ไข่มุกเพียงแค่พยักหน้าทั้งที่ทางข้างหน้าดูยวบยาบจนต้องหยุดเดิน แต่อาการเหมือนบ้านหมุนก็ยังไม่หายไป มือข้างหนึ่งควานหากำแพงเพื่อจะพาตัวไปหาที่พิง แกรี่รีบเข้าประชิด
“ไม่ต้องค่ะ ไหว” ไข่มุกยกมือห้ามไม่ให้เขาประคอง ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดในกระเป๋าสะพายขึ้นมาสวม ใช้เลนส์แว่นสีดำบดบังดวงตาที่ตอนนี้ปิดสนิท คิดว่าพักสายตาสักนิดจะกลับมามองเห็นภาพเป็นปกติได้
“หมอต้าร์ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” เขมอัปสรซึ่งเดินออกมาจากห้องประชุมถามแกรี่ ชายหนุ่มยืนเอาแขนเท้าผนังไว้เหนือศีรษะไข่มุกซึ่งยืนกอดอกพิงผนัง เลขาฯ สาวสะดุ้งค้อมตัวหดคอเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของไข่มุก ใบหน้าเรียวเล็กยามมีแว่นกันแดดสวมอยู่และริมฝีปากอิ่มหุบสนิททำให้ไข่มุกดูเหมือนคนไม่พอใจอะไรบางอย่าง และราวกับกำลังจ้องเธออยู่ตลอด
“คุยเรื่องส่วนตัว” แกรี่ตอบโดยไม่หันไปมองหน้าเขมอัปสร เพราะตาเขายังจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวอีกคน “คุณรอเอกสารอยู่ใช่ไหม”
“ใช่ๆๆๆ ใช่ค่ะ” เขมอัปสรละล่ำละลัก
“เดี๋ยวผมเซ็นให้ อีกสองชั่วโมงขึ้นไปเอาที่ห้องผม”
“ค่ะ” เขมอัปสรรับคำแล้วค้อมตัวเดินแยกไป
คราวนี้แกรี่ยอมเสียเวลาเสี้ยววินาทีเหลือบไปมองให้แน่ใจว่าเขมอัปสรเดินไปไกลแล้ว...
“เคยได้ยินไหมครับ หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง แบบนี้พี่ว่าต้องดื่มถอนแล้วมั้ง” แกรี่พูดขำๆ ใส่หญิงสาวที่ยืนเชิดๆ แบบเริดๆ แต่ความจริงแล้วเธอยืนหลับตาแน่นข่มอาการเมาค้าง ซึ่งตบตาพี่ชายคนสนิทไม่ได้
“แค็กๆ” ไข่มุกยกมือขึ้นมาปิดปาก เมื่ออาการพะอืดพะอมเกิดขึ้นเธอหวังว่าการไอแรงๆ จะทำให้อาการดังกล่าวหายไป “แค็กๆ”
“อ้าว เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย พาไปห้องตรวจ 1 ได้นะคะ” หมอมิ้นต์ไม่ได้หวังดีอะไร แค่ไม่ชอบเห็นความใกล้ชิดของทั้งสองคนจึงเสนอห้องตรวจของตัวเอง
“ไม่เป็นไร หมอมิ้นต์รีบไปตรวจคนไข้เถอะ” แกรี่ปฏิเสธและไล่กลายๆ หมอมิ้นต์ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ แต่ก็จำต้องเดินไปปฏิบัติหน้าที่
“แค็กๆ”
แกรี่เห็นว่าคนที่เข้าประชุมเดินกลับไปหมดแล้ว ชั้นนี้จึงปราศจากผู้คน เขาจึงตัดสินใจทำบางอย่าง
“ขอโทษนะครับ” เพื่อไม่ให้สิ่งที่อยู่ในท้องของน้องพุ่งออกมาเปื้อนพื้น แกรี่จึงคว้ากระเป๋าบนไหล่ของเธอมาสะพายเสียเอง แล้วช้อนตัวน้องขึ้นมาก้าวดุ่มๆ ไปยังลิฟต์ส่วนตัว
“ปล่อยนะพี่ต้าร์ อุ้มมุกทำไม จะบ้าเหรอ มุกโตแล้วนะ” ไข่มุกดีดขา ดันตัวจะให้เขาปล่อย
“พี่ก็อุ้มของพี่มาตั้งแต่เด็ก พอโตก็โตด้วยกัน จะอุ้มน้องก็ไม่เห็นแปลก”
“มันดูไม่ดี” ไข่มุกเถียง
“ไม่มีอะไรจะดูดีไปกว่านี้อีกแล้วละครับ” เสียงทุ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ดีที่สุดในชีวิตพี่เลยครับ”
เขากดรหัสเรียกลิฟต์ส่วนตัว ไม่นานห้องโดยสารสี่เหลี่ยมก็เปิดออก แว่นดำของไข่มุกขยับตามแรงดิ้นจนเกือบจะหลุด เมื่อเขาไม่ปล่อย หญิงสาวจึงเอะอะอาละวาด
“พี่จะลองดีกับมุกใช่ไหม” เธอไม่ออมเสียงเมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์และเขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอลง
แต่แกรี่กลับตอบรับอย่างอารมณ์ดี “โดนอุ้มอยู่แบบนี้จะทำอะไรพี่ได้”
“อยากลองใช่ไหม!”
“อือฮึ”
ไข่มุกกระชากแว่นกันแดดราคาแพงที่เกะกะโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี เอาแขนสองข้างโอบไหล่หนาแล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไป ริมฝีปากอิ่มอ่อนนุ่มประทับบนลำคอแกร่ง
มันเป็นการตอบโต้ที่แกรี่ไม่ทันตั้งรับว่าจะมาในรูปแบบนี้
เด็กน้อยที่เคยใส่ฟันปลอมปกปิดฟันหลอๆ มากัดคอเขาแล้วบอกว่าตัวเองเป็นแดร็กคูล่าในวันนั้น ให้ความรู้สึกแตกต่างจากแวมไพร์สาวเจ้าเสน่ห์ในวันนี้โดยสิ้นเชิง
ความเสียววูบวาบพุ่งจู่โจมแกรี่ทันที ทุกเซลล์ประสาทในร่างกายลุกฮือพร้อมสู้ บางอย่างเครียดเขม็งอย่างรวดเร็วจนปวดหนึบ อยากโยนน้องลงพื้นก่อนที่จะอดทนไม่ได้ แต่แขนเจ้ากรรมกลับรัดร่างบางที่อุ้มไว้แนบแน่นเข้าหาลำตัว
ความอดทนในสนามฝึกบอดี้การ์ดแทบมอดไหม้เป็นผุยผงเพียงแค่คมฟันของไข่มุกฝังลงมาในลำคอเขา มันเจ็บจี๊ดพลุ่งพล่านแบบมีความสุข ริมฝีปากของผู้หญิงคนอื่นไม่มีสิทธิ์ยุ่มย่ามตั้งแต่ลำคอของเขาขึ้นไป แต่ริมฝีปากคู่นี้เขายินดีให้กัดให้ทั่ว ยิ่งเธอกัดย้ำๆ ฝังคมฟันลงมาลึกๆ เขายิ่งแทบสำลักความสุข นี่เขากลายเป็นพวกชอบความเจ็บปวดไปแล้วหรือไง
ส่วนคนกัดก็กัดแบบไม่พินอบพิเทา กัดไม่ปล่อย กัดจนได้รสเค็มคาวของเลือด ยิ่งได้ยินเสียงคำรามจากลำคอที่เกร็งจนเห็นเส้นเอ็นก็ยิ่งกัดจมเขี้ยว จนลิฟต์เปิดออกบนชั้นเพนต์เฮาส์ และร่างบางถูกวางลงนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก เธอจึงปล่อยริมฝีปากจากลำคอเขา
แกรี่ยังไม่ยอมถอยไป ความเจ็บปวดจากบาดแผลไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้บอดี้การ์ดสะดุ้งสะเทือน เขาเท้าแขนบนพนักโซฟาคร่อมร่างของไข่มุก จมูกโด่งคมอยู่แทบชิดใบหน้าน้อง สัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“เข้าใจคำว่าฝนตกตอนหน้าแล้งแล้วว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง” เขายิ้มหลังคำพูดนั้น ในขณะที่คนฟังช้อนตาโกรธกรุ่นมอง
“ยังไม่เข็ดเหรอ”