หากมิได้มีใจฝักใฝ่ ย่อมไม่มีทางรู้วันเวลาแบบนี้อย่างแน่นอน
แม่ทัพใหญ่จึงเล่าเรื่องราวเมื่อคราวนั้นทั้งหมดไปตามความจริง ว่าที่องค์หญิงสามเคยพลัดตกน้ำนั้น เขาเป็นคนช่วยขึ้นมาแล้วยังล่วงเกินนาง เหตุครั้งนั้นไม่มีการลักลอบเล่นสนุกกับทหารชั้นต่ำที่ไหนทั้งนั้น ล้วนเป็นตนเองที่แตะต้ององค์หญิงสามเพื่อเป็นการช่วยชีวิตนางเอาไว้ เล่าจบแล้วจางซงหยวนไม่ลืมกล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่าหากมีใครกล้าพูดจาหยามหมิ่นองค์หญิงสามอีก ตนจะทำให้พวกปากสวะพวกนั้นพูดเรื่องใดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต หรือหากไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วก็ขอให้เปิดปากพูดถึงองค์หญิงสามอีกที รับรองได้ว่าเขาจะส่งมันผู้นั้นลงไปยมโลกแน่นอน แล้วก็จะไม่ละเว้นแม้แต่ข้าราชการระดับสูงหรือเป็นราชนิกุลก็ตาม
ฮ่องเต้หลี่ไห่ถังส่งเสียงกระแอมเตือนเพียงเท่านั้น ไม่แม้แต่จะกล้าเปิดปากพูดสักนิดว่าเป็นการสามหาวก้าวร้าวถึงราชวงค์ หลี่ไห่ถังนิ่งคิดเรื่องเพียงเท่านี้จะมาถือเป็นคุณเป็นโทษได้อย่างไร อ้าปากจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักที่จะต้องมารับผิดชอบเยี่ยนถิง และให้เลิกแล้วกันไป แต่จางซงหยวนก็พูดขึ้นเสียก่อนราวกับอ่านความคิดของเจ้าเหนือหัวออก
“อีกครั้งว่าที่องค์หญิงสามหายไปทั้งวันทั้งคืนเมื่อครั้งคืนงานฉลองให้กระหม่อม ล้วนเป็นกระหม่อมเองที่ใช้กำลังบังคับพระองค์พาเข้าจวนของกระหม่อมไป” จางซงหยวนเว้นช่วงไว้ครู่ก่อนพูดต่อจากนั้น “ด้วยความใจร้อนของกระหม่อมเอง ไม่รอให้ถึงคืนเข้าหอเสียก่อนก็ล่วงเกินพระองค์แล้ว”
เหล่าทหารเอย องครักษ์เอย อีกทั้งอัครเสนาบดี รวมถึงเจียวกงกงได้ยินก็พากันก้มหน้าของตนลงทันที
จางซงหยวนเป็นแม่ทัพที่ยังหนุ่มแน่นย่อมเลือดลมรุนแรงร้อนใจเป็นธรรมดา นี่ถึงกับอุ้มองค์หญิงสามกลับจวนตนเองไปแล้วหรอกหรือ อย่างนั้นก็ให้ทั้งสองครองคู่ครองรักกันไปเถิด
“บังอาจนัก! นี่เจ้า จางซงหยวน เจ้าอย่าคิดเหิมเกริม อยากทำสิ่งใดก็ทำตามอำเภอใจเช่นนี้นะ ข้าจะให้ ให้คนลากเจ้า...”
เสียงตวาดดังมาจากบัลลังก์ สายตาก็คอยมองมาที่เจียวกงกงเพื่อให้ทางนั้นเอ่ยห้ามตน มิให้ลงโทษแม่ทัพจางซงหยวน เจียวกงกงเห็นสายตาอาฆาตของฮ่องเต้แล้วก็ตรงรี่เข้าไปตรงหน้าองค์ฮ่องเต้ทันที
“ได้โปรดเย็นพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พอบอกทางนั้นแล้วก็หันมาทางจางซงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ท่านแม่ทัพ ข้าขอร้องท่านล่ะ”
จางซงหยวนไม่ได้พูดอะไรอีกแต่สายตาก็ยังคงแข็งกร้าวหาได้ละสายไปจากองค์ฮ่องเต้หลี่ไห่ถังไม่ ราวกับจะประกาศกร้าวว่ายังยืนยันเจตนาเดิมไม่เปลี่ยน
“นี่เจ้า...”
ฮ่องเต้ได้แต่คำรามว่านี่เจ้าค้างอยู่เช่นนั้นนึกคำต่อว่าจากนั้นไม่ออก ใบหน้าก็เริ่มออกสีแดงกล่ำ แล้วเซกลับไปนั่งลงที่บัลลังก์ดังเก่า
จางซงหยวนเข้าร่วมสนามรบตั้งแต่อายุยังน้อย นับว่าเป็นแม่ทัพที่เข้าร่วมรบไวที่สุดในเหล่านายทหารทั้งหมดของแคว้น เท่าที่ตนเคยได้ยินมา เขาทั้งแข็งแรง ทั้งแกร่งกล้า ไม่ใช่มีเพียงแค่แรง จางซงหยวนยังวางกลศึกและเคยเสนอแนวทางการรวมแคว้นให้ตน ทั้งอำนาจในมืออีกทั้งยังมีความสามารถไม่น้อย จางซงหยวนผ่านศึกสงครามมามากมายจนกลายเป็นจอมทัพได้ตั้งแต่อายุเพิ่งจะยี่สิบเอ็ดปีเพียงเท่านั้น
ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาหยิ่งทะนงไว้ตัวแฝงแววมั่นใจอย่างร้ายกาจ ไอสังหารของจางซงหยวนแผ่กระจายรอบตัวไปไกลเสมอหากเขาปรากฏกายที่ไหน แม้แต่ตนเองที่เป็นถึงฮ่องเต้ก็ยังเกรงใจจางซงหยวนอยู่ไม่น้อย สิบส่วนมีถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียวที่ต้องนึกถึงสีหน้าของแม่ทัพใหญ่อย่างจางซงหยวนเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใด
ได้ยินคำต่อรองเช่นนี้มิเพียงแต่มิกล้าวางอำนาจ ในใจยังคิดเอนเอียง ยอมโอนอ่อนตามให้อีกด้วย แต่แล้วอีกเสียงก็ร้องบอกว่าหากทำเช่นนั้นพวกขุนนางอาจพากันต่อว่าตนได้ว่ายอมตามใจแม่ทัพใหญ่จางซงหยวนจนมองแล้วน่าเกลียดเกินงาม
ขณะนั้นเองที่เริ่มวุ่นวายกันในท้องพระโรง จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวให้คนนำไปพูดจากันต่อจากนั้น ว่าท่านแม่ทัพใหญ่หาได้สนใจองค์ฮ่องเต้แม้แต่เพียงนิด ประกาศเจตนารมณ์แล้วก็เดินออกนอกพระราชวังไป
บ่าวคนที่ให้เฝ้าตรงหน้าจวนของท่านแม่ทัพจางรีบวิ่งกลับไปแจ้งข่าวให้คุณชายของตนรู้ในทันทีที่เห็นว่าจางซงหยวนกลับมายังจวนของเขาแล้ว
คนเฝ้ารอรู้ข่าวแล้วรีบแจ้นมาพร้อมกับเหล้าชั้นดีหลายไห กับแกล้มชั้นดีอีกเต็มคันรถ ตนมาถึง ทันได้ยินจางซงหยวนสั่งคนในจวนให้เตรียมงานพอดี ลักษณะคำพูดสั่งการ คล้ายกับจะได้กลิ่นไอของงานมงคล พลันสีแดงพร่างพรายก็พล่าเต็มสองตาของผู้มาเยือนเข้า คิดแล้วชุ่มชื้นขึ้นในหัวใจไม่น้อย
นี่เพื่อนของเขากำลังจะแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร แต่เท่าที่ฟังเมื่อครู่นี้มันใช่เลยนี่นา
เฉิงซือห้าวปาดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผากออก เมื่อครู่นี้กว่าจะผ่านประตูของจวนท่านแม่ทัพเข้ามาได้ก็ยากเย็นเอาการ ทั้งที่ตนได้รับการยกเว้นจากจางซงหยวนแล้วว่าเข้านอกออกในได้ตามสมควร แต่ทหารเวรยามตรงหน้าดันเปลี่ยนเป็นเด็กที่เข้ามาใหม่จึงไม่รู้จักตน นึกแล้วน่าโมโหนัก ยังดีที่มีทหารที่เดินสวนออกมาพอดีพอจะจำหน้าตนได้ จึงยอมปล่อยให้เข้ามาในจวนได้
เข้ามาแล้วทันได้รู้ข่าวภายในจวนเข้าพอดี ตนรอจนเจ้าของจวนสั่งงานกับคนของตนแล้วจึงเอ่ยปากถามยิ้มๆ
“กลับมาแล้วหรือซงหยวน”
“เห็นเป็นอย่างอื่นหรือ”
เสียงตอบรับคล้ายยียวนออกมาจากเจ้าของจวน แต่ฟังให้ดีแล้วไม่เกรี้ยวกราด ซ้ำยังดูอารมณ์ดีด้วยซ้ำ ชักน่าสนใจเสียแล้วว่างานมงคลที่กำลังจะจัดขึ้นต้องเป็นความเห็นพ้องต้องใจท่านแม่ทัพหนุ่มแน่ๆ
“มาถึงก็กวนอารมณ์ข้าเลยนะ ที่ข้าได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่ฟังผิดไปใช่หรือไม่”
“เรื่องใด”
“ที่ท่านแม่ทัพสั่งให้คนจัดล้างจวน เตรียมสถานที่ ไหนยังจะให้คนออกไปตามแม่สื่อมาอีก ไม่ใช่ว่าจวนแม่ทัพจางกำลังจะมีงานมงคลหรอกหรือ”
จางซงหยวนไม่ได้กล่าวตอบรับหรือปฏิเสธคนช่างซักช่างถามอย่างเฉิงซือห้าว แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไปยังที่นั่งภายในห้องโถงใหญ่
“หญิงสาวโชคดีผู้นั้นเป็นใครกัน ข้าพอจะรู้จักบ้างไหมขอรับ” เฉิงซือห้าวถามหยอกเย้าล้อเลียนราวกับบ่าวคุยกับนาย ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั้นตนก็ไม่ได้ต่างจากบ่าวของจางซงหยวนเลยสักนิด
“ไม่ใช่เจ้าก็แล้วกัน”
“ซงหยวนนะซงหยวน ท่านพูดจากับเพื่อนรักแบบนี้ได้อย่างไร ไหนบอกเพื่อนหน่อยซิว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร”