บทที่ 4 เริ่มพัฒนา

1958 คำ
บทที่ 4 เริ่มต้นพัฒนา วันถัดมาชิงเหยียนยืนมองเหล่าทหารช่วยกันถอนดอกไม้ที่ตายออกรวมถึงบัวในสระด้วยกว่าจะเสร็จก็ช่วงสายแล้ว “ฮองเฮาไปนั่งก่อนไหมเพคะ” เมื่อเห็นเหงื่อไหลตามกรอบหน้าสวยนางกำนัลก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงแม้ว่าจะอยู่ในร่มแต่ความร้อนก็ยังสาดเข้ามาจนใบหน้างดงามแดงระเรื่อ ชิงเหยียนส่ายหน้าเขาเป็นชายแดดแค่นี้ความจริงไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไรเลยแต่ร่างนี้มันบอบบาง สายลมพัดมาเบา ๆ ช่วยปัดเป่าความร้อนให้กับเหล่าทหารชิงเหยียนยิ้มอย่างพึงพอใจ “ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก” หลังจากเสร็จชิงเหยียนก็เอ่ยขึ้น เหล่าทหารเกร็งตกใจไม่คิดว่าองค์ฮองเฮาจะเอ่ยคำนี้ออกมามันเป็นคำที่ทหารธรรมดาอย่างพวกเขาไม่ควรค่า “อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะพวกกระหม่อมยินดี” หัวหน้าทหารเอ่ยอย่างนอบน้อมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มารับใช้ฮองเฮาอย่างใกล้ชิดแค่นี้พวกตนก็เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้แล้ว หลังจากเหล่าทหารแยกย้ายกันแล้วชิงเหยียนก็ใช้เวทน้ำกับเวทไม้พรมไปตามดินทำให้เหมือนฝนตกเป็นบริเวณกว้างไปทั้งวังทำให้เหล่าคนในวังต่างทำหน้างุงงงทั้งที่เมื่อกี้ยังไม่มีฝนแถมตอนนี้ท้องฟ้าก็สดใส ผ่านไปหนึ่งก้านธูปชิงเหยียนมองผลงานตัวเองอย่างพอใจก่อนจะหันไปบอกให้นางกำนัลที่ทำหน้างงให้เอาเมล็ดที่ท่านเฉินกงเอามาให้ไปโรยให้ทั่ว “หวังว่าจะได้ผลนะ” เพราะไม่เคยทำจริงมาก่อนเขาเลยไม่รู้ว่าตอนนี้พลังของตัวเองไปถึงระดับไหนแล้วบางทีประมาณอาทิตย์หนึ่งดอกไม้ใหม่น่าจะเกิดขึ้นมา ตอนแรกชิงเหยียนคิดว่าจะทำสระบัวเลยแต่ว่าเปลี่ยนใจหลังจากเอาบัวที่ตายออกในสระแทบไม่มีน้ำเหลืออยู่เลยคงต้องรอให้ฝนตกลงมาตามธรรมชาติ ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาบรรยากาศในวังเปลี่ยนไปดอกไม้หลายสีแบ่งบานอวดโฉมส่งกลิ่นหอมไปทั่ว สระบัวน้ำเต็มดอกบัวสีชมพูและสีขาวบานไปทั้งสระดูสดใสต่างกับตอนที่เขามาช่วงแรก ๆ พอเห็นแบบนั้นชิงเหยียนก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข “อาหนิง เจ้าว่าเราจะปลูกต้นท้อตรงไหนดี” ชิงเหยียนหันไปถามนางกำนัลคนสนิทด้วยรอยยิ้มเพราะพึ่งได้ต้นกล้าท้อมาเกือบ 10 ต้นมาจากท่านเทพตอนนี้เขาเลยมีความสุขสุด ๆ ท้อสวรรค์ต้องอร่อยกว่าท้อทั่วไปเป็นแน่แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว!! “ปลูกที่ข้างสระบัวดีไหมเพคะ” อาหนิงยิ้มตามผู้เป็นนายตลอดอาทิตย์ที่อยู่รับใช้ รับรู้ได้ว่าฮองเฮารักวังนี้พยายามพัฒนาจนวังกลับมาสดใสทำให้นางรู้สึกมีแรงไม่ใช่แค่นาง นางกำนัลขันทีและทหารคนอื่น ๆ ก็มีรอยยิ้ม ทุกคนต่างเห็นฮองเฮาลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตัวเองบางครั้งก็เปื้อนดินกับพวกตนอย่างไม่รังเกียจยิ่งทำให้คนในวังรักและเอ็นดูจากใจจริง “ความคิดดีงั้นเราไปปลูกกันเถอะ” “เอ๋ ไม่ให้ทหารช่วยหรือเพคะ” แม้ว่าตลอดจะเห็นฮองเฮาชอบทำนั่นนี่ด้วยตัวเองแต่ก็อดแปลกใจทุกครั้งไม่ได้ “แค่นี้เอง สบาย ๆ เราไปกันเถอะ” ไม่ว่าเปล่าชิงเหยียนหอบต้นท้อเดินไปบริเวณข้างสระบัว อาหนิงช่วยขุดเป็นหลุมก่อนจะลงต้นใช้เวลาหนึ่งชั่วยามก็เสร็จเรียบร้อยแต่ละต้นห่างกันพอสมควร แผนที่ชิงเหยียนคิดไว้คือหลังจากที่พัฒนาวังเสร็จจะออกไปดูที่ข้างนอกแคว้นหยางมีเมืองทั้งหมด 20 เมือง เรียกได้ว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับแคว้นอื่นที่มีอย่างน้อย 30 เมือง เมืองเย่เป็นเมืองใกล้วังมากที่สุดเป็นเมืองหลวงเป็นเมืองที่เจริญที่สุดในแคว้นหยาง แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ใกล้ที่สุดแต่ก็ต้องใช้เวลานั่งรถม้าประมาณหนึ่งชั่วยามถ้าไปยามปกติคงใช้เวลาประมาณนั้นแต่สำหรับชิงเหยียนด้วยเวทลมเขาสามารถไปถึงได้ในไม่ถึงก้านธูป “ออกไปสองคนแบบนี้จะดีจริง ๆ หรือเพคะ” อาหนิงพูดอย่างกังวลการออกไปนอกวังโดยไม่มีผู้คุ้มครองเสี่ยงอาจจะมีคนไม่ประสงค์ดีเข้ามาทำร้ายเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง “ไม่เป็นอะไรหรอก เราไปกันเถอะเกาะดี ๆ นะอาหนิง” “ว้ายยยย ฮองเฮา” แรงลมตีหน้าพร้อมเสียงกรีดร้องของอาหนิงทำให้ชิงเหยียนหัวเราะอย่างชอบใจปล่อยให้สายลมพัดพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้ถึงเมืองก็ลงจอดบริเวณที่ไม่มีคน “แฮ่ก ๆ อาหนิงจะเป็นลมแล้วเพคะฮองเฮา” อาหนิงทั้งร่างอ่อนแรงทรุดลงไปกับพื้นใบหน้าซีดอย่างน่าสงสารจนชิงเหยียนอดเป็นห่วงไม่ได้ “โอ๋ ๆ เราขอโทษนะอาหนิง” สีหน้าสำนึกผิดเหมือนเด็กน้อยทำให้อาหนิงหัวเราะออกมาใบหน้างดงามยามสำนึกผิดช่างดูน่ารังแกยิ่งว่าแล้วทำไมฮองเฮาถึงได้ชอบแกล้งตนนักมันคงรู้สึกสนุกแบบนี้ “คิคิ ข้าล้อเล่นเพคะ” “อาหนิง เจ้านี่นะ เราไปกันเถอะ หลังจากนี้ เจ้าไม่ต้องใช้คำเป็นทางการกับเราก็ได้เราอนุญาตให้เข้าใจคำว่าเจ้าค่ะ” “จะดีหรือเพคะแบบนั้นมันไม่เหมาะสม” “เอาเถอะเราไม่ว่า” “เจ้าค่ะ” ชิงเหยียนยิ้มก่อนจะเดินนำออกไปอย่างตื่นเต้นร้อนให้อาหนิงวิ่งตามอย่างลนลาน เมื่อเดินเข้ามาก็เจอชาวบ้านจับจ่ายใช้สอยมีคนเดินเยอะกว่าที่คาดไว้ “มาจ้า รับเนื้อสด ๆ ไหมจ๊ะจานละ 2 ตำลึงเงินเท่านั้นจ้า” เสียงแม่ค้าเรียกความสนใจ ชิงเหยียนหันไปมองเห็นเนื้อสีแดงถูกใส่ไว้ในจานชิ้นขนาดแค่ 2 กำปั้น “อาหนิง 2 ตำลึงเงินมันแพงไหม” ค่าเงินของที่นี่ 1000 ตำลึงแดง เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน 1000 ตำลึงเงินเท่ากับ 1 ตำลึงทอง “แพงมากเจ้าค่ะ ชาวบ้านธรรมดาถ้าทำงานจะได้เดือนละ 5 ตำลึงเงินเท่านั้น” ชิงเหยียนพยักหน้าถ้าชาวบ้านธรรมดาจะซื้อคงต้องเสียเงินไปหลายส่วน เขาหันไปตามเสียงร้านซาลาเปาป้ายเขียนว่าลูกละ 5 ตำลึงแดง นับว่าถูกเขาเดินเข้าไปหา “สวัสดีจ้าแม่นางรับอะไรดีจ๊ะ” ใบหน้างดงามเป็นที่สนใจของฝูงชนแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากแต่กลับโดดเด่นเป็นจุดสนใจ “ท่านป้าขายยังไงขอรับ” “มีซาลาเปาแป้งราคา 5 ตำลึงแดง ซาลาเปาเนื้อ 100 ตำลึงแดงจ้า” “ข้าเอาอย่างละ 5 ลูกขอรับ” ไม่แปลกใจที่ราคาจะต่างกันในเมื่อเนื้อราคาแพงขนาดนี้หลังจากจ่ายเงินชิงเหยียนก็เดินออกจากหน้าร้าน “ฮอง..พี่ชิง ท่านจะไปที่ใดต่อ” อาหนิงเผลอเรียกก่อนจะเปลี่ยนเราตกลงกันว่าจะไม่เรียกแบบนั้นข้างนอกตอนนี้อาหนิงเป็นน้องสาวของชิงเหยียนไม่ใช่นางกำนัลในวัง “เราว่าจะไปดูร้านข้าวสารน่ะ อันนี้อาหนิงชิมสิอร่อยนะ” ชิงเหยียนยื่นซาลาเปาไปให้ อาหนิงรับมาด้วยสีหน้าเกรงใจแต่ก็รู้ว่าถึงจะปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์ สองนายบ่าวเดินมาถึงร้านขายข้าวสารไม่เพียงแค่ข้าวแต่มีอย่างอื่นอีกมากมายทั้งคุ้นตาและไม่คุ้นตา “ท่านลุงข้าวสารขายอย่างไรรึ” “กระสอบละ 5 ตำลึงทองขอรับ” ชิงเหยียนเบิกตากว้างกระสอบข้าวไม่ใหญ่มากนักแต่ราคากลับแพงอย่างไม่น่าเชื่อ “ปกติชาวบ้านไม่นิยมทานข้าวเพราะมีราคาแพงเจ้าค่ะ” อาหนิงอธิบายเมื่อเห็นท่าทีอึ้งของผู้เป็นนายในวังข้าวมีให้ทานนับไม่ถ้วนแต่พวกมันราคาแพงคนที่ทานจะมีแค่เชื้อพระวงศ์และขุนนางพ่อค้าร่ำรวย “แล้วพวกเขาทานอะไรกัน” สมองของชิงเหยียนกำลังช็อตแม้ว่าจะยากจนแต่เขาไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้ “ส่วนมากจะกินมันต้มเป็นอาหารหลักเจ้าค่ะ ถ้าบ้านไหนยากจนมาก ๆ ก็กินแค่ผักต้มที่เก็บตามรอบ ๆ ป่า