ตอนที่ 1
1
“เฮ้ย!! มันอยู่นั่น ตามจับตัวให้ได้”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำ สวมหมวกใบโตและแว่นตาสีดำปกปิดใบหน้า ชี้มือชี้ไม้ไปที่ร่างบอบบางที่ยืนอยู่อีกฝั่งของถนน
“ที่นี่สวยจริงๆ ” ภูตะวันกดชัตเตอร์รัวเร็วอย่างไม่ยั้งด้วยความสุข เพราะได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ และเบิกบานใจเพราะสามารถหนีงานหมั้นกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ที่เธอไม่เคยแม้จะได้ยินชื่อ รู้จักหรือว่าเคยเห็นหน้ามาได้
สาวน้อยละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยความงงงัน เมื่อหูแว่วได้ยินเสียงร้องตะโกนดังลั่นและชี้มือชี้มาตรงที่เธออยู่ยืน
“พวกนั้นชี้มาทางเราหรือเปล่านะ”
ภูตะวันเหลียวซ้ายแลขวาดูว่ารอบๆ กายมีอะไรผิดปรกติหรือไม่ ก็ไม่เห็นมี ใกล้ๆ กับที่เธอยืนอยู่ก็ยังมีผู้คนบ้างประปราย แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าเธอกำลังจะมีปัญหาที่...ใหญ่เสียด้วย
“พวกนั้นหมายถึงเรานี่น่า” เธอเย็นวาบที่แผ่นหลัง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ด้วยความตกใจและหวาดกลัว เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองของตัวเอง หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ กว่าจะเคลียร์ได้คงจะต้องใช้เวลานาน ดังนั้นทางที่เลือกคือ...หนี!
ถึงแม้จะยังไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ ว่าที่ยินได้เห็นเมื่อครู่นั้น เพราะเธอหูฝาดตาฝาดไปหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็สาวเท้าถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ เพื่อเตรียมพร้อมไว้ก่อน แล้วเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทพวกนั้นจ้องมา ชายพวกนั้นมองซ้ายมองขวาและข้ามถนนมาฝั่งที่เธอยืนอยู่ ทำให้ภูตะวันเริ่มหวาดกลัว รีบหันหลังเดินไปอย่างรีบเร่ง
เหมือนกับว่าคนพวกนั้นจะรู้ว่าเธอรู้ตัวแล้ว จึงตะโกนบอกกันพร้อมกับที่ร่างบึกบึนวิ่งมาที่เธอ
ภูตะวันรีบใส่เกียหมาให้เท้า ออกตัววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว แต่เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ อีกทั้งไม่ชำนาญเส้นทางด้วย การหนีเลยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หญิงสาววิ่งหลบเข้าไปในซอย แต่คงจะเป็นคราวซวย เพราะซอยที่เธอวิ่งเข้ามานี่ตัน ใบหน้านวลชื้นไปด้วยเหงื่อเหลียวมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก
“ไปทางไหนดีล่ะเรา”
โชคของเธอยังคงจะไม่แย่มากนัก เมื่อมุมหนึ่งของซอยมีช่องให้คนตัวเล็กๆ อย่างเธอได้หลบซ่อนตัว ภูตะวันรีบวิ่งเข้าไปแอบอย่างรวดเร็ว หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เพราะกลัวว่าแม้แต่การหายใจจะทำให้คนพวกนั้นได้ยิน ในใจก็เฝ้าภาวนาอย่าให้คนพวกนั้นได้เจอ
‘พ่อจ๋าแม่จ๋า พี่ลูกจันทร์ช่วยตะวันด้วยนะ ตรีช่วยตะวันด้วย ตรีมารับตะวันเร็วๆ นะ’
แต่ภูตะวันลืมไปว่าพอลงจากเครื่องบินได้ เธอก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบโต เดินออกจากสนามบินด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง รื่นรมย์จนลืมแวะตู้โทรศัพท์ เพื่อที่จะโทรบอกตรีประดับเพื่อนรักและญาติสนิทเลยให้มารับ
“เฮ้ย!! มันหายไปไหนแล้ววะ เร็วยิ่งกว่าลิงอีก พวกมึงตามหาให้เจอนะโว้ย ถ้าไม่เจอ คุณหนูเอาเราตายแน่”
สิ่งที่ทำให้ภูตะวันกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นก็คือ คำสั่งจากน้ำเสียงแข็งกร้าวและดุดันที่ดังแว่วมาเข้าหู ใบหน้านวลชื้นไปด้วยเหงื่อ หัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อหนึ่งในคนพวกนั้นกำลังเดินมาใกล้จุดที่เธอซ่อนตัวอยู่ แล้วก็ต้องโล่งใจเหมือนเห็นว่าถูกมองผ่านเลยไป
‘คนพวกนี้ตามไล่จับเราทำไมนะ’
ภูตะวันได้แต่คิดด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเธอเพิ่งจะลงจากเครื่องบินได้ไม่ทันจะถึงชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำ มาถึงก็มัวแต่ถ่ายรูปจนไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด แล้วที่เลือกมาทางนี้ เพราะมันคือทางผ่านไปบ้านตรีประดับและอาภารวี อาสาวที่ได้สามีเป็นคนที่นี่ จึงเลือกตั้งรกรากด้วยการเปิดร้านอาหารไทย และเธอเพียงต้องการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง แต่กลับถูกใครก็ไม่รู้ไล่ล่าเอา
หญิงสาวแอบมองชายหนุ่มร่างใหญ่ทั้งสี่คนที่กำลังเดินตามหาเธอเสียให้ควัก ดูเหมือนว่าหนึ่งในคนพวกนั้นจะตาไว หันมาสบตากับเธอเข้าจังๆ ทำเอาภูตะวันหัวใจหล่นไปกองที่ปลายเท้า ต้องรีบออกจากที่ซ่อน และวิ่งหนีอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภูตะวันวิ่งหนีจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ยังดูเหมือนว่าเจ้าคนพวกนั้นก็ยังคงวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละเช่นกัน ตอนนี้พวกนั้นก็วิ่งใกล้เข้ามาแล้วด้วย ทำเอาหญิงสาวร้อนใจ เธอเหลียวมองซ้ายขวาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเร่งเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตอีกครั้ง
“ฉันจะไปทางไหนดี...ไปไหนดี”
หญิงสาวคิดพลางวิ่งพลาง จนเหนื่อยหอบแทบจะก้าวขาไม่ไหวแล้ว แต่เพราะต้องการเอาตัวรอด เธอจึงต้องสอดส่ายหาทางหนีที่ไล่ ราวกับพระมาโปรดเมื่อบ้านหลังหนึ่งประตูเล็กของบ้านเปิดแง้มไว้
ภูตะวันเหลียวมองซ้ายขวาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่ง ก็รีบแทรกตัวเองเข้าไปอย่างไม่รีบรอ
แต่ก็ยังมีปัญหาอีก เมื่อบริเวณรั้วบ้านที่เธอยืนอยู่นั้นไม่มีที่ให้หลบซ่อนเลย พวกที่ตามจับตัวเธอก็กำลังวิ่งเข้ามาเกือบจะถึงตัวอยู่รอมร่อ
ภูตะวันตัดสินใจวิ่งตัวปลิวเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่อยู่เบื้องหน้า เธอคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องเอาตัวรอดจากคนพวกนั้นให้ได้
หญิงสาวยื่นมือไปเปิดประตูออก แล้วเธอก็ต้องหน้าเสีย เพราะประตูบ้านล็อก
“เอายังไงดีละทีนี้”
มีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ไข ภูตะวันเลือกที่จะวิ่งเลยไปด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามีที่พอให้หลบซ่อนกายได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นโชคดีของเธอด้วย เมื่อหน้าต่างห้องบานหนึ่งเปิดแง้มไว้ อย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้วนอกจากจะต้องเอาตัวรอดให้ได้ หญิงสาวรีบกระชากหน้าต่างออก แล้วก็ถลากายพาร่างบอบบางเข้าไปในห้องนั้นทันที
ภายในห้องนั้นมืดสนิท แต่ก็เปิดแอร์ไว้อย่างเย็นฉ่ำ จนภูตะวันถึงกับต้องรีบยกมือลูกแขนทันที เพราะความเย็นที่แตะต้องร่างกาย
หญิงสาวรีบปรับสายตาให้ชินกับความมืดของห้อง แสงสว่างยังพอมีให้เห็น เธอรู้สึกสะดุดใจกับเตียงนอนที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ก่อนจะต้องรีบหาที่ซ่อนอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่า คนพวกนั้นยังตามหาเธออยู่หรือเปล่า
“ซ่อนที่ไหนดีล่ะนี่” หญิงสาวพึมพำ ห้องออกจะกว้าง แต่ไม่มีที่ให้เธอซุกซ่อนกายได้เลย
หญิงสาวคว้าเอากระเป๋าสะพายบนหลังซ่อนไว้ใต้เตียงนอน ก่อนตัวเองจะขึ้นไปนอนบนเตียง เอาผ้าห่มนวมผืนหนาปกคลุมกาย ให้เหมือนกับว่าผ้าห่มผืนนี้คลุมหมอนข้าง เธอหลับตาปี๋ พร้อมกับคำภาวนา ขอให้คนที่ตามล่าเธออยู่นั้นรีบสลายตัวไปอย่างเร็วที่สุด
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าจากการต้องวิ่งหลบหนีใครก็ไม่รู้ บวกกับอ่อนเพลียจากการเดินทาง ลมหายใจหญิงสาวเริ่มแผ่วเบาเป็นจังหวะ แม้จะพยายามดึงสติที่มีอยู่มาแทนที่ แต่เธอทนกับความง่วงที่เกิดขึ้นไม่ได้ ภูตะวันก็หลับสนิทไปทั้งที่ใจยังคงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ลุงปาโก้มีอะไรให้ผมเซ็นอีกหรือเปล่า” เกเบรียลถามลูกน้องวัยคราวพ่อที่ยื่นเอกสารสำคัญให้เซ็น ก่อนที่เขาจะเดินทางไปดูงานตามสาขาต่างๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือนและถือโอกาสนี้เดินทางไปเยี่ยมคุณย่าที่เกาะส่วนตัวอีกประมาณหนึ่งถึงสองอาทิตย์ด้วย
ปาโก้เป็นลูกน้องคนสนิทของบิดามาก่อน จนเมื่อท่านปลดระวางแต่ชายชราคนนี้ไม่อยากอยู่เฉยๆ เลยขอมาทำงานกับเขาต่อ ซึ่งเขาเองก็ยินดีที่จะได้คนดีมีฝีมือมาดูแลงาน อีกทั้งยังสอนสั่งประสบการณ์ที่มีให้ จนถึงตอนนี้บริษัทที่เขาดูแลอยู่ ได้กลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ส่วนหนึ่งก็มาจากชายนามปาโก้ที่นั่งยิ้มให้อยู่นี่แหละ
“งานที่จะเซ็นไม่มีแล้วครับ ที่มีก็คงจะเป็นเรื่องงานที่บอสกำลังเสนอตัวเข้าประมูลนั่นแหละครับ ได้ข่าวมาว่าทางบริษัทของเราเป็นตัวเองเก็ง จนหลายคนเริ่มจะไม่ชอบใจ คอยหาเรื่องใส่ไฟ เพื่อกำจัดบอสออกจากการประมูลครั้งนี้แล้วนะครับ” ปาโก้บอกอย่างคนที่มักวิตกกังวลใจง่ายๆ
“ผมเองก็ได้ข่าวแว่วๆ มาเหมือนกันครับลุง เลยคิดว่าจะใช้การเดินทางครั้งนี้เป็นข้ออ้าง เพื่อทำการสำรวจข้อมูลไปในตัวด้วย แต่คนที่เหนื่อยคงจะต้องเป็นลุงนั่นแหละครับ” เกเบรียลลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานไปยืนที่กระจกใส มองออกไปด้านนอกที่เป็นอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง
“ไม่ว่าจะยังไง ผมก็จะไม่ยอมแพ้หรอกครับลุง งานที่เราทำ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อทุกๆ คน” เกเบรียลบอกให้ปาโก้เชื่อใจ