4
“แล้วมันควรจะเป็นแบบไหนล่ะ” เกเบรียลถาม เขาลูบไล้ผิวเนียนนุ่มแทน เมื่อเห็นว่าหญิงสาวในอ้อมแขนไม่ได้มีท่าทางต่อต้านเขาอีกแล้ว
“ไม่...ไม่รู้” ภูตะวันส่ายใบหน้าไปมาบนหมอน ลมหายใจหอบพร่า สองมือวางบนบ่ากว้าง ของคนที่กำลังป้อนร่างกายเธอเข้าปากอย่างไม่ยอมให้มันหลุดรอดไปสักตารางนิ้ว
ความร้อนผ่าววนเวียนอยู่รายรอบทำให้เธอทำตัวไม่ถูก ได้แต่ปล่อยกายปล่อยใจ ไปกับสัมผัสที่สร้างความปั่นป่วนให้
ทรวงอกอิ่มสะท้อนขึ้นและลงตามแรงหายใจรัวเร็ว มือที่วางอยู่บนบ่าเริ่มเคลื่อนไหวตามเรือนกายใหญ่อย่างสะเปะสะปะสร้างความปวดร้าวให้กับเกเบรียลเป็นอย่างสูง
“เธอคงเพิ่งมาทำงานอย่างนี้ซินะ” เกเบรียลถามขณะเคลื่อนมือไล่ลงไปด้านล่าง ไล้วนบนหน้าท้องเนียนเรียบ ผิวเนื้อหญิงสาวเนียนนุ่มดุจใยไหมและหวานละมุนราวกับอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งดอกไม้ เรือนกายเธอช่างบอบบางนัก จนเขาถึงกับกลัวว่าถ้าเขาแตะแรงไปสักนิด มันจะบอบช้ำและเป็นรอย ปากหนาเคลื่อนตามมือใหญ่ลงไปเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไม่รุนแรง...จะค่อยๆ ถนอม ทำให้เธอมีความสุข”
ริมฝีปากร้อนราวกับถ่านไฟทาบทับกึ่งกลางท้องเนียนเรียบ มือใหญ่ปลดตะขอกางเกงของหญิงสาวออก สองมือช้อนระโพกและดันกางเกงออกไปอย่างช้าๆ ด้วยความยินยอมของหญิงสาวเอง ที่ตอนนี้ไม่รู้ตัวแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่
กางเกงหลุดลอยปลิวไปจากร่างเล็ก มือใหญ่ก็ฟอนเฟ้นสะโพกหนั่นแน่น โดยยังไม่แตะต้องบางส่วนของร่างกายหญิงที่อ่อนไหวที่สุด
เกเบรียลเคลื่อนตัวขึ้นไปมอบจุมพิตให้หญิงสาว บอกให้เธอช่วยเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกายบ้าง
ภูตะวันทำตามอย่างคนที่โดนมนต์สะกด เธอดันเสื้อสูทจนหลุดออกจากกายแกร่ง แต่กายใหญ่ก็ยังมีปราการอีกชิ้นปกปิดอยู่
“ไม่ต้องรีบก็ได้หนูน้อย เราสองคนยังมีเวลาอีกเยอะ” ชายหนุ่มพร้อมเสียงหัวเราะ เมื่อสาวน้อยใต้ร่างดึงเสื้อตัวใหญ่ออกอย่างแรง
ภูตะวันได้แต่ทำตามอย่างเงอะงะ เธอเริ่มแกะกระดุมเสื้อตัวชายหนุ่มออกอย่างช้าๆ
“อือ...” ร่างบอบบางแอ่นโค้งจนตัวงอ เมื่อฟันสีขาวขบกัดบนทับทิมผลหวาน มือเล็กหยุดชะงักและจับเสื้อตัวใหญ่ไว้จนแน่น เสียงครางหวานดังผะแผ่วออกจากปากอวบอิ่มให้ชายหนุ่มได้ยิน
มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วลำตัวเนียนจนถึงลำขาเสลา บีบนวดฟอนเฟ้นจนมันสั่นระริกและอ้าออกช้าๆ เชิญชวนให้ชายหนุ่มแตะต้องบางส่วนของร่างกาย แต่เกเบรียลกลับไม่ทำ เพราะต้องการทรมานหญิงสาวให้ต้องร้องเรียกหาแต่เขาคนเดียว
“ทำไมละคะ” ภูตะวันถามอย่างอารมณ์เสีย แต่เมื่อถูกเขาปลอบโยนด้วยจุมพิตหวานๆ เธอก็เลยคลายความน้อยใจลง หญิงสาวทำการปลดกระดุมเสื้อจนหมดและดันมันออกจากกายใหญ่จนสำเร็จ
ริมฝีปากเล็กๆ เคลื่อนไปตามลำตัวแกร่ง ตามที่ชายหนุ่มกระซิบบอก มือเล็กเคลื่อนไปตามลำตัวกว้าง กายใหญ่ร้อนผ่าวและแข็งแกร่งด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แล้วยังมีความสากระคายกับไรขนบนแผงอกกว้าง
เกเบรียลบดขยี้ริมฝีปากหนาบนเรียวปากนุ่ม กายหนาเสียดสีกับลำตัวบอบบางและเนียนนุ่ม และส่งมือไปทำความรู้จักกับกายน้อยๆ และบอบบาง แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องส่งเสียงร้องราวกับสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บ เมื่อได้สัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมที่ปกปิดกายเล็กอยู่
เธอทำให้เขาร้อนจนทนไม่ไหว อยากจะเห็นและสัมผัส...
ชายหนุ่มถลาตัวขึ้นจากลำตัวบอบบาง สายตาคมดุลากไปหยุดระหว่างกลางลำตัวของหญิงสาว แล้วก็ต้องสบถอย่างหัวเสีย
“แม่ง...อะไรวะ มาทำงาน แต่ดันมีอย่างว่า”
ชายหนุ่มถึงกับต้องไประงับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นราวกับไฟกำลังไหม้ในห้องน้ำ ปล่อยให้น้ำเย็นๆ ราดรดเรือนกาย ขณะกำหมัดแน่นทุบลงไปบนฝาผนังห้องและเปล่งเสียงแหบพร่าดังลั่น
ภูตะวันลุกขึ้นนั่งอย่างงงๆ เธอมองตามร่างใหญ่ที่หายลับไปแล้วย้อนกลับมามองตัวเอง ใบหน้านวลร้อนผ่าวเมื่อเห็นรอยช้ำสีแดงๆ อยู่เต็มร่างกาย พร้อมกับสติที่หายไปเริ่มกลับมา
“ตายแล้ว!”
หญิงสาวรีบลุกจากเตียงถลาไปเก็บเสื้อผ้ามาใส่อย่างรีบเร่ง ต้องทำให้เสร็จก่อนที่ชายคนนั้นจะออกมา ถึงแม้ว่าหลังจากนี้เขาจะทำอะไรเธอไม่ได้เพราะเธอมีอย่างว่า แต่จะแน่ใจได้ยังไงกันล่ะว่าเขาจะไม่ทำอย่างเมื่อครู่กับเธออีก ดูแล้วเขาไม่น่าจะเป็นคนยอมแพ้อะไรง่ายๆ นี่นา
คนอะไรก็ไม่รู้ เพิ่งจะเจอหน้ากันแท้ๆ ก็รังแกเอา ส่วนเธอนี่ยิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่ นอกจากทำอะไรไม่ถูกแล้วยังจะยินยอมให้เขาทำอะไรบ้าๆ โดยไม่ขัดขืน แค่นั้นยังไม่พอ บ้าพอให้ความร่วมมือไปด้วย
โอ๊ย! น่าอายชะมัด ถ้าใครมารู้เข้า เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ลูกสาวสุดหวงของคุณปฐมภู บริรักษ์ ดันกลายมาเป็นสาวร้อนรัก ทอดตัวให้ชายที่เพิ่งจะเห็นหน้าเพียงครั้งแรกเชยชม ถึงบิดาจะไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่อย่างน้อยท่านก็มีหน้าตาในสังคมเมืองไทย ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไม่มีคนรู้จัก
ภูตะวันใส่เสื้อผ้าเสร็จพอดีกับที่ชายร่างใหญ่นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ
สายตาสองคนสบกัน แต่ความกล้าแกร่งและดุร้ายของชายหนุ่ม ทำให้ภูตะวันต้องรีบหลบ หญิงสาวก้าวถอยหลังช้าๆ เมื่อเห็นว่าเขาเดินตรงมาที่เธอ
“ยะ...หยุดตรงนั้นเลยนะคุณ มะ...ไม่ต้องเดินเข้ามา” หญิงสาวชี้นิ้วสั่นๆ บอกไปด้วยความกลัวและตกใจ หัวใจที่เต้นอ่อนลงเมื่อครู่ เริ่มที่จะเต้นแรงและเร็วราวกับวิ่งทางไกลมาอีกระลอก
“จะแต่งตัวไปไหน” เกเบรียลถาม เขายังคงเดินเข้ามาหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
ภูตะวันไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางก็ลอยหายไปอยู่บนเตียงใหญ่อีกครั้ง ราวกับว่าร่างกายที่มีน้ำหนักถึง 45 กิโลกรัมเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ
ภูตะวันอ้าปากค้าง มองชายที่คร่อมอยู่เหนือกายตน
“ปะ...ปล่อยฉันนะคุณ” หญิงสาวบอกเสียงสั่น เธอกลายเป็นคนติดอ่างไปในทันที เมื่อสบกับสายตาคมดุพราวระยับ
“ทำไมฉันต้องปล่อยเธอด้วย...สาวน้อย” เกเบรียลมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ใบหน้าเรื่อยลงไปตามเรือนกายที่เมื่อครู่เขาได้แตะต้องและเกือบจะได้เป็นเจ้าของอยู่แล้ว
“เธอมาทำงานให้ฉันไม่ใช่หรือไง”
“งาน...งานอะไรคะ?” หญิงสาวถามกลับอย่างงงๆ
“อ้าว...คิดว่าจะโก่งอัพค่าตัวเพิ่มหรือไงกัน อย่าคิดนะ ถึงจะสดๆ ซิง ๆ แต่เมื่อตกลงราคากันแล้ว ฉันก็ไม่คิดจะให้เพิ่มหรอกนะ”
ชายหนุ่มจับมือเรียวตรึงไว้เหนือศีรษะ อีกข้างก็ลูบไล้เรือนกายนุ่มอย่างพอใจ แม้เหตุเมื่อครู่จะให้เสียอารมณ์ไปบ้าง แต่หญิงสาวหวานที่จะอภัยกันได้ อีกอย่าง แม่สาวน้อยตรงหน้ายังไงก็หนีไม่พ้นมือเขาอยู่ดี
“คุณว่าอะไรนะคะ”
ภูตะวันคิดตามคำพูดของชายหนุ่ม แล้วก็ต้องให้เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง เธอสบกับดวงตาคมดุแล้วก็ส่ายศีรษะ
“ปะ...เปล่านะคะ ฉันไม่ได้ทำงานอย่างว่า ฉัน..ฉันแค่เข้ามาหลบคนร้าย ที่กำลังตามล่าตัวฉันอยู่เท่านั้นเอง” หญิงสาวบอกเสียงสั่น
เกเบรียลเลิกคิ้วสูง มองแม่นักปั้นเรื่องตรงหน้าแล้วก็ส่ายศีรษะให้ เขารู้ว่าผู้หญิงแต่ละคนจะมีเทคนิคและวิธีการเรียกร้องความสนใจจากเขาแตกต่างกันไป แต่ไม่คิดว่าแม่สาวน้อยที่เขายังไม่รู้จักชื่อ จะสร้างเรื่องโลดโผนได้เก่งขนาดนี้
“คุณเชื่อฉันนะคะ” ภูตะวันย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นความไม่เชื่อใจในแววตาดุคม “ฉัน...ฉันหนีเขามาจริงๆ “
“ทำไมเธอต้องหนีเขาด้วยละ”
“ฉันไม่รู้ อยู่ดีๆ พวกนั้นก็วิ่งตามฉันมา”
“เธอสร้างเรื่องเก่งนะสาวน้อย แต่โทษที เผอิญว่าฉันไม่เชื่อ ว่าแต่เราก็คุยกันมานานแล้ว ชื่อฉันเธอคงจะรู้จักแล้ว แต่ชื่อเธอฉันยังไม่รู้จักเลย แล้วฉันจะได้เรียกถูกได้ไงกัน”