Chapter 5
พชรบีบเคล้นคลึงหนักเบาสลับกันไปตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในตัว ลำขาแกร่งสอดเกี่ยวขาเรียวให้กางออกพร้อมกับขยับตัวแทรกเข้าไปอีกครั้ง
ตะวันวาดสะดุ้งเฮือก รู้สึกเหมือนเนื้อตัวกำลังถูกฉีกขาดออกจากกัน สะโพกบางยกขยับหนีความแน่นตึงปวดร้าวตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด หน้าท้องเกร็งบิดไปมากับสิ่งที่ขยายตัวใหญ่โตอยู่ภายในร่างกาย นัยน์ตาสั่นระริกตื่นกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เธอยังจำครั้งแรกระหว่างเขากับเธอได้ดี ในวันที่เขามอบสร้อยแทนใจก่อนจากลา แต่พอกลับมาเจอกันครั้งนี้เขากลับทำลายสร้อยที่เธอหวงแหนมานับสิบปีอย่างไม่แยแสความรู้สึกเธอสักนิด
สะโพกผายของหญิงสาวถูกมือหนาของชายหนุ่มจับตรึงเอาไว้ เขาแช่ตัวนิ่งรอให้เธอปรับสภาพรับตัวตนของเขาอย่างใจเย็น ถึงจะรู้สึกผิดที่เขารีบร้อนกดร่างกายแนบเข้าไปในครั้งเดียว แต่นั่นเป็นเพราะเขาไม่อยากให้เธอต้อง
เจ็บนาน
“ยาหยี...ผมสัญญาว่าจะนุ่มนวล” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่มข้างหูอย่าง
ปลอบโยน ทำให้หญิงสาวคลายความกลัวและผ่อนคลายลง ริมฝีปากหนาประกบจูบอีกครั้งพร้อมกับเอวสอบที่เริ่มขยับอย่างนุ่มนวลตามที่เขาสัญญา
“ไม่ต้องเกร็ง ไม่งั้นคุณจะยิ่งเจ็บยาหยี เชื่อใจผมนะ”
หญิงสาวคล้อยตามในสิ่งที่เขาบอก ปล่อยตัวตามสบาย คิดถึงความรักที่เขากับเธอเคยมีให้กัน ความเจ็บปวดค่อยๆ เลือนหายไปแล้วแทนที่ด้วยความต้องการเติมเต็มของร่างกาย สะโพกผายเต่งตึงยกหยัดเรียกร้องให้เขาป้อนลีลารักอย่างลืมอาย สร้างความฮึกเหิมให้แม่ทัพหนุ่ม พร้อมจังหวะเร็วรี่ตอบสนองคำร้องขอเพื่อเร่งการเดินทางรักบนถนนดอกไม้ให้สุดทางฝัน
“ยาหยี!” เสียงกระซิบดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างบางมีปฏิกิริยาที่ส่งสัญญาณว่าเดินถึงสุดทางฝัน ชายหนุ่มจึงรีบเร่งเพิ่มจังหวะที่หนักหน่วงเพราะเขาเองก็พร้อมจะปลดปล่อย
“ขอบคุณสำหรับการบริการในค่ำคืนนี้ ร่างกายของเธอสามารถบำบัดความอยากได้อย่างดีเยี่ยม” หลังจากที่จบภารกิจ ความรู้สึกเดิมก็หวนกลับมาในสมองเขาอีกครั้ง ตอกย้ำว่าเขากลับมาเพื่อแก้แค้นและทำให้เธอเจ็บปวด หาใช่กลับมาทำให้เธอมีความสุข!
ชายหนุ่มพลิกตัวลงก่อนจะหันหลังให้ตะวันวาด ไม่มีอ้อมกอดอบอุ่น ไม่มีคำปลอบโยนอย่างเมื่อครู่ ไม่มีถ้อยคำหวานอย่างคนรัก มีแต่น้ำคำที่เทียบเท่ากับน้ำกรดทั้งถังราดรดบนหัวใจของหญิงสาว ให้แตกดับและเปื่อยยุ่ยอยู่ตรงนั้น
ตะวันวาดนอนมองแผ่นหลังหนาอย่างร้าวราน หยดน้ำตาร่วงพรูลงมา
อีกครั้ง ค่าของเธอในสายตาของคนที่เธอรักเป็นเพียงแค่สิ่งบำบัดความใคร่ เหลืออีกกี่ตำแหน่งเล่าที่เขาจะมอบให้เธอ
หญิงสาวพาร่างที่เจ็บร้าวก้าวลงจากเตียง หยิบชุดคลุมที่ตกอยู่มาสวม
ทับใส่ พร้อมกับควานหาสร้อยเส้นเล็กที่เป็นเหมือนดั่งดวงใจที่สวมติดกายไว้ทุกวันมานับสิบปี
ยังดีที่มีแสงส่องกระทบวัตถุมันวาว หญิงสาวจึงขยับก้าวไปหามันก่อนจะหยิบสร้อยที่ถูกทำลายขาดรุ่งริ่งขึ้นมากอดแนบอก สองขาขยับถอยร่นไปด้านหลัง จนสุดกำแพง สุดทางตันที่เธอจะถอยห่าง แผ่นหลังรูดลงกับแนวกำแพงเย็นเยียบพร้อมกับพิงศีรษะซบมันไว้อย่างนั้น
“ฮึกๆ” ตะวันวาดปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจกลั้น แม้พยายามเก็บเสียงสะอื้นไว้ในโพรงปาก แต่มันก็เล็ดลอดออกมาอยู่ดี
เสียงสะอื้นที่ดังเป็นระยะทำให้คนที่แกล้งนอนหลับปวดร้าวไม่แพ้กัน เพราะตัวเขาเองก็ไม่ใจร้ายมากพอที่จะทนเห็นเธอร้องไห้ได้ ทว่าสิ่งที่เขารับรู้มาก็ไม่อาจลบเลือนไปจากใจได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดของเขาในเวลานี้ก็คือนอนหันหลัง ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
กลางดึกพชรควานหาร่างนุ่มนิ่มทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท เขาอยากกอดเธอเอาไว้แนบอกใจแทบขาดตั้งแต่เมื่อคืน แต่หากต้องใจแข็งทนเก็บความต้องการเอาไว้ ทว่าสิ่งที่เขาคว้าได้กลับมีเพียงความว่างเปล่า คนที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงกับเขาหายไป ชายหนุ่มหรี่เปิดตาข้างเดียวมองอย่างงัวเงีย และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่กำลังมองหาก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียงทันที
ตะวันวาดนั่งพิงศีรษะหลับอยู่ตรงมุมห้องตั้งแต่เมื่อคืน มือยังเกาะกุมของรักอย่างหวงแหนไว้แนบอกทั้งที่เปลือกตาปิดสนิท บนแก้มนวลยังทิ้งรอยคราบน้ำตาให้เห็น
แสงของวันทำให้ชายหนุ่มสามารถมองเห็นริมฝีปากบวมเจ่อ อีกทั้งรอยแดงเป็นจ้ำที่เผยพ้นชุดคลุมออกมา คนผิวขาวอย่างเธอแค่มีรอยยุงกัดก็เห็น
ได้ชัดเจน
ชายหนุ่มก่นด่าตัวเองนับร้อยครั้ง ไม่รู้ตัวสักนิดว่าอารมณ์โกรธของเขาจะทำให้เธอเจ็บได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับยกมือแตะรอยที่เขาตีตราอย่างแผ่วเบา หากแต่คนหลับก็ยังรู้สึกตัวและถดตัวออกห่างทันทีที่เปิดตามองเห็น
ประกายความรู้สึกผิดฉายแวบในแววตาคมของชายหนุ่มเพียงครู่ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยภาพมารยาที่เขารับรู้มาตลอดหลายปีทำให้เขาพาลอีกครั้ง เขาไม่จำเป็นต้องสงสารผู้หญิงไร้หัวใจขาดสัจจะอย่างเธอสักนิด
“รักมันมากใช่ไหม ไอ้สร้อยเส้นนี้”
“ค่ะ...มันคือสิ่งที่อยู่กับฉันมาตลอดสิบปีไม่เคยห่าง สำหรับฉันมันมีค่ามาก แต่คนอื่นคงไม่ใช่” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ซ่อนความรู้สึกเอาไว้ข้างใน
“จะเรียกร้องความเห็นใจอะไรอีกล่ะ” ทั้งที่ห่วงและรู้สึกผิดแต่เขากลับพ่นคำร้ายๆ ทำลายจิตใจหญิงสาวอยู่ดี
หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมกับขยับลุกออกไปจากตรงนั้น ทว่าเธอกลับลุกเร็วเกินไปเลยทำให้หน้ามืดเซจนเกือบล้ม โชคดีวงแขนแข็งแรงเกี่ยวเอวบางเอาไว้ได้ทัน
“ปล่อยเถอะค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
น้ำเสียงเรียบและใบหน้านิ่งเฉยของคนพูดทำให้ชายหนุ่มยิ่งโมโหที่เธอไม่แยแส แต่ก็ยอมปล่อยตัวเธอและผลักออกเหมือนรังเกียจเสียเต็มประดา
“อย่ามาทำเป็นปากเก่งอวดดีกับฉันนะตะวันวาด”
“คุณอยากว่าอะไรก็ว่าไปเถอะค่ะ ฉันไม่มีแรงจะตอบโต้คุณแล้ว...หลีก
ทางด้วย”
หญิงสาวเดินเลี่ยงผ่านหน้าชายหนุ่มเข้าห้องน้ำไป ทั้งที่อีกคนก็ยังไม่ยอมขยับออกอย่างที่เธอขอ แต่เขาก็ไม่ได้ยึดรั้งเธอเอาไว้ และเพียงไม่นานคนที่เข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวกับอาบน้ำก็ออกมาอีกครั้งในสภาพเสื้อผ้าชุดเดิม พบกับอีกคนนั่งถือแก้วกาแฟอยู่ตรงริมระเบียง
“ฉันขอยืมเสื้อคุณใส่กลับไปได้ไหม ใส่ชุดแต่งงานกลับไปตอนนี้คงไม่เหมาะ”
ชายหนุ่มหันกลับมามองตาวาวอย่างโมโห วางแก้วไว้บนโต๊ะก่อนที่จะลุกก้าวเข้ามาหา
“ใครบอกว่าเธอจะออกไปจากที่นี่ได้ อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับไปหาใครหน้าไหน”
“ฉันมีงานต้องทำ และมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ หนีหายออกมาจากงานแต่งงานอย่างนี้คนอื่นๆ จะเป็นยังไง”
“ห่วงมันมากนักใช่ไหม”
“ใช่...ห่วง” หญิงสาวตอบไปตามความจริง หากสิ่งที่เธอห่วงกลับแตกต่างจากที่อีกคนคิด เพราะสิ่งที่เธอห่วงก็คือความรู้สึกกับชื่อเสียงของพวกท่านต่างหาก แต่กับเจ้าบ่าวของเธอ ทั้งเธอและเขาต่างรู้ดีว่าแต่งงานกันเพราะเหตุผลอะไร
“ดี...ยิ่งห่วงมันมากเท่าไร เธอก็จะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น ตะวันวาด” ชายหนุ่มบอกเสียงเข้ม
“คุณไม่มีสิทธิ์มากักขังฉันเพราะฉันแต่งงานแล้ว ได้ยินไหมว่าฉันมีสามีแล้ว”
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ขบแนวฟันปูดโปนระบายความโกรธ
“มีหรือไม่มีฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือเธอจะไม่มีวันก้าวออกไปจากที่นี่ได้ถ้าฉันไม่อนุญาต”
“ฉันต้องอยู่ในฐานะอะไร”
“นางบำเรอ!”
“คุณตอบแทนค่าการรอคอยสิบปีของฉันเพียงแค่นี้สินะ”
“มันมากไปด้วยซ้ำสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงเบาก่อนที่จะเดินออกไป หากมือหนาของเขากลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อน
“จะไปไหน”
“ไปหาที่ที่มีอากาศถ่ายเทหายใจโล่งๆ”
ชายหนุ่มมองอย่างไม่สบอารมณ์ที่โดนเหน็บ เขาฉุดข้อมือของหญิงสาวให้เดินกลับมาที่เตียง
“มานี่...หน้าที่นางบำเรอของเธอยังไม่จบ”