนภา ร่างอสรพิษม้วนตัวขดเป็นวงกลม ล้อมรอบถุงผ้าสีทองเอาไว้มิดชิด ฉับพลันกับที่มันหยุดเคลื่อนไหว ราวกับว่าบางสิ่งข้างในสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเกล็ดสีนิท
แม้เป็นเพียงนิทราแสนหวานของเทพอู่เฉิน ได้โอบกอดเรือนร่างงามของภริยา ดึงนางเข้าสู่อ้อมแขน พรมจูบบนหน้าผากเนียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าหวานส่งยิ้มละมุนละไม สบมองนัยน์ตาสีโลหิตของท่าน
ยี่สิบปีไม่ได้ลูบไล้แก้มอุ่น ผิวกายนวลผ่องงามดุจหยกขาว เส้นผมนุ่มหอมส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ให้รับรู้ได้ว่าเป็นนาง กระทั่งรอยยิ้มและแววตาใสซื่อของนาง ราวท้องฟ้ามืดมนหม่นหมองกลับมาสดชื่นแจ่มใส
“อาเป้ย... ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
ไร้การโต้ตอบใด ๆ จากสตรีในอ้อมแขน ตราบจนสิ้นสุดเวลาแห่งความสุขล้น นัยน์ตาสีแดงฉานลืมพรึบมองไปทางบานประตูไม้สลักลายท้องนภาซึ่งเปิดอ้าออกกว้าง เปลวอัคคีวูบไหวของพยัคฆ์ยังขยับอยู่หน้าห้อง
ภาพเหล่านั้นล้วนไม่ใช่ความจริง...
เพียงเจ้าเหลียนเหลียนขยับแววตามาดมั่นของมัน ส่งสัญญาณบอกว่ามีนัดหมายสำคัญ เทพอู่เฉินคงจะไม่รีรอ กลับร่างเป็นบุรุษในอาภรณ์สีดำ คว้าถุงผ้าออกไปเพื่อนำพาสตรีผู้เป็นที่รักยิ่ง ดังดวงใจกลับคืนมา