นางลุกไปล้างหน้าของนางแล้วก็ตรงไปที่โต๊ะที่จางซงหยวนนั่งรออยู่ กินอาหารด้วยกันเงียบๆ แล้วก็ออกไปยังด้านหลังของโรงเตี๊ยม นางเดินเลยไปยังทางออกแต่ก็ถูกแรงของจางซงหยวนดึงแขนของนางให้ตรงไปยังม้าสีดำตัวใหญ่ของเขา ยังไม่ทันได้อ้าปาก นางถูกยกจนตัวลอยขึ้นไปบนหลังม้าของเขา โดยมีจางซงหยวนตามขึ้นมาหลังจากนั้น เขาโอบกอดนางไว้แล้วพาเดินกลับไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
หลี่เยี่ยนถิงนั่งเงียบจนเห็นว่าเป็นเส้นทางคุ้นเคยแล้วนั้น นางกะระยะทางพอได้ว่าอีกไม่นานต้องผ่านตลาดค้าขายผักและเนื้อแล้วจึงจะลัดไปยังเส้นทางหลังพระราชวังได้ จึงเปิดปากพูดกับเขาดีๆ สักครั้งหนึ่ง
“หากข้าจะขออะไรท่านแม่ทัพสักอย่าง จะได้หรือไม่”
จางซงหยวนเงียบไปเป็นนานจนคนขอร้อนใจเอี้ยวไปมองเขา เห็นสายตาที่มองตอบมาก็ออกร้อนไปหมดทั้งใบหน้า เขาถึงได้ถามกลับนาง
“เรื่องใด”
“ท่านปล่อยให้เราลงตรงนี้ อย่าไปส่งเราไกลมากกว่านี้ให้คนอื่นเห็น”
“เหตุใดจึงไม่อยากให้ผู้อื่นเห็น
“ไม่เป็นการดีสักนิดหากผู้อื่นเห็นข้ากับท่านบนหลังม้าเช่นนี้”
พูดจบม้าก็ถูกกระตุ้น อ้อมกอดของจางซงหยวนเอาเปรียบนางอีกครั้ง
“ปล่อยข้าลง”
จางซงหยวนพาไปส่งถึงทางลัดหลังพระราชวัง เขายอมปล่อยนางลง แล้วหาที่ผูกม้าก่อนจะตามหลังนางไปห่างๆ องค์หญิงสามเดินหายไปยังทางลัดจนลับสายตาแล้ว จึงหันกลับไปยังเส้นทางเดิม พาตนเองเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้หลังจากนั้น
จางซงหยวนพาตัวเองเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันที แม้จะทรงประชุมอยู่กับเหล่าเสนาบดีเรื่องปากท้องของชาวบ้านและเรื่องทุจริตของนายอำเภอแห่งหนึ่งอยู่ แต่เมื่อได้ยินว่าแม่ทัพคนโปรดอย่างจางซงหยวนกลับมาถึงแล้วและกำลังรอเข้าเฝ้าพระองค์ก็รีบสั่งให้เลิกประชุมทันที จะเหลือก็เพียงอัครเสนาบดีเสิ้นที่ยังรอรายงานเรื่องด่วนอีกเรื่อง จึงนั่งรอที่ตรงนั้นด้วย รอให้จางซงหยวนเข้ามากลางโถงแล้ว เจียวกงกงรีบทำหน้าที่ของตนกล่าวความดีความชอบของจางซงหยวน ก่อนจะพูดถึงของกำนัลหลายอย่างที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้พร้อมด้วยเรื่องสุดท้ายนั่นคือพระราชทานอภิเษกสมรสระหว่างจางซงหยวนกับองค์หญิงเจ็ด
จางซงหยวนได้ยินของกำนัลที่มีมากมายมากกว่าคราวก่อนหลายเท่าตัวก็นิ่งเฉยไป สีหน้าแววตาดูไม่ได้มีความยินดีเลยแม้แต่เพียงนิดราวกับชินชาเสียแล้วกับข้าวของเหล่านั้น เขายกมือขึ้นคำนับพร้อมเอ่ยเสียงเรียบไม่ต่างจากใบหน้าและแววตา พลันตอบกลับไป
“กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แต่เกรงว่าจะรับไว้ไม่ได้ทั้งหมด”
“รับไว้ไม่ได้ทั้งหมดอย่างนั้นรึ ไหนเจ้าลองว่ามาซิซงหยวน มีอะไรที่เจ้ารับไว้ไม่ได้”
“การอภิเษกสมรสพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลี่ไห่ถงหรี่ตาลงจนกลายเป็นตาเหยี่ยวเมื่อได้ยินเสียงของแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์ นั่นไม่ใช่คำพูดขอร้องแต่อย่างใด แต่มันคือคำพูดสั่งการมากกว่า จางซงหยวนอยู่ในสนามรบมากจนลืมไปแล้วกระมังว่ากำลังคุยกับตนที่เป็นถึงองค์ฮ่องเต้ ไม่ใช่นายทหาร นายกองที่เป็นลูกไล่ของเขา
หากตนยอมให้คนใต้บังคับมาต่อรองด้วยแบบนี้ ผู้อื่นจะมองตนเป็นฮ่องเต้ได้อีกหรือ
“จางซงหยวน ข้ามอบบรรดาศักดิ์โหวให้เจ้าตั้งแต่อายุยังน้อย เลยทำให้เจ้าเหลิง ได้ใจแล้วจึงได้กล้าต่อรอง กล้าขัดคำสั่งของข้าอย่างนั้นหรือ”
“กระหม่อมมิบังอาจ”
“มิบังอาจอะไรของเจ้า! ในเมื่อเจ้ากำลังปฏิเสธพิธีอภิเษกสมรสที่ข้ามอบให้”
“กระหม่อมไม่ได้ปฏิเสธ กระหม่อมเพียงแต่ต้องการให้ฝ่าบาทประทานอภิเษกสมรสกระหม่อมกับองค์หญิงสามแทนที่จะเป็นองค์หญิงเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินว่าท่านแม่ทัพใหญ่ขอเปลี่ยนตัวภรรยา คิ้วหนาเข้มของฮ่องเต้หลี่ไห่ถังก็กระตุกระรัวติดๆ กันเลยทีเดียว
“จางซงหยวน นี่เจ้า!”
“ขอองค์ฮ่องเต้อย่าได้ทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียวกงกงรีบค้อมตัวลงขอให้องค์ฮ่องเต้อย่ามีอารมณ์ฉุนเฉียวคุกรุ่นด้วยโทสะแล้วกล่าวย้ำอีกครั้งด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “ขอพระองค์ทรงเย็นพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กล่อมทางนั้นไม่ทันเย็นลงดีก็หันมาบอกจางซงหยวน
“ท่านแม่ทัพจาง ได้โปรดน้อมรับราชโองการแต่โดยดีด้วยเถอะ”
จางซงหยวนมองจ้องตากับองค์ฮ่องเต้หลี่ไห่ถังแล้วเอ่ยด้วยวาจาเรียบเฉย หาได้มีแววหวาดกลัวหรือกริ่งเกรงแต่อย่างใด
“เหตุใดฝ่าบาทจึงอยากให้กระหม่อมแต่งงานกับองค์หญิงเจ็ด”
“เจ้า! นี่เจ้ายังจะต่อปากต่อคำกับเราอีกหรือซงหยวน”
“ขอฝ่าบาททรงโปรดไขข้อข้องใจเรื่องนี้ให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลี่ไห่ถังเสียอีกที่ออกจะเกรงใจแม่ทัพใหญ่อย่างจางซงหยวน ตนขึ้นมาในตำแหน่งนี้ได้ตอนนั้นก็เพราะได้จางซงหยวนช่วยเป็นกำลังอีกแรง หากไม่ใช่เพราะอดีตแม่ทัพคนก่อนคิดก่อกบฏและถูกจางซงหยวนฆ่าตายเสียก่อน ตนคงไม่มีวันนี้เช่นกัน เมื่อคิดทบทวนถึงเรื่องราวครั้งนั้นได้แล้วน้ำเสียงที่ใช้เจรจาพลันนุ่มนวลลงอีกหลายระดับ
“เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือยังไง ก็ในเมื่อเจ้ากับองค์หญิงเจ็ดหมั้นหมายกันไว้ ไม่แต่งเสียที มันจะได้อย่างไรกัน”
“กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์หรือกระหม่อมกันแน่ที่ความจำเลอะเลือน กระหม่อมยังไม่เคยเข้ารับการหมั้นหมายใดๆ ทั้งสิ้น หากมีเพียงแต่ฮองเฮาที่พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้ากระหม่อมครั้งเดียว หวังให้กระหม่อมยินยอมตาม และเท่าที่ความจำของกระหม่อมยังพอมี เรื่องนี้กระหม่อมไม่เคยรับปากผู้ใดทั้งนั้น”
“ซงหยวน” หลี่ไห่ถังเรียกท่านแม่ทัพด้วยเสียงลากยาว พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ให้คุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าทำความดีความชอบมากมายให้บ้านเมืองขนาดนี้จะไม่มีรางวัลให้เจ้าได้อย่างไร เงิน ทอง ข้าวของ รวมถึงคู่ครองด้วย ทั้งหมดล้วนแต่เห็นดีเห็นงาม เห็นว่าเหมาะกับเจ้า ข้าจึงได้มอบให้”
“หากฝ่าบาทมองเห็นว่ากระหม่อมมีความรับผิดชอบ เช่นนั้นกระหม่อมขอพระองค์ประทานอภิเษกสมรสให้กระหม่อม แต่ขอเพียงทรงเปลี่ยนจากองค์หญิงเจ็ดเป็นองค์หญิงสามด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเราจะต้องให้เจ้าแต่งงานกับองค์หญิงสาม ไหนลองบอกเหตุผลของเจ้ามา”
จางซงหยวนมองสบตาฮ่องเต้หลี่ไห่ถังไม่หลบขณะเปิดปากตอบ
“ครั้งหนึ่งกระหม่อมเคยล่วงเกินองค์หญิงสาม”
ฮ่องเต้หลี่ไห่ถังนิ่งไปหลายอึดใจเลยทีเดียวกว่าที่จะเอ่ยปากออกไปได้ “เรื่องที่ว่านั่นมันเมื่อใด ไหนเจ้าเล่ามาให้กระจ่างซิซงหยวน”
“เมื่อครั้งพระชนมพรรษาครบสิบสามปีเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
อัครเสนาบดีเสิ้น เจียวกงกง หรือแม้แต่เหล่าองครักษ์ ทหารยามที่ยืนอยู่ในบริเวณโถงก็พลอยกางหูของตนเองออกเพื่อฟังเรื่องนี้ด้วยกันแทบทั้งนั้น น้ำเสียงของท่านแม่ทัพเล่าเรียบเรื่อยทว่าฟังแล้วมั่นคงนัก และที่น่าทึ่งใจคือองค์หญิงสามมีพระชนมพรรษาเท่าไรในอีกกี่วัน เหตุใดจางซงหยวนจึงได้แจงอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงปานนี้ หากมิได้มีใจฝักใฝ่ ย่อมไม่มีทางรู้วันเวลาแบบนี้อย่างแน่นอน