แต่เพราะเก็บได้แค่ป่าส่วนนอกชาวบ้านต่างก็แห่กันไปเก็บทำให้ผักเองก็มีน้อยถ้าจะเข้าไปลึกก็จะเจอสัตว์อสูร” แคว้นหยางเต็มไปด้วยป่าล้วนมีแต่สัตว์อสูรอันตรายชาวบ้านหลายคนต่างเอาชีวิตไปทิ้งเพราะความยากจนเสี่ยงเข้าไปในป่าลึกหวังจะเอาผักผลไม้มาขายบางคนก็โชคดีหนีรอดออกมาได้บางคนก็จบชีวิตอย่างโดดเดี่ยว พอได้ฟังชิงเหยียนก็รู้สึกหน่วงในใจเมื่อเทียบกับชาติที่แล้วแม้ว่าเขาจะเป็นประชาชนคนธรรมดาก็ไม่ได้ลำบากแต่ชาวบ้านที่นี่เหมือนไม่มีทางเลือกถ้าไม่ดิ้นรนก็อดตาย “แล้วทำไมไม่ปลูกข้าวเอง” “เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เลยแม่นาง” เถ้าแก่เจ้าของร้านพูดขึ้นใช่ว่าตนจะอยากขายแพงเอากำไรแต่เพราะตนก็รับมาแพงเหมือนกันกำไรได้แค่ไม่กี่ตำลึงเงิน “ข้าวเป็นพืชปลูกไม่ได้แม้ว่าชาวบ้านจะลองปลูกแต่ก็ตายตลอดไม่ว่าจะพยายามกันกี่ปีสุดท้ายก็ล้มเลิก ส่วนข้าวพวกนี้ต้องเข้าไปเก็บเกี่ยวในป่าลึกที่อันตรายเลยราคาแพงมากเพราะถ้าพลาดนิดเดียวก็เท่ากับตาย” ชิงเหยียนพยักหน้าอย่างใช้ความคิดเขานึกไม่ออกเลยว่าต้องปลูกยังไงข้าวถึงตายได้เพราะชาติที่แล้วการปลูกข้าวไม่ใช่เรื่องยากเลยเขาเองแม้ว่าจะไม่ได้มีนาของตัวเองแต่ว่าตั้งแต่เด็กจนอายุ 18 ก็รับจ้างหว่านข้าว ดำนา เกี่ยวข้าวสารพัดจนพอเรียนจบถึงได้ทำงานบริษัท “เถ้าแก่ทานพอจะรู้ไหมว่าใครเป็นคนปลูกข้าว” ถ้าอยากรู้สาเหตุก็ต้องไปดูด้วยตาตัวเองเท่านั้น “เรื่องมันก็หลายปีแล้วถ้าจำไม่ผิดหมู่บ้านไม่ไกลจากที่นี่เคยลองปลูกเจ้าลองไปถามพวกชาวบ้านดูเหมือนตอนนี้จะล้มเลิกเปลี่ยนมาปลูกมันขายแล้ว” เถ้าแก่บอกอย่างใจดีรู้สึกแปลกใจที่เกองดงามสนใจเรื่องการปลูกข้าวแบบนี้ “ขอบคุณขอรับ” ชิงเหยียนคำนับก่อนจะเดินออกไปอาหนิงคำนับตามเจ้านายวิ่งตามชิงเหยียนไปนางก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตอนนี้ฮองเฮากำลังทำอะไร “พี่ชิงเหยียนจะไปที่หมู่บ้านทำไมหรือเจ้าคะ” “แน่นอนว่าต้องไปหาต้นตอของปัญหา เราจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้” ใบหน้างดงามมุ่งมั่นสำหรับสิบเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่เพราะตอนเด็กเขารู้ดีว่าตอนไม่มีอะไรกินมันทรมานแค่ไหน ท้องร้องได้แต่กินน้ำดับหิวนอนขดตัวนิ่ง ๆ ร่างกายแทบไร้แรง มันทรมาน..เขาไม่อยากให้คนแคว้นนี้เป็นแบบนั้น!!!! -------------- พระเอกค่าตัวแพงนะคะ ตอนนี้ได้แต่มองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (มาเป็นเพลง ฮ่า ๆ)
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม