“พี่เกนไหนของแก” วาวทำหน้างง ๆ
“ไอ้วาว ก็คุณพสุไง คนที่เป็นนักพัฒนาสังคมน่ะ ที่มาสอนเราเมื่อเสาร์ที่แล้ว” คำตอบของแมวทำให้วาวส่ายหน้าระรัว พร้อมกับทำปากเบ้
“อึ... ไม่เอาดีกว่า ฉันไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่ คนอะไรก็ไม่รู้สายตาสอดรู้สอดเห็นไปเสียหมด อีกอย่างฉันไม่ชอบที่เขาดูถูกฉัน”
“แกจะบ้าหรือเปล่าวาว มองพี่เขาร้ายไปหน่อยไหม พี่เกนเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักหน่อย อีกอย่างท่าทางเขาเป็นห่วงแกน่าดูเลยนะ คอยแต่จะถามเรื่องราวของแก”
มณีรินทำตาโตเข้าใส่เพื่อนทันที
“แล้วแกก็เล่าให้เขาฟังใช่ไหมว่าฉันเป็นมายังไง ฮึ... นางแมว” เธอยกมือขึ้นชี้หน้าของเพื่อน จิ้มนิ้วลงบนหน้าผากสีดำของแมว
“นิดเดียว” แมวทำมือทำนิ้วว่านิดเดียวจริง ๆ
“เออ...” วาวทำอารมณ์เสีย เธอรีบลุกจากเก้าอี้ที่นั่งทันที เดินตัวปลิวลิ่ว ๆ ตรงไปที่ห้องเรียนโดยไม่รอเพื่อน แมวโบกมือหย็อย ๆ เรียกชื่อของเธอ ตามหลังไปไม่ห่าง
“วาว... วาว...”
ที่โรงพัก
“สารวัตรเรียกประชุมพวกเราด่วนมีอะไรครับ” นายตำรวจชั้นผู้น้อยถามขึ้นตอนที่ทุกคนไปรวมกันอยู่ในห้องประชุมเล็ก ๆ บนโรงพักนั้น
“ก็ทางหน่วยเหนือเขาให้ทุกท้องที่กวดขันเรื่องโสเภณี และการขายตัว เพราะมันเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และอีกอย่างท้องที่ของเราติดกับชายแดน เรื่องแบบนี้อาจจะเป็นการนำพามาสู่เรื่องต่าง ๆ ที่ไม่ดีงาม จึงต้องรีบกวดขัน แล้วในหนังสือนี้แจ้งมาแล้วว่า หากทางหน่วยกลางมาเจอว่าที่ไหนยังคงมีสถานที่แบบนี้อยู่ก็จะต้องได้ย้ายกันทั้งโรงพักนั่นแหละ” สารวัตรหมี่เล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พวกเราก็กวดขันกันมาตลอดนะครับ แต่ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเท่านั้นเอง อีกอย่างธุรกิจพวกนี้ก็เปิดเป็นกิจการอื่นบังหน้า” นายตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้น
“ก็นั่นไง นี่แหละเป็นสิ่งที่เราต้องกระชากหน้ากากพวกนั้นออกมาให้หมด ต้องกวาดล้าง ต้องปราบปราม ต้อง...”
“ครับ ๆ สารวัตรครับ” ทุกคนแทบจะรับปากออกมาพร้อม ๆ กัน
“ว่าแต่ไอ้ร้านคาราโอเกะหลัง บขส. เอายังไงดีครับ” ดาบติ้วถามขึ้น
“ปัญหามันก็อยู่ที่พวกที่ร้านพวกนั้นมันรู้ว่าใครเป็นตำรวจเนี่ยละซิ เฮ้อ...” สารวัตรหมี่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“เอาเป็นว่าเขตไหนใครรับผิดชอบ ดูแลกวดขันกันให้หนัก เอาจริงนะ ส่วนเรื่องร้านคาราโอเกะหลัง บขส. ดาบติ้ว เดี๋ยวอยู่คุยกับผมก่อน”
นายตำรวจคนอื่น ๆ รีบทยอยกันลุกขึ้น แล้วทำความเคารพสารวัตรแล้วเดินออกไป หลังจากนั้นทั้งสองหนุ่มก็ประชุมวางแผนกันต่อไป
ตืด... ตืด...ตืด... มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของพสุดังขึ้น
“สวัสดีครับแม่” ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แหม... ถ้าแม่ไม่โทรหาเกนก่อน เกนจะคิดโทรหาแม่ไหมลูก” นางต่อว่าลูกชายขึ้นมาทันที
“ก็วันนี้ว่าจะโทรหาคุณแม่ค่ำ ๆ น่ะครับ มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า”
“มีสิ...” นางตอบกลับมาแทบทันที
“จำหนูผึ้งได้ไหม” คุณชนาภายิงคำถามออกมาทันที
“ผึ้งไหนแม่?” พสุจำได้แล้ว แต่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ไปอย่างนั้นแหละ
“เกน ถ้าอยู่ใกล้ ๆ แม่จะตีให้สักเปรี๊ยะ น้องผึ้งลูกของคุณอาท่าชนะไง ตอนเด็ก ๆ แม่ชอบพาเราไปเที่ยวที่บ้านสวนของเขาที่กาญจนบุรีจำได้ไหม”
“จำได้ครับ” พสุตอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ว่าแล้วเชียว วันก่อนนี้นะ คุณอาท่าชนะ คุณอาบุปผา และหนูผึ้งมาหาแม่ที่บ้าน อุ้ย... เกนเอ๊ย หนูผึ้งน่ารักมาก หน้าตาสะสวยกว่าเมื่อตอนเด็ก ๆ เสียอีก แม่เห็นแล้วถูกใจ ๆ ลูก” คุณแม่เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตามสไตล์
“แล้วไงครับ”
“แล้วไงเหรอ ก็คืออย่างงี้ แม่นะนัดว่าจะพาหนูผึ้งเขามาที่บ้านวันไหนที่ลูกกลับมาจะได้เจอกัน” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสุข
“เฮ้อ...” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“แม่ไม่ได้บังคับนะ แต่รู้จักกันเอาไว้ก็ไม่เสียหาย เรารู้เช่นเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ไหมน้องเขาจบอะไรมา”
ได้โอกาสคุณชนาภาก็เล่าเรื่องอย่างสนุก กว่าจะวางสายไป ก็เป็นชั่วโมง จบลงโดยการที่พสุรับปากว่าจะกลับบ้านเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ คุณชนาภาจึงยอมวางสายไป
ติ๊ง... ติ๊ง... ติ๊ง... เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า
“แมว...” เขาเห็นหน้าคนที่ส่งข้อความมาให้แล้วรีบเปิด
(“พี่เกนคะ วาวเธอปฏิเสธหัวชนฝาเลยค่ะ ว่าจะไม่มาทำงานกับเรา”)
(“ทำไม”) เขาพิมพ์ถามกลับไปในทันที
(“เหตุผลส่วนตัวค่ะ”)
แมวนึกไปถึงคำพูดของเพื่อน
“ฉันไม่ชอบหน้าคุณพี่เกนอะไรของแกนั้นนางแมว จบนะ อย่าพูดอีก เดี๋ยวอารมณ์เสีย อีกอย่างต่อไปเขาถามอะไรที่เกี่ยวข้องกับฉันแกห้ามเล่าอะไรให้เขาฟังเด็ดขาด ไม่ยังงั้น...(เธอทำท่ายกนิ้วขึ้นไปเชือดที่คอของตัวเอง) แกกับฉันขาดกัน” วาวทำหน้าเข้ม ทำหรี่ตาจ้องหน้าแมว จนเธอต้องหงอไป และพยักหน้าให้เพื่อนรักงึก ๆ
“ก็ได้...” เธอสิ้นหนทาง ได้แต่ทำเสียงอ่อย ๆ
(“แมวต้องให้เหตุผลกับวาวนะว่า พี่เป็นห่วงเขา อีกอย่างทำงานกับพี่ก็จะได้ประสบการณ์อะไรดี ๆ นำไปใช้ได้ในชีวิตด้วย”)
(“ค่ะ”) เธอรีบตอบไป แต่ตอนนี้ได้แต่นั่งทำหน้านิ่ว อีกคนก็นายจ้าง อีกคนก็เพื่อน
‘แม่งโคตรอึดอัดว่ะ’ แมวบ่นอยู่ในใจ
เย็นวันหนึ่ง
“วาว ทำไมไม่ยอมมาทำงานกับพี่ที่สำนักงาน” พสุถามมณีรินทันทีที่เขาเห็นหน้าของเธอวันหนึ่งที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
มณีรินแกล้งไม่ได้ยิน แล้วเธอก็เดินหนี พสุไม่ยอมเขาเดินตามก่อนจะเดินไปดักหน้ารถเข็นของเธอ หญิงสาวยกหน้าขึ้นมองเขาแบบไม่สบอารมณ์
“แล้วคุณอะเป็นอะไรหนักหนาคะ มายุ่งอะไรกับวาวนัก วัน ๆ ไม่ทำงานทำการหรือไง คอยตามหาเรื่องยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นเขาไปทั่ว” เธอทำเสียงไม่พอใจ จ้องมองใบหน้าของเขาอย่างไม่ลดละ
“พี่เป็นห่วง” เขาพูดแบบห่วงใย
“เป็นห่วงทำไม วาวมีงานทำ มีเงินใช้ ก็ไม่ได้ไปใช้เงินกระเป๋าเดียวกับคุณสักหน่อย” เธอสะบัดหน้าหนี ก่อนจะเดินไปหยิบเอาของที่ตัวเองตั้งใจจะมาซื้อ
พสุมองด้านหลังของเธออีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“แล้วไอ้เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวแบบนี้ พี่ว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมนะ ถ้าแต่งยั่วผู้ชายอยู่ที่ร้านมันก็โอเคอยู่ แต่ถ้าแต่งออกมาอวดประชาชีเขาแบบนี้มันก็ดูกระไร” เขาว่าให้เธอตรง ๆ แถมยังใช้สายตาตำหนิแบบปิดไม่มิด